ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 34 : รักษาบาดแผล!

หลังจากที่ได้เห็นลั่วหลิวเฟิงถอยร่นไป เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก สถานการณ์ในตอนนี้ช่างเสี่ยงนัก หากคู่ต่อสู้ไม่ล่าถอยไปตัวเขาเองคงมิอาจสู้ลั่วหลิวเฟิงได้แน่

เซี่ยงเส้าหยุนไม่กล้าดึงลูกศรที่ปักไหล่ออก ในทางตรงข้ามเขาเดินกระเผลกไปหาเจ้าเสือน้อยทั้งที่มีลูกศรปักคาที่ไหล่

เจ้าหนู เจ้ายังไม่ตาย! เซี่ยงเส้าหยุนอธิษฐานในใจ

ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก่อนหน้า เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าเสือน้อยได้ช่วยชีวิตเขาไว้จากสถานการณ์วิกฤติ ด้วยความหวังว่าจะไม่เกิดสิ่งใดขึ้นกับมัน ก่อนที่จะเข้าใกล้มันเจ้าเสือน้อยเริ่มวิ่งเหยาะ ๆ มาที่เขาอย่างเชื่องช้า แม้มันจะดูไม่สบายตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มิได้รู้สึกลำบากเฉกเช่นเซี่ยงเส้าหยุนแม้แต่น้อย

“เยี่ยม เจ้าคู่ควรแก่การเป็นสัตว์อสูรแล้ว!” เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงสรรเสริญ

“เหมียว”

เจ้าเสือน้อยตอบกลับเซี่ยงเส้าหยุนด้วยท่าทีเป็นมิตร ก่อนจะวิ่งไปพันแข้งพันขาของเขาเพื่อแสดงความสนิทสนม

เซี่ยงเส้าหยุนรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ชะล้างตัวเขา มันเป็นความอบอุ่นอย่างแท้จริง ในอดีตเขาถูกทรยศโดยเพื่อนรักทั้งสอง ดังนั้นความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกทรยศจึงก่อให้เกิดความระแวดระวังตัวโดยธรรมชาติต่อผู้ที่พยายามเข้าหา นับแต่นั้นเขาจะจดจำเพียงผู้ที่จริงใจอย่างแท้จริงเท่านั้น แม้ผู้ร่วมเดินทางในครานี้จะเป็นสัตว์อสูร แต่ก็มีความซื่อสัตย์กว่ามนุษย์อย่างมาก

“บางทีมารดาของเจ้าอาจจะจากไปแล้ว นับแต่นี้ไปเจ้าต้องติดตาม ข้า เซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้ นับแต่นี้เราจะร่วมทุกข์ร่วมสุข และแข็งแกร่งไปด้วยกัน!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างเคร่งขรึมกับเจ้าเสือน้อย พร้อมจับอุ้งเท้าของมัน เจ้าเสือน้อยกระโดดขึ้นไปในอากาศทันที และลงที่ไหล่อีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

เซี่ยงเส้าหยุนขบฟันก่อนจะหยิบสัมภาระที่กองกับพื้นและหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เพิกเฉยต่อสิ่งของที่ติดตัวศพผู้เยาว์ เวลานี้เขาไม่สู้ดีนัก ไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งของระดับต่ำให้เสียเวลา โชคดีที่การปรากฏตัวของปีศาจระดับสูง ทำให้ปีศาจระดับต่ำและกลางจำนวนมากต่างหวาดกลัว มอบโอกาสหลบหนีแก่เซี่ยงเส้าหยุน

มิเช่นนั้น เขาคงตกอยู่ในความลำบากหากสัตว์อสูรหนึ่งหรือสองตัวโผล่ออกมา หลังจากเดินไปได้ซักระยะหนึ่ง เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มรู้สึกเวียนหัว เป็นสัญญาณของการเสียเลือดมากอย่างรวดเร็ว

เซี่ยงเส้าหยุนดึงโสมเหลืองที่เพิ่งได้มาอย่างไร้ทางเลือก ก่อนจะยัดมันลงคอ โสมเหลืองมีค่าใกล้เคียงกับยาวิญญาณระดับต่ำ มันมีประสิทธิภาพทางการแพทย์อย่างน่ามหัศจรรย์ มันจะเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงและเติมพลังปราณที่สำคัญแก่ผู้ใช้ ด้วยการสนับสนุนของโสมเหลือง เขาเดินไปอีกเพียงเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงในที่เปล่าเปลี่ยว

“เราจะต้องเอาลูกศรออกโดยเร็ว มิเช่นนั้นหากบาดแผลแย่ลงต้องเป็นปัญหาแน่” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบากับตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบหยิบสมุนไพรบางอย่างออกจากกระเป๋า มีหญ้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวซึ่งมีอายุถึงหนึ่งร้อยปีที่ได้จากตำหนักยุทธ์ เขาบดมันและเตรียมจะใช้มันทำให้เลือดแข็งตัว

บาดแผลด้านนอกสมานอย่างรวดเร็วหลังจากใช้ยา เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้น เขาฉีกเสื้อผ้าท่อนบนออกเผยให้เห็นบาดแผลมากมายบนร่างกาย บาดแผลทั้งหมดซึ่งได้รับจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าสิ่งที่คุกคามที่สุดที่ได้เจอคือพวกของลั่วหลิวเฟิง ซึ่งตัดเข้าไปถึงกระดูก

“ข้าจะจำความแค้นนี้ไว้” เซี่ยงเส้าหยุนพึมพำกับตนเองอย่างร้ายกาจ เขาจับที่ฐานของลูกศรซึ่งติดกับผิวหนังอย่างแน่นก่อนจะดึงออกในคราเดียว

“อ๊าก!”

หลังจากดึงลูกธนูออกในทันที เลือดเริ่มปะทุออกราวกับน้ำพุ ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสดและสร้างความเจ็บปวดจนถึงขั้นเป็นลม

พรสวรรค์จินตภาพ!

เซี่ยงเส้าหยุนบังคับตนเองให้เข้าสู่สภาวะจินตภาพ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวด มือข้างที่ว่างเอื้อมไปหยิบห่อยาที่วางบนพื้นแล้วป้ายมันลงไปที่บาดแผล

ฉ่า!

วินาทีที่ตัวยาสัมผัสกับบาดแผล เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มหอบอย่างเย็นยะเยือก เหงื่อเย็นไหลอาบทั่วใบหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว นับเป็นโชคดี ด้วยสภาวะจินตภาพช่วยเบี่ยงเบนความคิดต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และแบ่งเบาความเจ็บปวดที่เขารู้สึกได้มาก

ด้วยประสิทธิภาพทางการแพทย์ของสมุนไพรเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเซี่ยงเส้าหยุนได้ เขาจับลมหายใจ ก่อนจะหยิบยาฟื้นฟูออกจากกระเป๋าและกลืนในทันที เมื่อได้รับการเยียวยาทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน สถานการณ์ของเซี่ยงเส้าหยุนดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ทว่าใบหน้ายังคงซีดเซียว เขาต้องการฟื้นฟูเลือดและพลังปราณก่อนที่จะสามารถจัดการกับปัญหาได้ เขาหยิบเนื้อออกมาเคี้ยวและแบ่งเศษเนื้อโยนให้เจ้าเสือน้อย เห็นได้ชัดว่ามันหิวโหยอย่างมาก มันกินเนื้อหมดในสองถึงสามคำเท่านั้น

เซี่ยงเส้าหยุนเองกินไปได้เพียงเล็กน้อย เขาแค่กินเพียงเพื่อให้รอดไปได้เท่านั้น และมอบเนื้อส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าเสือน้อย ด้วยเป็นหนึ่งในราชันแห่งสรรพสัตว์ เป็นอีกครั้งที่เนื้อหมดภายในพริบตา หลังจากอิ่มท้องมันเดินเข้ามาใกล้มือเซี่ยงเส้าหยุนอย่างมีความสุขเพื่อแสดงความเสน่หา

“เจ้าหนู เจ้านี่กินจุเหมือนกัน! ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเร่งฟื้นฟูให้เร็วกว่านี้ เพื่อหาอาหารเพิ่ม” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะและเกาคางเจ้าเสือน้อย เขารู้สึกได้ว่าเจ้าเสือน้อยพิเศษมาก มันเข้าใจภาษามนุษย์ได้ตั้งแต่ยังเยาว์ สายเลือดของมันมิได้ใกล้เคียงกับเสือลาย ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้ตัดสินใจจะดูแลเจ้าเสือน้อยให้เติบใหญ่และแข็งแกร่งไปพร้อมกัน

“เจ้าเล่นอยู่แถวนี้ก่อน อย่าไปไกลนัก!” เซี่ยงเส้าหยุนเตือนมันก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ช่วงต่อไปในการรักษา หลังจากเจ้าเสือจากไปอย่างเชื่อฟัง เซี่ยงเส้าหยุนหยิบโสมเหลืองอีกครึ่งหนึ่งและกลืนมันทั้งหมด

เขาทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มเปิดใช้งานตำราราชันพิชิตสวรรค์ ดูดซับคุณสมบัติทางการแพทย์ของโสมอย่างรวดเร็ว หลังจากต่อสู้และเข่นฆ่าสัตว์ร้ายมากมายในสองถึงสามวันที่ผ่านมา เซี่ยงเส้าหยุนได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับพื้นฐานขั้นเจ็ด ด้วยคววามช่วยเหลือของโสมเหลือง การบรรลุไปอีกขั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากดูดซับคุณสมบัติทางการแพทย์ของโสมเหลืองทั้งหมดแล้ว บาดแผลทั้งเล็กแหละใหญ่บนร่างกายหายสนิท นอกจากนี้พลังงานของเก้าดวงดาวยังปั่นป่วนและรุนแรง ทำให้บรรลุไปถึงระดับพื้นฐานขั้นแปดได้โดยพลัน เพียงโสมเหลืองอายุสามร้อยปีเพียงต้นเดียวจะช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานทั่วไปสามารถบรรลุได้ถึงสองขั้นโดยง่าย

อย่างไรก็ตามเซี่ยงเส้าหยุนมีรากฐานที่ยอดเยี่ยมกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานทั่วไป ข้อเท็จจริงที่เก้าดวงดาวตื่นขึ้น โสมเหลืองเพียงต้นเดียวทำให้เขาบรรลุไปหนึ่งขั้นนั้นถือว่ามากโข ด้วยใช้ประสิทธิภาพทางการแพทย์เพียงครึ่งหนึ่งในการรักษาบาดแผล พลังงานเพียงเล็กน้อยผลักดันเขาให้เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของระดับพื้นฐานขั้นแปด

แม้ระดับยุทธ์จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เซี่ยงเส้าหยุนกลับรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งนั้นเพิ่มขึ้นถึงห้าสิบกิโลกรัม ในความเป็นจริง มันมากกว่าคนปกติถึงสามในห้า

สิ่งนี้เป็นประโยชน์จากการตื่นของดวงดาว ด้วยความก้าวหน้า เซี่ยงเส้าหยุนอยู่ในสภาพที่ดีกว่าก่อนหน้า เลือดและพลังปราณของเขาแข็งแรงขึ้น รวมไปถึงความเร็วในการรักษาบาดแผลที่เพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากนั่งสมาธิอีกครึ่งวัน เขารู้สึกได้ว่าบาดแผลนั้นดีกว่าตอนแรกมาก ในเวลานี้ดวงอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้า นั่นหมายถึงสัตว์ร้ายมากมายกำลังจะออกล่า เจ้าเสือน้อยกลับมาหลบด้านข้าง ไร้ซึ่งความกล้าที่จะเดินไปมาโดยรอบ

“โฮก!”

ใกล้กันนั้นมีเงาดำโผล่ขึ้นจากหลังหิน ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้เซี่ยงเส้าหยุน เขาตั้งท่าป้องกันก่อนจะมองอย่างรวดเร็ว และอุทาน “สิงโตโลหิตดำ! แม้จะยังไม่โตเต็มที่แต่ก็น่าจะเป็นระดับสูงสุดของปีศาจชั้นต่ำ”

เมื่อรู้สึกถึงได้ถึงแววตาของเซี่ยงเส้าหยุน สิงโตโลหิตดำพุ่งตรงมาที่เขาทันที

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset