บทที่ 492
เหลียงซิงกำหมัดแน่นและนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้และพูดเบา ๆ ว่า “ท่านจาง ข้าในยามนี้มีเพียงตำแหน่งที่ไร้ซึ่งอำนาจและกำลังพล เช่นนั้น ข้าจะช่วยเปิงเฉิงกับลั่วฮัวได้อย่างไร? ข้าจะควบคุมอู่หยูได้อย่างไร?”
จางซินกลอกตาของเขาและพูดด้วยเสียงต่ำ “หากมีกองทัพก็ย่อมต้องมีอำนาจ ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเองก็มีกองทัพถึงสองแสนนาย เหตุใดจึงไม่ใช้พวกเขาเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหลียงซิงก็ขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าจางซินจะเสียสติไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น คนตรงหน้าจะพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร?
เหลียงซิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ท่านจาง กองทัพสองแสนนี่มาจากที่ใด”
“หรือท่านเสนาบดีเหลียงจะลืมไปแล้วว่า บุตรของท่านเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพสองแสนนาย! “จางซินเตือนอย่างระมัดระวัง
เมื่อกล่าวถึงเหลียงฉี ความโกรธของเหลียงซิงพลันปะทุขึ้นมา เขาทุบโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่พอใจออกมา “อย่าได้พูดถึงเจ้าลูกไม่รักดีนั่นอีก มันลืมรากเหง้าของตัวเองไปแล้ว เพราะฉะนั้น มันหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าไม่!”
“เอ่อ?” จางซินโบกมือเป็นพัลวันและกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีเหลียง บิดากับบุตรล้วนไม่อาจตัดกันขาด อย่างไรในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขายังคงต้องพึ่งพาท่านอยู่ดี! ถึงแม้ว่าแม่ทัพฉีจะภักดีต่อถังหยิน แต่แล้วอย่างไรเล่า?”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร “เหลียงซิงจ้องไปที่จางซิน
“เหตุใดท่านจึงไม่ทำเช่นนี้…” จางซินเดินไปที่ด้านข้างของเหลียงซิงและกระซิบที่ข้างหูของเขา เหลียงซิงฟังคำกล่าวอย่างเงียบ ๆ และตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าใบหน้าที่เศร้าหมองของเขากลับค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น
หลังจากที่จางซินพูดจบ เหลียงซิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เช่นนั้น หากถังหยินออกมาจากการฝึกฝนเก็บตัวแล้ว มันจะเกิดอันใดขึ้น?”
จางซินหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ท่านเหลียง ท่านคิดว่าเวลานี้ถังหยินยังฝึกฝนเก็บตัวอยู่จริง แล้วท่านว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานี้ แคว้นที่ไร้ซึ่งราชาไร้ซึ่งผู้ดูแลทุกสุข์ของประชาชน แล้วเขายังจะกล้าปิดด่านเก็บตัวในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร? หากให้ข้าคาดเดา การฝึกฝนเก็บตัวย่อมเป็นข้อแก้ตัว ถังหยินต้องออกจากเมืองไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขากลัวว่าในขณะที่เขาไม่อยู่เมืองคงจะสับสนวุ่นวาย จึงได้คิดหาข้ออ้างเพื่อให้ผู้อื่นทำอันใดไม่ได้”
“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อได้คำคาดการณ์ของจางซิน เหลียงซิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะพยักหน้าพูดว่า “สิ่งที่ท่านพูดนั้นสมเหตุสมผล ข้าตกลง! ข้าจะทำตามที่เจ้าว่ามา หากมันสำเร็จข้าจะตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน!
“ขอบคุณท่านเหลียง”
“อย่าได้พูดเช่นนั้น เพราะข้าต้องขอบคุณท่านมากเช่นกัน!”
หลังจากพูดคุยกับจางซินเสร็จ เหลียงซิงก็ออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ทันที
เวลานี้ จี้หยางที่หลับไปแล้วพลันได้ยินคำขอเยี่ยมเยือนจากเหลียงซิง ผู้มาใหม่อย่างกะทันหัน สมองของเขาสับสนรวนเรไปหมด ความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันระหว่างเขากับเหลียงซิงหาได้เลวร้ายไม่ ทว่าเป็นเพราะถังหยิน เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานร่วมกัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันแต่อย่างใด แล้ววันนี้เหลียงซิงกินยาผิดขนานใช่หรือไม่ถึงได้มาหาเขาในเวลานี้
แม้ว่าจี้หยางจะไม่อยากคิดอะไรในตอนนี้ ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกมีบางอย่างที่สำคัญซึ่งไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ เพราะอย่างนั้น เขาจึงลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุมชั้นนอกและเดินออกไปพบเหลียงซิง
เมื่อเหลียงซิงเห็นเขาก็พูดชิงพูดมาก่อนทันที “ท่านแม่ทัพ ไยท่านยังถึงอยู่ที่นี่อีก? ข้างนอกเกิดเรื่องแล้ว!”
“หือ?” จี้หยาง ฮ่าวชุนตกตะลึงกับคำพูดที่มาอย่างกะทันหันของเหลียงซิง ก่อนจะถามด้วยความงุนงง “เรื่องใหญ่อันใด”
“อู่หยูกำลังจะจัดการเราสองคน!”
“ว่าไงนะ?”
เหลียงซิงพลันเล่าเรื่องปรุงแต่งที่อู่หยูจับเปิงเฉิงและลั่วฮัวเข้าคุกให้อีกฝ่ายฟัง จากนั้นจึงพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านแม่ทัพ เจตนาของอู่หยูนั้นชัดเจนแล้วว่า เขาใช้ซ่งเทียนเพื่อกำจัดกองกำลังของเรา และท้ายที่สุด ท่านกับข้าก็จะถูกอู่หยูฆ่า!”
“…!” ขณะที่จี้หยาง ฮ่าวชุนได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าไปลึก “สถานการณ์ของเปิงเฉิงและลั่วฮัวตอนนี้เป็นอย่างไร?”
“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าน่าจะถูกสั่งขังเอาไว้แล้ว!” เหลียงซิงส่ายหัวและถอนหายใจ
“ท่านเสนาบดีผู้สง่างามที่ได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตราชา กลับกระทำตัวตามใจชอบเช่นนี้?”
“มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นจริง ๆ นั่นแล!” ถึงแม้จี้หยางจะไม่ได้มีสมองที่เฉียบแหลมมากนัก แต่เขายังพอเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง นัยน์ตาคู่นั้นพลันเย็นเยียบขึ้นมา ตอนนี้อู่หยูยังไม่ลงมือจัดการเขา แต่หากลงมือกับเหลียงซิงเมื่อใด คนต่อไปย่อมเป็นเขาแน่นอน!
นอกจากนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของเหลียงซิงกับเหลียงฉีมันเป็นอย่างไรกันแน่? หากแม้แต่เหลียงซิงยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ตัวเขาก็น่าจะโดนกำจัดไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเป็นผู้มีความคิดมากที่สุด รีบคิดกระทำการบางอย่างเถิด!” หน้าผากของจี้หยาง ฮ่าวชุนมีเหงื่อไหลหยดไม่น้อย ขณะมองไปที่เหลียงซิง
“ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่แน่นอนว่ามันยังมีความเสี่ยงอยู่!” เหลียงซิงเผยสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะกล่าวว่า “หากแต่ข้าสงสัยว่า ท่านแม่ทัพจี้จะกล้าร่วมมือกับข้าหรือไม่!”
จี้หยาง ฮ่าวชุนกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ตอนนี้ข้ากับท่านนับได้ว่าร่วมหัวจมท้าย ดังนั้นแล้วท่านเหลียง บอกข้ามาว่าเราต้องทำอันใดกันแน่?”
“ข้าคิดเช่นนี้…” เหลียงซิงชำเลืองมองซ้ายขวา และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาจึงเริ่มกระซิบบางอย่างให้อีกฝ่ายฟัง
ในคืนหนึ่งหลังจากอู่หยูจับเปิงเฉิงและลั่วฮัว เมืองหยานทั้งเมืองก็ปั่นป่วนพร้อมที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ทุกเมื่อ
วันรุ่งขึ้น ในยามเช้า เหลียงซิงและจี้หยาง ฮ่าวชุนก็มารวมตัวกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน ทว่าทั้งสองยังรวบรวมผู้ที่ไว้ใจได้ทั้งหมดมาเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการด้วย
พอตกเย็น เหลียงซิงออกจากจวนเสนาบดี นำอาหารและสุรามึนเมาที่บ่าวรับใช้เตรียมไว้ให้ มุ่งตรงไปยังเมืองทางเหนือ
เหลียงซิงออกจากประตูเมืองเหนือ และตรงไปยังค่ายด้านนอกของกองทัพชานซุย
เมื่อมาถึงหน้าประตูค่ายกองทัพชานชุย เหล่าทหารที่ได้เห็นเหลียงซิงมาเยือนต่างก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้ว่ากองทัพจะขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แต่อย่างไร พวกเขาก็ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าซึ่งถูกตระกูลเหลียงเลี้ยงดูมา ทำให้ทหารรุ่นเก่าหลายนายรู้สึกสนิทสนมกับเหลียงซิงเป็นพิเศษ
โดยไม่รอให้เหลียงซิงลงจากรถม้า ทหารของกองทัพชานซุยก็วิ่งเข้ามาถามไถ่ทีละคน “ท่านเหลียง เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ขอรับ”
“ข้ามาหาเหลียงฉี เจ้าลูกไม่รักดีของข้า!” เหลียงซิงเปิดม่านขึ้นและกล่าวกับคนด้านนอก
แย่แล้ว! วันนี้ดวงอาทิตย์ต้องขึ้นจากทิศตะวันตกเป็นแน่! เพราะนับตั้งแต่ที่เหลียงฉีมอบกองทัพทหารของตระกูลเหลียงให้กับถังหยิน เหลียงซิงก็ได้แต่ครุ่นคิดกับเรื่องนี้มาโดยตลอด เขาไม่เคยให้อภัยเหลียงฉีและไม่เคยคิดให้อีกฝ่ายกลับมาเยี่ยมเยียนตัวเองด้วยซ้ำ ทว่ามาตอนนี้ เขาคิดจะตามหาคน แล้วจะไม่ให้ทหารในกองทัพชานซุยรู้สึกแปลกใจได้อย่างไร?
“ต้องเข้าไปแจ้งข้างในหรือไม่?” เหลียงซิงนั่งอยู่ในรถม้าและถามอย่างใจเย็น
เหล่าทหารมองหน้ากัน พลันหัวหน้ากลุ่มโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรขอรับ!”
“เสนาบดีเหลียงมาเยือนทั้งที เหตุใดเราต้องทำเหมือนท่านเป็นคนนอกด้วย?!” ในขณะที่พูด เขาก็โบกมือให้ลูกน้องส่งสัญญาณให้พวกเขาถอยห่างไป
เหลียงซิงเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายและเป็นบิดาของเหลียงฉีด้วย ภายในกองทัพชานชุย ใครจะกล้ามาขวางเขา?
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหลียงซิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ปล่อยให้คนขับรถม้าเข้าไปในค่าย
ตลอดทางพวกเขาไม่ได้ถูกขัดขวางเลย รถม้าของเหลียงซิงแล่นผ่านโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ จนมาถึงที่ตั้งของกองทัพชานซุย
ในขณะนี้ เหลียงฉีอยู่ในกระโจมของเขา นั่งฟังทหารข้างนอกวิ่งเข้ามาแจ้งว่า ‘ท่านเสนาบดีเหลียงมาขอพบ’ เรื่องนี้ทำเอาเหลียงฉีแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะช่วงนี้บิดาไม่อยากเห็นหน้าเขา ทั้งยังอยากจะไล่เขาออกจากจวนไปด้วยซ้ำ
เหลียงฉีรีบเดินออกไปทันที ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงยามเห็นว่าเหลียงซิงลงจากรถม้าแล้ว และอีกฝ่ายกำลังเดินมาหาเขา เขาคุกเข่าลง เคารพเหลียงซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ท่านพ่อ!”
สายตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจับจ้องไปยังเหลียงฉีในชุดทหาร ทันใดนั้น หัวใจของเหลียงซิงก็เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย บุตรชายของเขาคนนี้มีความสามารถสูงส่ง เชี่ยวชาญกลยุทธ์ทางทหารหลายแขนงและเป็นที่รู้จักกันในนามของยอดฝีมือ ทว่าสิ่งที่เหลียงซิงยากจะเข้าใจคือ เหตุใดบุตรชายที่แสนโดดเด่นมากเพียงนี้ ถึงไม่คิดเช่นเดียวกับเขา และครานั้นถึงหันไปพึ่งพาถังหยิน ผู้ที่เขาไม่รู้จัก!
เฮ้อ! เขาเงยหน้ามองขึ้นฟ้า ก่อนจะก้มลงมาเหลียงฉีอีกครั้ง หัวคิ้วค่อย ๆ ขมวดมุ่น หลังจากไม่ได้เห็นบุตรชายสองสามวัน เหลียงฉีในตอนนี้ผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก ผิวของเขาก็กลายเป็นสีแทนคล้ำ ซ้ำยัง ไร้ซึ่งความภาคภูมิและสง่างามเหมือนแต่ก่อน “ซิงเอ๋อ เหตุใดเจ้า…การนำทัพทำสงครามยากเกินไปใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจของเหลียงฉีพลันขมขื่น และน้ำตาก็แทบไหลออกมา ความยากลำบากของการนำทัพนั้นชัดเจนอยู่แล้ว อันที่จริง เหลียงฉีไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไร ความห่วงใยของบิดาที่มีต่อบุตร มันก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงและตื่นเต้นมาก เหลียงฉีสูดดมและฝืนยิ้มออกมา “ข้าทนได้”
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ” ถึงแม้ว่าเหลียงซิงจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของเขาสาปแช่งบรรพบุรุษของถังหยินอยู่ เพราะผ่านไปแค่ไม่กี่วันเจ้าเด็กตรงหน้าก็ดูเหนื่อยมากแล้ว
เมื่อเข้ามาในกระโจมใหญ่ เหลียงฉีก็พาเหลียงซิงไปยังที่นั่งของผู้บัญชาการซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ในขณะที่เขานั่งลงข้าง ๆ บิดาตัวเอง เหลียงซิงก็หาได้มีท่าทีสุภาพ เขานั่งสบาย ๆ อยู่หลังโต๊ะ สายตามองไปยังเหลียงฉีและพูดอย่างแผ่วเบา “ฉีเอ๋อ พ่อจำต้องยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของลูกแล้ว!”
เหลียงฉีทำสีหน้างุนงงอย่างไม่ใจว่าพ่อของเขาพูดอะไร
เหลียงซิงถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดต่อ “เพราะพ่อของเจ้าอย่างข้ามักจะต่อต้านถังหยิน ดังนั้น.. เห้อ ข้าจึงเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้!”
เหลียงฉีตกตะลึงในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ มือโบกไปมาและพูดว่า “ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว นายท่านของข้าหาใช่คนแบบนั้นเสียที่ไหน”
หากถังหยินมีปัญหาเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขา แล้วอีกฝ่ายจะยังให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพชานซุยได้อย่างไร? ถ้าถังหยินเป็นคนใจแคบเช่นนั้นจริง อีกฝ่ายจะยังสนับสนุนเขาไปทำไม?
เมื่อเห็นว่าเหลียงฉียังคงเคารพถังหยินมาก เหลียงซิงจึงไม่พูดอะไรต่อ เขาเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “ฉีเอ๋อ มันก็นานมากแล้วที่เราไม่ได้นั่งทานอาหารร่วมกัน ครั้งนี้มีของที่เจ้าชอบกินเป็นพิเศษด้วย”
ขณะที่เขาพูด เขาหันไปกวักมือเรียกคนรับใช้ตรงทางเข้า ไม่นานนักคนรับใช้หลายคนก็เข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ เมื่อเปิดออก ภายในก็มีจานที่เตรียมไว้และกลิ่นของอาหารก็ลอยอบอวลไปทั่วห้อง