ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 19 : โหมโรงแห่งการประลองยุทธ์!

แม้คลังอาวุธจะเป็นสถานที่ดูเอิกเกริกแต่เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงเศร้าใจ เขามีแต้มไม่เพียงพอจะซื้ออาวุธด้วยซ้ำ แม้จะเป็นอาวุธระดับหนึ่งก็ยังมีราคาถึงสองร้อยแต้ม แม้ว่าจะได้ส่วนลดสองในสิบสำหรับผู้ถือครองแผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดก็ตาม เขารู้สึกกดดันอย่างหนักและมันอาจทำให้เขาไม่มีแต้มกินอาหาร

“ไม่เป็นไร อาวุธจำเป็นต้องมี เพราะเราต้องไปท้าทายหอคอยแห่งขีดจำกัดห้องที่สองเซี่ยงเส้าหยุนได้ตัดสินใจแม้ต้องใช้แต้มทั้งหมดก็ตาม เขาจะต้องได้อาวุธในท้ายที่สุด หลังจากค้นหาในส่วนของอาวุธระดับหนึ่ง ดวงตาก็ได้สบเข้ากับกระบี่

กระบี่ตัดหินผาเป็นกระบี่ระดับหนึ่ง มีน้ำหนักถึงหนึ่งร้อยสามสิบเก้ากิโลกรัม เป็นอาวุธที่หนักที่สุดในอาวุธระดับเดียวกัน

“เจ้าหนู กระบี่เล่มนี้ถูกอาบด้วยเหล็กทมิฬเพียงเล็กน้อย น่าเสียดายที่คุณภาพของเหล็กทมิฬนั้นไม่ได้ดีที่สุด หรือแม้มันจะดูเหมือนลอกเลียนแบบมาจากอาวุธระดับสอง แต่อาวุธชิ้นนี้มันหนักมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานปกติคงไม่สามารถใช้กระบี่เล่มนี้ให้คล่องแคล่วได้โดยง่าย”

สำหรับกระบี่ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมนั้น ผู้ที่อยู่ระดับพื้นฐานขั้นสามสามารถยกขึ้นได้ แต่ทว่าเพื่อที่จะใช้ได้อย่างชำนาญจะต้องมีพละกำลังแขนที่เพียงพอและความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะใช้อาวุธที่มีน้ำหนักไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลกรัม

“ท่านผู้ดูแลกล่าวถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้มันได้โดยง่าย แต่มันเหมาะกับข้า เซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้จะใช้มัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับในทันที

“โอ้? เจ้าแน่ใจนะ? ลองดูก่อนเถิด! ข้าจะมอบส่วนลดหนึ่งในสิบแก่เจ้า” ผู้ดูแลกล่าวดวงตาของเขาเป็นประกาย

“ส่วนลดหนึ่งในสิบงั้นรึ? ดีเลย! เมื่อรวมกับส่วนลดอีกสองในสิบสำหรับหอคอยแห่งขีดจำกัด ก็เป็นว่าได้ส่วนลดถึงสามในสิบเลยเชียว! เช่นนั้นค่อยมีแต้มเหลือไปทำอย่างอื่น!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบอย่างมีความสุข

กระบี่ตัดหินผานั้นเป็นอาวุธที่มีราคาถึงสองร้อยหกสิบแต้มซึ่งค่อนข้างแพง หลังจากหักราคาสองในสิบไปเซี่ยงเส้าหยุนก็เหลือแต้มอีกสิบกว่าแต้ม  อย่างไรก็ตามด้วยส่วนลดเพิ่มเติมจากผู้ดูแลนั้นเขามีคะแนนเพียงพอที่จะจ่ายได้ และยังเพียงพอที่จะใช้จ่ายไปได้อีกสองสามวันข้างหน้า

“เจ้าหนู แผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดงั้นรึ! ทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้! ทำข้าขาดทุนแล้ว” ผู้ดูแลร้องออกมาด้วยความตะลึง

“ทำไมท่านถึงขาดทุนเล่า? เมื่อใดที่ข้าไปกินอาหารในเหลาอาหารก็ได้รับส่วนลดถึงสี่ในสิบ แต่กับโถงโอสถและคลังอาวุธกลับลดให้ข้าเพียงสองในสิบเท่านั้นเอง” เซี่ยงเส้าหยุนไม่พอใจเล็กน้อย

“เจ้ารู้อะไรไหม? อาหารนั้นสามารถหาได้จากทุกที่! แต่สำหรับอาวุธและยานั้นไม่ได้หาได้ง่ายดายเช่นนั้น! ส่วนลดสองในสิบนับว่ามากโขแล้วสำหรับศิษย์ส่วนตัว!” ผู้ดูแลตอบกลับ

เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะเบา ๆ และเลือกที่จะไม่พูดต่อก่อนจะออกไปจากคลังอาวุธพร้อมด้วยกระบี่ตัดหินผาในมือ กระบี่ตัดหินผาเป็นอาวุธที่เขาเลือกใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่เติบโตขึ้นก็ยิ่งไม่เหมาะแก่การใช้กระบี่เล่มนี้

เป็นอีกครั้งที่เขาไปยังเหลาอาหาร เซี่ยงเส้าหยุนใช้แต้มทั้งหมดแลกกับอาหารเพื่อเตรียมสำหรับการฝึกวิชากระบี่ นี่ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการประลองกับอู่หมิงเหลียง

ในบรรดาวิทยายุทธ์ระดับหนึ่งทั้งห้าแบบที่ได้รับมาจากโถงวิทยายุทธ์ของสวนชั้นนอก มีวิชาที่เรียกว่าผ่าทลายภูผาอยู่ซึ่งน่าจะเข้ากันได้กับกระบี่ตัดหินผาเล่มนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลแรกและสำคัญที่สุดที่เขาเลือกกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธ

บางทีกระบี่ตัดหินผาอาจจะเข้ากับวิชาผ่าทลายภูผาก็เป็นได้? ความสำคัญของวิชาผ่าทลายภูผาอยู่ที่ “ความหนัก” ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีความหนักเพียงพอที่จะดึงเอาศักยภาพของวิชาทลายภูผาออกมาอย่างเต็มที่

ภาพแสดงวิชาผ่าทลายภูผาถูกฉายขึ้นในหัวของเซี่ยงเส้าหยุน หลังจากที่รวมมันไว้ด้วยกันทั้งสองสามภาพก็ได้เกิดเป็นวิธีสาธิตการใช้ของกระบี่ตรงหน้า หลังจากนึกภาพในหัวซ้ำ ๆ จึงเริ่มฝึกวิชาผ่าทลายภูผาด้วยกระบี่เล่มนี้

ความเข้าใจในวิทยายุทธ์ของเซี่ยงเส้าหยุนอยู่ในระดับที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้ ในขณะที่ฟันกระบี่แล้วตามด้วยการเฉือน ความเข้าใจในวิชากระบี่ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงหมกมุ่นกับการฝึกจนเวลาล่วงเลยไปสี่วันติดต่อกัน

ในที่สุดวันที่เซี่ยงเส้าหยุนและอู่หมิงเหลียงจะได้ประลองกันก็มาถึง รอบด้านสนามประลองชั้นนอกมีเหล่าศิษย์ชั้นนอกมากมายนับร้อยคนนั่งชมอยู่ พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น

หนึ่งในผู้เข้าร่วมเป็นถึงศิษย์ชั้นนอกอันดับสี่ ผู้มีวิทยายุทธ์กล้าแกร่งกว่าศิษย์ระดับพื้นฐานทั่วไป และอีกผู้หนึ่งคืออัจฉริยะที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนฟากฟ้า เป็นเรื่องน่าเสียดายในสายตาผู้อื่นที่เขาเป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นสามเท่านั้น

ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ทุกคนต่างเชื่อว่าฝ่ายหลังจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ดูนั่นสิ ดูนั่น! นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่โม่ปูหุยรึ? ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาเลยตั้งแต่วันทดสอบ!” ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไปยังทิศทางนั้น

มุมหนึ่งนั้นมีชายหนุ่มรูปงามถือดาบ เขาสูงใหญ่กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมาก ส่งผลให้ราวกับเป็นนกกระเรียนซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ นอกจากนี้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเฉยเมยอย่างที่สุด ทำให้ดูราวกับตัวเขานั้นอยู่ห่างไกลสุดลูกหูลูกตา

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นี้คือโม่ปูหุย อันดับสองของผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานชั้นนอกที่เก่งที่สุด ได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง

ผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กสาวผู้มีรูปลักษณ์อันพิเศษในอาภรณ์ลายบุปผา และสีสันบนอาภรณ์นั้นราวกับจะทำให้ทัศนียภาพโดยรอบส่องสว่างขึ้น นางคือเหม่ยเหลียนฮวา อันดับสามของเหล่าศิษย์ชั้นนอก

“ศิษย์พี่เหม่ยก็มาเช่นกันรึ! แม้แต่พวกเขาทั้งสองก็อยากรู้ว่าเซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้มีความพิเศษมากเพียงใด!”

“แน่นอนอยู่แล้ว! อู่หมิงเหลียงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับทั้งสอง พวกเขาไม่ได้มาดูอู่หมิงเหลียงแน่นอน!”

“ศิษย์พี่โม่ นี่มันคุ้มค่าที่เราจะมาดูการประลองครั้งนี้จริงหรือ?” เหม่ยเหลียนฮวาถามด้วยท่าทางที่สง่างาม ขณะที่จัดระเบียบเส้นผมที่ปกหน้า

“ข้าเพียงอยากจะชมความพิเศษของเด็กหนุ่มผู้สร้างปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนสรวงสวรรค์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรแน่ ถึงได้กล้าท้าทายอู่หมิงเหลียงผู้อยู่ขั้นเก้าทั้งที่ตนเองอยู่เพียงขั้นสาม” โม่ปูหุยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

เหม่ยเหลียนฮวาให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ “แม้เขาจะมีร่างกายที่ไม่ธรรมดา คงสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการฝึกยุทธ์ได้มากที่สุดเพียงหนึ่งขั้น เว้นเสียแต่ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจะใช้ยาวิญญาณหลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มระดับการฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง ช่างแส่หาความพ่ายแพ้สู่ตนเองโดยแท้”

“ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงคงไม่โง่เขลาขนาดจะเร่งการเติบโตของอัจฉริยะแน่ เพราะนั่นจะเป็นความโง่เขลาอย่างที่สุด” โม่ปูหุยครุ่นคิดกับตนเองสั้น ๆ “หากเขาสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นเราควรชักชวนเขาให้เข้าร่วมกับแผนการของเรา”

“ไม่มีทาง! คงไม่ได้จะยอมรับเขาโดยง่ายแค่นี้กระมัง?” เหม่ยเหลียนฮวาคัดค้าน

“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการทุกสิ่งที่นั่นเพียงสองคน นอกจากนี้การที่จะดึงเขามาเข้าร่วมกับแผนการของเราจะต้องไม่อ้อมค้อมและมอบโอกาสแก่เขา” โม่ปูหุยกล่าวขณะที่ความคิดต่าง ๆ เข้ามาในหัว

“คุณชายอู่มาถึงแล้ว” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทั่วทั้งลานประลองต่างจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน

อู่หมิงเหลียงเข้ามายังสนามประลองพร้อมลิ่วล้อ อู่หมิงเหลียงได้กระโดดขึ้นไปบนลานประลองด้วยการแสดงออกที่ร่าเริงบนใบหน้า เขาเผยออร่าที่โดดเด่นเหนือล้ำ

“เซี่ยงเส้าหยุน รีบขึ้นมา ข้าจะได้สังหารเจ้าเสีย!” อู่หมิงเหลียงตะโกนเย้ยหยัน เสียงนั้นดังกึกก้องโดยเฉพาะคำพูดเหล่านั้นดังไปทั่วทุกซอกหลืบของสวนชั้นนอก

“เจ้ากระหายอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ? ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง!” เสียงดังชัดเจนตะโกนออกมาจากระยะไกล

เมื่อเห็นเซี่ยงเส้าหยุนกำลังเดินเข้ามา บาดแผลบนใบหน้าได้หายไปแล้ว เขาดูดีมากกว่าครั้งแรกที่มาถึงเสียอีก ด้วยหวีผมเป็นพิเศษแก่สถานการณ์นี้ จึงเป็นส่วนช่วยให้เขาดูอาจหาญมากขึ้น

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset