ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 105 : อารมณ์

“ท่านทำให้ราชาปีศาจต้องเมินเฉยหรือ?” ดางตาของผู้อาวุโสเจิ้นเผิงเบิกโพลง ขณะเขาร้องเสียงดัง จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นชื่นชมขณะกล่าว “ความทะเยอทะยานของนายน้องคงเป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจเทียบเคียงได้”

ภายใน ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงตะโกนอย่างน่าสังเวช ‘นายน้อย หากท่านไม่ต้องการราชาปีศาจ ท่านสามารถปราบมันเพื่อนำมาเป็นสัตว์พาหนะของข้าได้ รู้ใช่ไหม? ข้าจะรับเขามาอยู่เคียงข้างเอง!’

จื่อฉางเหอยังแบ่งปันความคิดของผู้อาวุโสเจิ้นเผิง แม้เขาจะมีหมาป่าอาวุโสเป็นสัตว์พาหนะ แต่ราชาแร้งสายฟ้านั้นแข็งแกร่งกว่ามาก

“แล้วเสี่ยวไป่อยู่ที่ไหน?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม เขาเพิ่งสังเกตว่าไม่เห็นเสี่ยวไปอยู่รอบข้าง

“เขายังอยู่ข้างกายข้าตอนที่เจ้าวิ่งเข้าใส่อัสนีบาตร แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาหายไป และไม่ย้อนกลับมา” จื่อฉางเหอกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“เจ้าเด็กเกเร ดูเหมือนเขาไม่อยากอยู่เฉย และต้องการเติบโตด้วยตนเองเช่นกัน” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างไม่ใยดี และไม่กล่าวโทษสิ่งใดกับจื่อฉางเหอ

เสี่ยวไป่ได้กลืนกินทั้งแก่นปีศาจ และเขี้ยวพยัคฆ์เข้าไป ด้วยยังกินยาเก่า และยาวิญญาณจำนวนมากเข้าไป จึงได้กลายเป็นปีศาจชั้นกลางแล้ว และเขาอาจปลอดภัยตราบที่ระมัดระวังในป่าแห่งนี้ ที่สำคัญกว่านั้น เสี่ยวไป่มีสายเลือดอันพิเศษ ถ้าหากมีสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าเข้าจู่โจม ก็มิอาจทำอันตรายแก่เขาได้โดยง่าย

“เช่นนั้น เราควรรอเขาดีไหม?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม

เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว “ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ข้าจะรอเขาที่นี่ พวกท่านทั้งสองกลับไปก่อนได้เลย” เขาหยุด และยื่นหญ้าอัสนีกลายสภาพให้จื่อฉางเหอก่อนจะกล่าว “ศิษย์พี่ รับนี่ไป มันอาจจะมีประโยชน์ต่อท่าน”

นั่นคือหญ้าอัสนีกลายสภาพระดับต่ำที่เซี่ยงเส้าหยุนได้รับจากราชาแร้งสายฟ้า จื่อฉางเหอได้ฝึกฝนวิชาอัสนี ทำให้หญ้าอัสนีกลายสภาพจะช่วยลดพลังของสายฟ้าเพื่อให้ดูดซับพลังงานสานฟ้าได้ดีขึ้นระหว่างฝึกฝน

“ข้าตามหาหญ้านี่มาเป็นเวลานานมาก แต่สุดท้าย เจ้าก็เป็นผู้ที่หามันมาให้แก่ข้าจนได้” จื่อฉางเหอกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“เดี๋ยวก่อน คุณชาย นี่ท่านแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วหรือ? นี่ท่านบรรลุขั้นเจ็ดแล้วรึนี่!” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงร้องเสียงดังเมื่อสังเกตเห็นสิ่งเปลี่ยนแปลง

นอกเหนือจากการเติบโตของเซี่ยงเส้าหยุน ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงยังสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกายของเซี่ยงเส้าหยุน เขาดูราวกับเป็นคนใหม่ ผิวหนังที่ทั้งผ่องใส และเยาว์วัย แม้แต่การเผยตัวก็ยังรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้นมาก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จื่อฉางเหอจึงได้เข้ามาดูเซี่ยงเส้าหยุน ดวงตาเผยความตกใจ มันผ่านไปครึ่งเดือนแล้วนับจากพบกันครั้งล่าสุด ระดับยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นถึงสามขั้น ในครึ่งเดือนนั้นนับเป็นความเร็วที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียง

“มันไม่มีค่าให้ชื่นชมเลย ข้ายังคงอยู่ระดับดวงดาว อาจมีบางองค์กรอันทรงพลังที่มีอัจฉริยะผู้บรรลุระดับราชาด้วยอายุเท่าข้า” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม เขาไม่ได้โกหก มีผู้บรรลุระดับราชาด้วยอายุเท่าเขาจริง

ผู้อาวุโสเจิ้นเผิง และจื่อฉางเหอต้องตกตะลึงอีกครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นผู้มองโลกในมุมที่สูง และต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง

ไม่นาน ทั้งผู้อาวุโสเจิ้นเผิง และจื่อฉางเหอก็จากไป

“เอาล่ะ เนื่องจากยังมีเวลาอีกหน่อย ข้าคงต้องปรับอารมณ์ใหม่ให้เหมาะสมเสียแล้ว” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบา ด้วยระดับยุทธ์ที่เพิ่มขึ้น แต่เขายังต้องพัฒนาวิชายุทธ์ให้เทียบเท่ากับระดับยุทธ์ด้วย

เขาเริ่มก้าวไปยังทิศทางหนึ่ง เป้าหมายคือออกจากเทือกเขาร้อยอสูรด้วยกำลังของตนเอง ในตอนที่เข้ามา ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงเป็นผู้พาเข้ามา ตอนนี่เขาต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเอง และต่อสู้เพื่อหาทางออก

ในขณะที่ออกจากอาณาเขตของแร้งสายฟ้า มีสัตว์ปีศาจเข้าจู่โมเขา ซึ่งพวกที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ของเทือกเขามิได้อ่อนแอเลย ซึ่งมีทั้งปีศาจชั้นกลาง และชั้นสูงจำนวนมากปะปนกัน

เซี่ยงเส้าหยุนก้าวอย่างระมัดระวัง และสังหารสัตว์อสูรแต่ละตัวที่พบอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ปีศาจชั้นสูงก็ได้เข้ามาขวางเส้นทาง

“โฮก! โฮก!”

มันคือสุนัขทมิฬสองหัว และมันเป็นปีศาจชั้นสูงขั้นสอง หัวทั้งสองจ้องมองไปยังเซี่ยงเส้าหยุน และแยกเขี้ยวออก ร่างกายของมันแข็งแรงราวกับวัว ขณะวิ่งตรงเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน

ปีศาจชั้นสูงขั้นสองนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมนุษย์ระดับแปรสภาพขั้นสอง และในแง่ของพลังยุทธ์นั้น สัตว์ปีศาจชั้นสูงขั้นสองยังเทียบได้กับมนุษย์ระดับแปรสภาพขั้นสามเลยทีเดียว

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวหากพบเจอกับปีศาจชั้นสูงเช่นนี้ จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลับหนี แต่เซี่ยงเส้าหยุนไม่ทำเช่นนั้น แต่เขากลับเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย หากมีผู้พบเห็นคงกล่าวได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเป็นบ้าไปเสียแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเจ็ดจะต่อสู้กับปีศาจชั้นสูงขั้นสองนั้นไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย

วิชาหอกอัสนี!

เขาพุ่งตัว และแทงด้วยหอก ราวกับอัสนีบาต พลังสายฟ้าปรากฏขึ้นบนหอกทันที และไหลผ่านไปยังปลายหอก จากนั้นก็ยิงมันออกไป

นี่เป็นการโจมตีที่มีพลังเกินกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเจ็ดจะสามารถทำได้ แท้จริงแล้ว นี่เป็นการโจมตีซึ่งปกติจะต้องอยู่ช่วงท้ายของระดับดวงดาวเสียก่อนจึงจะทำได้เช่นนี้

สุนัขทมิฬสองหัวนั้นแข็งแกร่งกว่าเด็กหนุ่มมาก มันพ่นกลุ่มพลังงานสีดำซึ่งกลายสภาพเป็นลูกบอลสีดำ เมื่อถูกการโจมตีของเซี่ยงเส้าหยุน ลูกบอลสีดำนั่นก็แตกเป็นเสี่ยง

ลูกบอลสีดำพุ่งตรงไปด่านหน้าอีกครั้ง และไปถึงตรงหน้าเซี่ยงเส้าหยุนในพริบตาเดียว เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวไปด้านข้าง หลบการโจมตี และพิงต้นไม้ เขาเตะต้นไม้ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่สุนัขทมิฬอีกครั้ง

แต่สุนัขทมิฬตอบสนองไวมาก มันคำรามก่อนจะกระโจนหลบหอกของเซี่ยงเส้าหยุน ก่อนที่จะตะครุบเด็กหนุ่มด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ซึ่งมีพลังเอ่อล้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ฉีกได้แม้กระทั่งก้อนหิน

ในตอนนั้น เซี่ยงเส้าหยุนลอยขึ้นไปในอากาศ จึงเป็นเรื่องยากที่จะหลบการโจมตีนี่ ด้วยไร้ซึ่งตัวเลือกใด เขาจึงยกหอกสายฟ้าขึ้นมาป้องกันหน้าอกของตนจากการโจมตี

เคร้ง!

การโจมตีนั่นสร้างประกายไฟจำนวนมาก และหักหอกสายฟ้าเป็นสองส่วน! และการโจมตีส่วนหนึ่งส่งไปถึงเซี่ยงเส้าหยุน แต่โชคดี ที่โดนเพียงเสื้อผ้า ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บใด

เมื่อเสื้อขาดวิ่น เสื้อเกราะด้านในที่เขาสวมใส่ได้ถูกเปิดเผย นี่ไม่ใช่เกราะชั้นในธรรมดา มันเป็นถึงเกราะชั้นในระดับราชา ซึ่งได้มาจากตาแก่ขี้เมาก่อนหน้า และเขาไม่เคยใช้มันเลยจนบัดนี้

แต่หลังจากที่ถูกฟ้าผ่า เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระวังให้มากขึ้น ดังนั้น เขาจึงนำชุดเกราะมาสวม ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการปกป้องชีวิตตนเองแล้ว

ด้วยเหตุนี้ การโจมตีของสุนัขทมิฬจึงไม่ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย ความจริงแล้ว หลังจากที่มันโจมตีเมื่อครู่ทำให้เกิดช่องโหว่ให้สามารถสวนกลับได้

ดัชนีทลายดวงดาว!

ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะร่วงถึงพื้น เขาชี้ไปยังตำแหน่งของสุนัขทมิฬ

ตู้ม!

ดัชนีทลายดวงดาวปล่อยลำแสงสีม่วงอันแน่นไปด้วยพลังงานสายฟ้าเข้าใส่สุนัขทมิฬในชั่วพริบตา ทำให้สัตว์ร้ายไม่อาจตอบได้ทัน และถูกโจมตีในที่สุด มันร้องด้วยความเจ็บปวด

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนตกถึงพื้นในที่สุด แต่ชั่วขณะที่เท่าแตะกับพื้น เขาพุ่งไปด้านหน้าในเวลาเดียวกัน เขาดึงกำปั้นที่กำแน่นกลับมา กระแสไฟฟ้าสีม่วงเต้นไปทั่วทั้งร่างกาย และขณะที่ต่อยออกไป เขาได้ปล่อยพลังงานสายฟ้าทั้งหมดพร้อมกัน

หมัดอัสนีบาต!

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset