ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 12 : ข้า เซี่ยงเส้าหยุนจะมองดูเจ้านับจากเป็นต้นนี้ไป!

“เยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก! เจ้าพูดราวกับว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับข้ามาก่อนหรือไร? เหอะ เหอะ” หวังหยางกล่าวพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยงเส้าหยุนเป็นเพียงตัวตลกในสายตาของเขา สิ่งเดียวที่น่ากังวลคือเส้าหยุนนั้นมีความสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นศิษย์ชั้นนอกที่มีหนทางอีกยาวไกลที่ก่อนที่จะได้เติบใหญ่ แต่ก็ยังกระจิดริดในสายตาของหวังหยาง

เหล่าผู้คนภายในร้านอาหารระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาหัวเราะใส่เซี่ยงเส้าหยุนผู้โง่เขลา ดูเหมือนเขาจะนำพาความตายมาสู่ตนเอง หวังหยางลุกขึ้นจากเก้าอี้จ้องมองอย่างเชือดเฉือนไปยังเซี่ยงเส้าหยุนในขณะที่เดินเข้าไปใกล้และเริ่มปลดปล่อยพลังแห่งดวงดาวออกมา

ก่อนที่หวังหยางจะมีโอกาสเข้าประชิดตัวเซี่ยงเส้าหยุน เด็กหนุ่มก็ได้ตะโกนออกมา “คุณชายผู้นี้เป็นถึงศิษย์น้องของจื่อฉางเหอและเป็นถึงครึ่งอาวุโส! เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าเช่นนี้เชียวรึ?!”

“จื่อฉางเหอรึ? ท่านขุนนางอัสนีสีม่วง?!” หวังหยางกล่าวด้วยอาการแตกตื่น

“ศิษย์พี่หวัง อย่าได้ฟังเรื่องไร้สาระของเจ้านี่เลย ศิษย์น้องของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงงั้นรึ เขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับเราด้วยซ้ำ! รับชมเจ้านี้สิ! จะเป็นศิษย์น้องของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงไปได้อย่างไรกัน? ดูก็รู้ว่ากำลังขมขู่เรา!” ศิษย์ชั้นในที่นั่งร่วมโต๊ะกับหวังหยางกล่าวเตือน

“อืม นั่นสินะ! ไอ้เด็กเวรนี่คิดว่าข้าโง่งั้นรึ? เจ้าบังอาจนำนามของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงมาแอบอ้าง! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเสีย!” หวังหยางตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด

“เจ้ากล้ารึ? ข้าคือเซี่ยงเส้าหยุนผู้นั้นเชียวนะ!” เซี่ยงเส้าหยุนประกาศสถานะของตน

“ใครจะไปสนว่าเจ้าจะเป็น ‘เส้าหยุน’ หรือ ‘เส้าหลิน’ ยังไงข้าก็จะอัดเจ้าอยู่ดี!” หวังหยางแผดเสียงพร้อมส่งฝ่ามือตรงไปยังหน้าของเซี่ยงเส้าหยุน

ในตอนแรกนั้นเซี่ยงเส้าหยุนคิดที่จะวิ่งหนี แต่พบว่าตนได้รับผลกระทบจากออร่าของหวังหยาง สิ่งนั้นทำลายความหวังในการหลบหนีไปเสียแล้ว

“บ้าฉิบ นามของจื่อฉางเหอนี่มันช่างไร้ประโยชน์นัก! ข้าไม่สามารถแม้จะใช้มันเพื่อขัดขวางผู้อื่น!” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตนเอง

เช่นเดียวกับที่เซี่ยงเส้าหยุนคาดว่าจะโดนฝ่ามือฟาด มีบุคคลหนึ่งรีบพุ่งมาตรงหน้าเขาและหยุดฝ่ามือของหวังหยางไว้พร้อมกล่าว “หยุดมือเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ด้วยจดจำผู้ที่มาขวางได้ทันที หวังหยางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หวังเจิ้นฉวน เจ้ากล้ามาขวางข้ารึ?!”

ครั้งแรกที่พบ หวังเจิ้นฉวนไม่ได้ดูสูงวัยไปกว่าเซี่ยงเส้าหยุนเลย แม้จะไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนเขาก็จะมีฝีมือที่ดีเยี่ยม เขาเป็นศิษย์ชั้นในอีกคนที่อยู่ในสิบห้าอันดับแรกของสวนชั้นใน

หวังเจิ้นฉวนนั้นมาจากตระกูลที่ยากจน แต่พรสวรรค์ของเขานั้นเป็นอะไรที่พิเศษ ด้วยมุ่งเน้นไปทางฝึกยุทธ์และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยชื่อท่านขุนนางอัสนีสีม่วงคนถัดไป นอกจากนี้จื่อฉางเหอยังเป็นผู้ที่หวังเจิ้นฉวนนับถือในฐานะต้นแบบและยังเป็นเป้าหมายให้ตนฝึกฝนอย่างหนัก

“เขาคือศิษย์น้องของท่านอาวุโสจื่อฉางเหอ” หวังเจิ้นฉวนตอบกลับหวังหยางอย่างไม่แยแส

“นี่เจ้าตาบอดหรือไง! ด้วยยังเยาว์วัยเพียงนี้จะไปเป็นศิษย์น้องของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงได้อย่างไรกัน?! หรือแม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นศิษย์ของเขาก็ตาม แต่ข้าไม่ชอบขี้หน้ามัน! เจ้าต้องหลีกทางไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่เจ้าท้าทายข้า!” หวังหยางขู่

เขาไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด หวังเจิ้นฉวนตอบอย่างเย็นชา “เขาคือเซี่ยงเส้าหยุนผู้ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้าเมื่อวานนี้”

หลังจากพูดจบ คำพูดเหล่านั้นดังก้องไปทั่วโรงอาหาร ทำให้กลุ่มคนได้ทราบเรื่อง

“ถ้างั้นเขาก็คือเซี่ยงเส้าหยุนผู้ดึงดูดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้างั้นสิ? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนามนั่นช่างฟังดูคุ้นหูนัก! เป็นเขานั่นเอง!”

“ห้าดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้างั้นรึ! ชายผู้นี้นี่มีผังจักรราศีขั้นสูงโดยกำเนิด อนาคตของเขานั้นไร้ขีดจำกัด! แม้แต่ตำหนักยุทธ์ของเราก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ที่งดงามอันดับหนึ่งท่านกงฉินหยิน!”

“แน่นอน! ข้าช่างโชคดีพอที่จะเห็นทุกสิ่งเมื่อวานนี้! ผู้อาวุโสมากมายต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์ แม้แต่รองปรมาจารย์ตำหนักฉิงสิวเหอก็ด้วย! มันเป็นเรื่องน่าเสียดายท่านผู้อาวุโสที่สิบเก้าถึงกับกล่าวรับเขาผู้นี้เป็นลูกศิษย์ในนามอาจารย์ นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเซี่ยงเส้าหยุนนั้นเป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสที่สิบเก้าจริง!”

“หวังหยางคงจะถึงคราวซวยสำหรับการทำผิดต่อศิษย์น้องของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงเป็นแน่! ทุกวันต่อจากนี้คงจะหนักหนาสำหรับเขาแล้วล่ะ! เราควรอยู่ออกห่างไว้จะดีกว่า!”

“ถูกต้องแล้ว! ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงทั้งใจร้อนและหัวแข็ง! เขาคงจะทะนุถนอมศิษย์น้องของตนอย่างลึกซึ้ง! มิเช่นนั้นคงไม่มอบแผ่นหยกเพื่อให้เขาได้มากินอาหารที่นี่แน่! หวังหยางกล้ากลั่นแกล้งเขางั้นรึ? เจ้ามั่นใจแล้วหรือไร!”

หลังจากได้ยินเรื่องราวของศิษย์ชั้นนอกผู้นี้ สีหน้าของหวังหยางเริ่มซีดเผือด เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนนี่คงจะเป็นฝันร้ายที่สุดเพราะเจ้าเด็กนี่เป็นถึงศิษย์น้องของท่านขุนนางอัสนีสีม่วง! ตนหายไปเพียงไม่กี่วันแต่กลับมีเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น ห้าดวงดาวส่องสว่างบนท้องฟ้า! ถ้าหากฝ่ามือนี้ฟาดไปยังใบหน้าของเซี่ยงเส้าหยุนแล้วละก็ เขาคงจะพบจุดจบเป็นแน่!

อัจฉริยะระดับโลกเช่นเซี่ยงเส้าหยุนคงจะเป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าของตำหนุกยุทธ์! แม้แต่ศิษย์ส่วนตัวของเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่ต้องการทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นแน่ ดังนั้นศิษย์ชั้นในเช่นตนยิ่งไม่ควร! การกระทำเช่นนั้นคงจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง ในตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณหวังเจิ้นฉวนที่หยุดเขาไว้ได้ทันท่วงที หวังเจิ้นฉวนได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้!

ดูเหมือนว่าหวังหยางจะตัวสั่นเล็กน้อย เซี่ยงเส้าหยุนแสดงท่าทีราวกับเป็นผู้อาวุโสและกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้ถึงความผิดของตนแล้วนี่ ใช่ไหม? เจ้ายังนับว่าโชคดีเพราะนายน้อยผู้นี้เป็นคนใจกว้าง ดังนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง! ในภายภาคหน้าอย่าให้ข้าจับได้นะว่าเจ้าไปกร่างกับผู้อื่นอีก!”

“ขะ-ขอรับ ท่านอาวุโสเซี่ยง แน่นอนที่สุด! ขะ-ข้า หวังหยาง จะไม่มีวันทำเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่!” หวังหยางกล่าว ความหนาวเหน็บปกคลุมไปยังหัวใจ เขาต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะได้เข้ามาเป็นศิษย์ชั้นในและไม่ต้องการที่จะละทิ้งมันไปเช่นนี้แน่!

เซี่ยงเส้าหยุนไม่ต้องกังวลกับหวังหยางผู้น่าสมเพชอีกต่อไป เขาหันไปยังหวังหยางและตบไหล่ “เจ้าก็ไม่เลวซะทีเดียว! ข้า เซี่ยงเส้าหยุนจะมองดูเจ้านับจากเป็นต้นนี้ไป!”

หลังจากกล่าวจบเซี่ยงเส้าหยุนจึงหันกายกลับ และก้าวออกไปจากเหลาอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ สถานที่แห่งนี้เงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหมุดร่วงหล่น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นหกกำลังจะดูแลศิษย์ชั้นในจากระดับดวงดาวงั้นรึ? เหตุใดโลกมันกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้?

หลังจากที่ออกมาจากร้านอาหาร เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจตบหน้าอกและบ่นพึมพำ “นับว่ายังดีนะที่นาม ‘เซี่ยงเส้าหยุน’ ยังเป็นชื่อที่ผู้อื่นกลัวเกรง! ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับข้าแล้ว! ศิษย์ชั้นในงั้นหรือ? เหอะ พวกเขาไม่เหมาะจะเป็นคนรับใช้ของข้าเสียด้วยซ้ำ!”

เมื่อเหล่าศิษย์ที่อยู่ในร้านอาหารได้ยินคำพูดเหล่านั้น การแสดงออกของพวกเขาดูมีความซับซ้อนเล็กน้อย พวกเขาสาปแช่งอยู่เงียบ ๆ “เจ้าเด็กเหลือขอนี่มันช่างน่าโมโหเสียจริง! หวังหยางจำเป็นต้องทำตัวสุภาพเพราะสถานะของท่านขุนนางอัสนีสีม่วงโดยแท้!”

หลังจากที่โยนเหตุการณ์สั้น ๆ นี้เหล่านี้ไว้ด้านหลัง เซี่ยงเส้าหยุนไม่ได้กลับไปยังสวนชั้นนอก มันเป็นเวลาอาหารค่ำที่เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่กำลังต่อสู้แย่งชิงอาหารกันอยู่

เซี่ยงเส้าหยุนยังไม่มีแผนที่จะไปพบจื่อฉางเหอ อย่างไรแล้วจื่อฉางเหอก็คงพูดว่า ตัวเขาไม่สามารถไปถึงระดับดวงดาวภายในครึ่งปี ดังนั้นอย่าได้คาดหวังความคิดพบเจอ

ณ สวนชั้นนอก โถงวิทยายุทธ์

สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหอคอยแห่งขีดจำกัดนัก และมันดูไม่เหมือนศาลาโบราณเช่นหอคอยแห่งขีดจำกัด มีศาลาเล็ก ๆ หลายหลังที่ดูเหมือนไม่มีใครดูแล ศาลาเหล่านี้ได้กลายมาเป็น ‘โถงวิทยายุทธ์’

เซี่ยงเส้าหยุนเดินไปยังศาลาหลังแรก ภายในมีหินสูงราวสองเมตร สิ่งนี้คือศิลาฝึกวิทยายุทธ์ โดยทั่วไปแล้วศิลาฝึกวิทยายุทธ์จะทำการบันทึกวิทยายุทธ์ต่าง ๆ ไว้ภายใน ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ไม่จำเป็นต้องจองใช้งาน

ภายในศิลาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตำหนักยุทธ์ใช้สำหรับฝึกวิทยายุทธ์แก่ผู้ที่มีระดับต่ำสุด หมัดพลังปราณ เหล่าศิษย์ชั้นนอกของตำหนักยุทธ์มีสิทธิ์ที่จะได้เรียนวิทยายุทธ์ระดับหนึ่งนี้

เซี่ยงเส้าหยุนเป็นผู้ที่ชื่นชอบการอ่านตำราอย่างมาก เขามีความรู้เชิงทฤษฎีอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิทยายุทธ์ระดับสูงหลายร้อยวิชา อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาคงไม่สามารถฝึกฝนวิชาเฉพาะเหล่านี้ได้เลย

“เคยคิดว่าวิชาเหล่านี้เป็นดั่งขยะไม่ควรค่าแก่การฝึก แต่ตอนนี้คงต้องลองฝึกมันดู” เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจกับตนเอง อารมณ์มากมายพลุ่งพล่านออกมาจากใจ ในเมื่ออยู่ระดับพื้นฐาน ตัวเขาสามารถเรียนรู้ได้เพียงวิทยายุทธ์ระดับหนึ่งและระดับสองเท่านั้น วิชาระดับต่ำเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดเสียด้วยซ้ำ!

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset