ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 33 : ครั้งแรกของข้า!

เซี่ยงเส้าหยุนขนลุกทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร จึงกระโดดไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกการโจมตีที่หมายจะสังหารตน ลูกศรปักแน่นในตำแหน่งที่เขายืนก่อนหน้า

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร! ผู้ใดเป็นคนยิงธนูนั่น?” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนด้วยความโกรธ

“ไปให้พ้นจากของเหล่านั้น แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!” เสียงเย็นชาดังขึ้น หลังจากเสียงนั้นกล่าวจบ กลุ่มคนก้าวเท้าออกจากป่า ปรากฏห้าร่างซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับเซี่ยงเส้าหยุนทว่าระดับยุทธ์นั้นเทียบเท่า หัวหน้ากลุ่มนั้นเป็นเพียงระดับดวงดาวขั้นหนึ่ง ส่วนเหล่าสมุนเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นแปดและเก้า

ผู้เยาว์เหล่านี้มิได้มาจากเมืองอู่ เช่นนั้นพวกเขาคงมาจากเมืองใกล้เคียง เมืองเหมินมีสำนักฝึกยุทธ์ของตัวเอง ซึ่งถูกเรียกขานว่าสำนักฝึกยุทธ์เหมิน มีชื่อเสียงความห้าวหาญและความสำเร็จใกล้เคียงกันกับตำหนักยุทธ์ ด้วยเหตุนี้ความคัดแย้งระหว่างทั้งสองจึงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

หัวหน้าของกลุ่มเป็นผู้ยิงธนู ถูกเรียกด้วยนามลั่วหลิวเฟิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับศิษย์ชั้นนอกของสำนักฝึกยุทธ์เหมิน เขาเพิ่งจะบรรลุถึงระดับดวงดาวเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังจะได้เข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในในเร็ววัน เซี่ยงเส้าหยุนไม่ได้ถูกกดดันจากการปรากฏตัวนักและครุ่นคิดกับตนเอง ‘ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงระดับดวงดาวขั้นแรก ไร้ซึ่งเหตุให้ต้องเกรงกลัว’

“เจ้าคิดจะขโมยของจากคุณชายผู้นี้รึ? เข้ามาเอาสิหากเจ้าทำได้!” เซี่ยงเส้าหยุนยืนขึ้น วางกระเป๋าไว้ที่เดิม และจ้องไปยังกลุ่มคน เขาเพิ่งจะถูกหมายหัวจากกลุ่มคนเหล่านี้ หากแสดงท่าทีอ่อนแออาจถูกเย้ยหยันได้

“เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! เป็นเพียงขยะระดับพื้นฐานขั้นเจ็ดยังกล้าแสดงท่าทีโอหังเช่นนี้เชียวรึ? ลั่วฉือ สังหารมันเสีย!” ลั่วหลิวเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา

เด็กหนุ่มหัวล้านรูปร่างอ้วนท้วนยืนขึ้นและตอบ “รับทราบ ดูเหมือนเขาจะเป็นศิษย์จากตำหนักยุทธ์ รับชมข้าจับมันหักแขนขาแล้วโยนให้สัตว์ร้ายกิน!”

ลั่วฉือก้าวเดินไปด้านหน้าไม่กี่ก้าวและปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่เซี่ยงเส้าหยุน หมัดที่ปล่อยออกมีพลังไม่น้อยกว่าสี่ร้อยห้าสิบกิโลกรัม หากโดนมันเข้า ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไประดับพื้นฐานต้องพบกับความพ่ายแพ้ ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะวิ่งหนีแทนที่จะเผชิญหน้ากับหมัดที่ถูกปล่อยออก แต่ในทางกลับกันเซี่ยงเส้าหยุนปล่อยหมัดปะทะในทันที

หมัดพลังปราณ!

หลังจากที่ใช้วิชาได้อย่างมั่นคง พลังพวยพุ่งราวกับสายน้ำบังคับให้ปั่นป่วนและดุร้าย ราวกับเสียงคำรามของมังกร

โครม!

“อ๊ากก!”

เมื่อทั้งสองหมัดกระทบกัน ลั่วฉือผู้ที่แสดงท่าทีมั่นใจก่อนหน้ากลับร้องออกด้วยความเจ็บปวด กำปั้นหงิกงออย่างไร้ความปราณีจากหมัดที่ปะทะกัน เซี่ยงเส้าหยุนไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายถอย เขาพุ่งไปข้างหน้าอีกครา ก่อนจะแทงเข้าไปที่คอของลั่วฉือ

เพื่อที่จะกลายเป็นวีรบุรุษ จะต้องมีความเหี้ยมโหด! เซี่ยงเส้าหยุนต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้งได้อีก เช่นนั้นเขาจึงต้องร้ายกาจต่อศัตรู

“เจ้าบ้า หยุดนะ!” ลั่วฉือกล่าวเตือน เมื่อรู้สึกว่าเซี่ยงเส้าหยุนหมายจะสังหารตน ทว่าสายไปเสียแล้ว วินาทีที่ข้อศอกของเซี่ยงเส้าหยุนสัมผัสกับลูกกระเดือกของลั่วฉือ พลังห้าร้อยกิโลกรัมได้ทำลายลูกกระเดือกของเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย ทำให้เขาตายในทันที

“จะ เจ้าฆ่าลั่วฉือรึ? บ้าเอ้ย! ฆ่ามัน!” ลั่วหลิวเฟิงคำรามอย่างบ้าคลั่งอย่างที่สุด

“เจ้าเป็นผู้สั่งให้เขามาสังหารข้า เช่นนั้นจะให้ข้าทำเช่นไร? นี่มันช่างน่าขัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบโต้ ก่อนจะพุ่งไปด้านหน้า เขาตั้งใจสังหารศัตรูทุกคนตรงหน้าและปล่อยหมัดพลังปรานอีกครั้ง หลังจากเห็นการตายของลั่วฉือ เหล่าผู้เยาว์ที่เหลือต่างระมัดระวังมากขึ้น พวกเขาหยิบอาวุธขึ้นมาปัดป้องหมัดที่พุ่งใส่

เมื่อไม่อาจสิ่งอะไรได้ เซี่ยงเส้าหยุนจึงหยิบกระบี่ตัดหินผาและฟันครั้งแล้วครั้งเล่าใส่กลุ่มคน กระบี่ซึ่งหนักถึงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม เพิ่มพละกำลังแก่เซี่ยงเส้าหยุนซึ่งเดิมทีแข็งแกร่งถึงห้าร้อยกิโลกรัม ทำให้การฟันแต่ละครั้งมีแรงกว่าหกร้อยห้าสิบกิโลกรัม ด้วยหนึ่งการฟัน เขาสามารถเอาสังหารทหารนับพันและชนะศึกได้ด้วยตัวคนเดียว ช่วงเวลาที่กระบี่สัมผัสกับอาวุธของกลุ่มผู้เยาว์นั้น มือของพวกเขาอ่อนปวกเปียก ทำให้อาวุธกระเด็นออกจากมือในทันที

“สังหาร!” เจตนาในการสังหารของเซี่ยงเส้าหยุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนจะฟาดฟันกระบี่ไปทางผู้เยาว์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

กระบี่ตัดหินผาไม่อาจมีผู้ใดต้านทานได้ในขณะนี้

ฉับ!

ด้วยไม่อาจหลบได้ทัน ผู้เยาว์ผู้โชคร้ายถูกหั่นเป็นสองซีกทันที เลือดสดพุ่งไปทั่วทุกหนแห่ง ผู้เยาว์อีกสองคนหวาดกลัวอย่างที่สุด พวกเขาไม่กล้าที่จะโจมตีเซี่ยงเส้าหยุนอีก

“ลงนรกซะ!” ลั่วหลิวเฟิงที่มองดูอยู่ใกล้เคียงเตรียมยิงธนู เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มหมุนเวียนพลังกลับมาใช้งานอีกครั้งอย่างช้า ๆ ภายในร่างกาย ทำให้เขาอ่อนแอ

แม้เซี่ยงเส้าหยุนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เฉียบคม เขาไม่มีทางหลบลูกธนูของผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวได้เลย ในสถานการณ์เช่นนี้ทำได้เพียงบิดร่างกายอย่างแรงเพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตีที่จุดสำคัญ

อ๊าก!

ลูกศรซึ่งมีพลังดวงดาวอยู่ภายใน ยิงเข้าที่ไหล่ของเซี่ยงเส้าหยุน ก่อให้เกิดความปวดร้าวจนถึงกระดูก หากไม่ใช่ร่างกายของเขาซึ่งแข็งแกร่งกว่าผู้ยุทธ์ระดับพื้นฐานทั่วไป ร่างกายอาจระเบิดออก

“ฆ่ามัน!” ลั่วหลิวเฟิงออกคำสั่งอีกครั้ง ในสายตาของเขา เซี่ยงเส้าหยุนเป็นเพียงลูกเป็ดอ่อนแอไร้ซึ่งพลังต้านทาน ผู้เยาว์อีกสองคนหยิบอาวุธขึ้นอีกครั้งและพุ่งเส้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน

ดาบของผู้เยาว์เหล่านั้นเล็งมาที่หัวใจของเซี่ยงเส้าหยุน ออร่าของเซี่ยงเส้าหยุนเปลี่ยนไปในทันที “เจ้าหมายจะสังหารข้ารึ? เจ้าไม่สมควรทำเช่นนั้น!”

เขาฟันกระบี่ตัดหินผา ประกายแสงสีขาวพุ่งออกจากกระบี่

ชิ้งงง!

ความน่าสะพรึงของการฟาดฟันกระบี่คือน้ำหนัก นอกจากนี้แสงสีขาวบริสุทธิ์ของเซี่ยงเส้าหยุนไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานทั่วไปจะสามารถปัดป้องได้

เมื่ออาวุธกระทบกับพลังของกระบี่ ผู้เยาว์ที่อยู่ตรงหน้าและอาวุธของเขาถูกผ่าครึ่งในทันที รวมไปถึงผู้เยาว์ที่อยู่ด้านหลังเองก็ถูกผ่าที่ท้องด้วย ทำให้อวัยภายในไหลออก

“อ๊ากกก! ละ ลูกพี่! เขาอยู่ระดับดวงดาว!” ผู้เยาว์ที่ได้รับบาดเจ็บร้องออกด้วยความเจ็บปวด ขณะถอยออกมา

ไร้ซึ่งคำกล่าวใด ลั่วหลิวเฟิงได้สังเกตจากข้อเท็จจริง โดยไม่ต้องพิจารณสิ่งใดอีก เขาหยิบลูกศรที่สองขึ้นพร้อมกล่าวอย่างร้ายกาจ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอีกต่อไป!”

ชั่วขณะที่เขากำลังยิงลูกธนูออก แสงสีขาวพุ่งเข้าใส่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง ได้มีเงาสีขาวจับเข้าที่แขน

“เหมียว!”

“อ๊าก!”

เงานั้นมิใช่ใครอื่น เป็นเจ้าเสือน้อยนั่นเอง ที่กำลังจับแขนของลั่วหลิวเฟิงเอาไว้

ลั่วหลิวเฟิงปล่อยลูกธนูออกจากมือและร้องออกด้วยความเจ็บปวด “เจ้ามาจากไหนกัน! ไปให้พ้น!” เขาสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อพยายามสะบัดเจ้าเสือน้อยออก เจ้าเสือน้อยยังเยาว์นักจึงกัดแขนของเขาได้ไม่ลึก ดังนั้นมันจึงถูกเหวี่ยงไปไกล

เซี่ยงเส้าหยุนที่บาดเจ็บหนักได้ลุกขึ้น ตอนนี้เขากวัดแก่งกระบี่อีกคราและฟันไปที่ผู้เยาว์ที่อยู่ใกล้เคียงอย่างแรง

“ลงนรกไปเสีย!” ระหว่างที่กระบี่ของเซี่ยงเส้าหยุนกำลังฟาดลง ผู้เยาว์ที่ตกเป็นเป้าหมายหวาดกลัวจนตัวแข็ง และไร้ซึ่งโอกาสหลบหลีก ทำให้เขาล้มลงหัวฟาดอย่างแรงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

หลังจากฆ่าสมุนคนสุดท้าย ดวงตาของเซี่ยงเส้าหยุนหันไปทางลั่วหลิวเฟิง เขารู้สึกเย็นยะเยือก สภาพแวดล้อมต่างไปจากเดิมและเขาหันไปวิ่งในทันที

“ข้าจะจำเจ้าไว้! ข้า ลั่วหลิวเฟิง จะเป็นผู้ตัดหัวเจ้าในภายภาคหน้า!”

 

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset