ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 48 : ด้วยความคิดเช่นนี้ของศิษย์พี่

ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รุ่งเช้าได้มาถึง เซี่ยงเส้าหยุนได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว เขาออกมารับแสงแดดเพื่อดูดซับเอาปราณสีม่วงที่มากับแสงอาทิตย์แรกของวัน ทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายและอบอุ่น ขณะที่พลังงานภายในหนาแน่นขึ้น

พลังดวงดาวของเขาเพิ่มขึ้น สิ่งที่จำเป็นในการดูดซับพลังจากดวงดาวและดวงจันทร์ แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศตอนนี้ จึงมองหาดวงจันทร์และดวงดาวได้ยากยิ่ง เช่นนั้นดวงอาทิตย์จึงเป็นแหล่งพลังงานที่ดีที่สุด

ตำนานเล่าขาน ยอดฝีมือบางคนสามารถฝึกยุทธ์ได้ด้วยแสงอาทิตย์ ทำให้การฝึกยุทธ์เติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้มีความสามารถในการฝึกยุทธ์จะมีพลังที่จะทำให้โลกแตกแยกได้ เช่นเดียวกับเทพเจ้า

เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของเซี่ยงเส้าหยุนที่เติบโตขึ้น จำนวนในการดูดซับปราณสีม่วงจึงเพิ่มขึ้นตาม ด้วยร่องรอยของพลังนั้นไร้ขอบเขตภายใน เมื่อพลังงานถูกดูดซับจากปราณสีม่วงเข้ามาในดวงดาว ดวงดาวจะส่องสว่างขึ้น พลังงานบางส่วนรั่วไหลออกจากดวงดาว และการรั่วไหลนั้นจะไปชำระจุดฝังเข็มทั้งสามร้อยหกสิบห้าจุดภายในร่างกาย ทำให้จุดฝังเข็มทั้งหมดส่องแสงเป็นประกายเช่นกัน

ในความเป็นจริง ร่างกายทุกส่วนของเซี่ยงเส้าหยุนดูเหมือนจะเรืองแสงเล็กน้อย ปลดปล่อยออร่าอันน่าพิศวงออกมา หลังจากพลังงานหมุนเวียนได้หนึ่งรอบภายในร่างกาย พวกมันถูกดูดเข้าไปในทะเลจักรวาลดวงดาว จากนั้นก็หลอมรวมเป็นพลังงานใหม่ และหลังจากหลอมรวมแล้ว หยาดดวงดาวจึงใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

“ฟู่”

เซี่ยงเส้าหยุนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกอ่อนแอลงอย่างมาก ราวกับพลังงานที่ดูดซับก่อนหน้านี้กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า

“การเติบโตขึ้นของทะเลจักรวาลดวงดาวเป็นเรื่องที่เหนื่อยนัก มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถทำให้มันเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ ดูเหมือนเราจะต้องเปิดใช้มันตลอดเวลา” เซี่ยงเส้าหยุนบ่นคำเบากับตนเอง

“ข้าได้เห็นเจ้าดูดซับปราณสีม่วงแล้ว เหตุใดพลังงานยังคงอ่อนแอมากกว่าจะเติบโตเล่า? เจ้าลืมวิธีสกัดปราณแล้วหรือ?” จื่อฉางเหอปรากฎตัวขึ้นใกล้เคียง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว

“ศิษย์พี่ ท่านมาไม่ส่งเสียงให้ข้าทราบเลย อาจทำให้ใครบางคนกลัวจนตายได้เลย รู้ไหม?” เซี่ยงเส้าหยุนบ่นขณะรู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของจื่อฉางเหอ เขากล่าวอีกครั้ง “นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย ข้าไม่ได้รวบรวมรากฐานอย่างถูกต้อง” เซี่ยงเส้าหยุนมิอาจบอกจื่อฉางเหอถึงการก่อตัวของทะเลจักรวาลดวงดาวได้ แม้จะทำเช่นนั้น ศิษย์พี่ก็คงไม่เชื่ออยู่ดี

“เข้าใจแล้ว ระวังอนาคตและอย่าฟุ้งซ่านมากนัก ปราณสีม่วงเป็นพลังงานที่สามารถทำให้พลังงานดวงดาวเติบโตอย่างรวดเร็ว พยายามอย่าใช้มันอย่างเปล่าประโยชน์ล่ะ” จื่อฉางเหอแนะนำ และกล่างเสริม “เราจะเริ่มสอนวิทยายุทธ์แก้เจ้าในวันนี้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ปราศจากวิทยายุทธ์ คงเป็นดั่งเสือที่ไร้คมเขียว มิอาจสร้างบาดแผลแก่ผู้ใดได้”

“ตกลง แล้ววิทยายุทธ์ใดที่ท่านจะสอนข้า? ใช้วิทยายุทธ์ระดับห้าหรือหกหรือไม่?” เซี่ยงเส้าหยุนถูมือเข้าด้วยกันด้วยความยินดี

จื่อฉางเหอขมวดคิ้วทันที และกล่าว “ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าวิทยายุทธ์คล้ายกับพืชผักที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั่วไปงั้นรึ? วิชาระดับห้าหรือหกงั้นหรือ? เจ้าตำหนักก็ต้องฝึกเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น!”

“ก็ได้ ก็ได้ แล้ววิทยายุทธ์ระดับสี่เล่า? ท่านควรจะต้องมีสักวิชาสิ ใช่หรือไม่?” เซี่ยงเส้าหยุนตั้งใจจะระงับบางสิ่ง

“วิทยายุทธ์ระดับสองขั้นสูงสุด วิชาหอกอัสนี!” จื่อฉางเหอขานชื่อวิชาโดยตรง โดยไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับเซี่ยงเส้าหยุนอีกต่อไป

แม้จะเป็นวิทยายุทธ์ระดับเดียวกัน แต่ก็มีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง วิชาหอกอัสนีเป็นวิทยายุทธ์ระดับที่สองขั้นสูงสุด ซึ่งมีพลังมากกว่าวิทยายุทธ์ระดับที่สองทั่วไป

“เพียงแค่ระดับสองรึ? นั่นเป็นการดูถูกตัวตนของท่านเองในฐานะศิษย์พี่และผู้อาวุโส ก็ได้ ข้าจะถ่ายทอดวิชาระดับสี่ให้ท่านเมื่อมีเวลา และขอสัญญาว่าจะไม่มีผู้อาวุโสคนใดสามารถเทียบเทียม” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว ด้วยน้ำเสียงดูถูก

“ข้าจะกล่าวซ้ำอีกคราเดียว และจะสาธิตให้เจ้าดูท่วงท่าเพียงครั้งเดียวเช่นกัน เรียนรู้มันหากเจ้าต้องการ!” จื่อฉางเหอไม่อาจกังวลถึงสิ่งที่ศิษย์น้องของเขากล่าวอย่างหลงตัวเอง หลังจากประกาศคำสั้น เขาเริ่มดำเนินการร่ายคาถาวิชาหอกอัสนี

ต่อมา ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหวไปพร้อมกับร่ายคาถา หอกถูกแทงไปเบื่องหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระแสไฟฟ้าประทุออกด้วยพลังทำร้ายล้าง ซึ่งยากจะจะมีผู้ใดสามารถป้องกัน

แม้ว่าท่าทางของเซี่ยงเส้าหยุนจะดูราวกับอยู่เหนือวิทยายุทธ์ระดับสองนี้ เขายังคงให้ความสนใจกับมนต์ที่จื่อฉางเหอกำลังสวด และจดจำท่วงท่าของจื่อฉางเหอแสดงให้ประจักษ์ ในขณะที่ฟังและมองดู เขาเปิดใช้งานพรสวรรค์สัญชาตญาณและจินตภาพไปพร้อมกัน

ในตอนนี้จื่อฉางเหอสอนเสร็จ เซี่ยงเส้าหยุนจดจำมนต์และท่วงท่าได้ขึ้นใจ

“เจ้าจดจำได้หมดไหม?” จื่อฉางเหอถามอย่างเคร่งครัด

“แน่นอน” เซี่ยงเส้าหยุนพยักหน้า

โดยธรรมชาติแล้ว จื่อฉางเหอไม่เชื่อเขา “ท่องออกมาเสียงดัง”

เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มท่องมนต์โดยไม่พลาดแม้เพียงคำเดียวจนจบบท จื่อฉางเหอรู้สึกมึนงงไปหมด แม้มนต์จะไม่ยาวนัก แต่คนทั่วไปสามารถจดจำได้หลังจากพยายามมากกว่าสิบครา เจ้าเด็กนี่สามารถจดจำได้หลังจากฟังเพียงครั้งเดียว

“ศิษย์พี่ อย่ามองข้าเช่นนั้นสิ ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะด้านการจดจำ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างทะนงตน

ทำให้ถูกตีเข้าที่หลังศีรษะ จื่อฉางเหอกล่าว “เจ้าภูมิใจกับสิ่งใดกัน? หากเจ้าสามารถปลดปล่อยพลังจากวิชาหอกอัสนีได้เพียงเล็กน้อยในวันนี้ ข้าจะยอมรับว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ”

“อย่าตีหัวข้าสิ!” เซี่ยงเส้าหยุนท้วงติงก่อนจะทำท่าทางเคร่งขรึม และกล่าว “อะไรนะ? เพียงเล็กน้อยรึ? ท่าดูถูกข้าเกินไปแล้ว! ข้าสามารถบรรลุวิชาไร้ประโยชน์นี่ได้อย่างน้อยก็หนึ่งในสิบในหนึ่งวัน!”

“แน่นอน ในเมื่อกล่าวเช่นนั้น หากเจ้าทำได้ ข้าจะสอนวิทยายุทธ์ระดับสามและมอบสิ่งพิเศษให้แก่เจ้า” จื่อฉางเหอกล่าวแล้วจากไป

จื่อฉางเหอป็นคนตรงไปตรงมาและไม่เคยพิรี่พิไร แม้เซี่ยงเส้าหยุนไม่อาจเคารพศิษย์พี่ของตนได้ “ด้วยท่าทางเช่นนี้ของศิษย์พี่ น่าเสียดายที่เขาค่อนข้างอ่อนแอ เราควรมอบความรู้บางอย่างแก่เขาในอนาคต เพื่อช่วยให้ความแข็งแกร่งเติบโตขึ้น เราคิดว่าพละกำลังที่เพิ่มขึ้น แม้แต่การยั่วยวนของสตรีที่ออกเรือนแล้ว ก็คงมิใช่เรื่องยากสำหรับเขา”

จื่อฉางเหอยังไม่ได้จากไป เมื่อเขาได้ยินคำของเซี่ยงเส้าหยุน ทำให้เซและเกือบจะล้มลงกับพื้น ‘เขา จื่อฉางเหอผู้นี้ต้องการให้เซี่ยงเส้าหยุนสอนบางสิ่งงั้นรึ? เพื่อหลอกล่อสตรีที่ออกเรือนอย่างนั้นรึ? ช่างเป็นเด็กที่พูดจาใหญ่โตนัก!’

หลังจากจื่อฉางเหอจากไป เซี่ยงเส้าหยุนถือหอกขึ้น นี่คือหอกระดับสองซึ่งถูกเรียกว่าหอกสายฟ้า ซึ่งจื่อฉางเหอทิ้งเอาไว้ให้ก่อนจะจากไป ด้วยหอกนี้มีชื่อตรงกันกับวิทยายุทธ์ที่เขากำลังฝึกฝน

เซี่ยงเส้าหยุนยังไม่เริ่มฝึกฝนในทันที แต่ภาพจำที่จื่อฉางเหอแสดงให้เห็นก่อนหน้าปรากฏขึ้นในใจ ถ้าหากจื่อฉางเหอปรากฎตัวอีกครั้ง ขณะที่ภาพเหล่านั้นพุ่งผ่านเข้าในจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า เซี่ยงเส้าหยุนสามารถเข้าใจท่วงท่าทั้งหมด และได้ค้นพบช่องโหว่ของท่วงท่าเช่นกัน

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเซี่ยงเส้าหยุนก็เริ่มฝึกฝน ในเบื่องต้นเขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า การแทงในแต่ละครั้งราวกับหลุดออกมาจากตำรา หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับวิชาหอกอัสนี เขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง

ในช่วงเช้าวันหนึ่ง เซี่ยงเส้าหยุนเคลื่อนไหวตามวิชาหอกอัสนีซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน และยังแก้ไขช่องโหว่ของท่วงท่า เพื่อให้วิชาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“แก่นแท้ของวิชาหอกอัสนีคือความรวดเร็วปานสายฟ้า สามารถโจมตีได้เมื่อฝ่ายตรงข้ามเผยช่องโหว่เล็กน้อยขณะโจมตี และยังสามารถแปรสภาพลังงานดวงดาวเป็นสายฟ้าเพื่อปลดปล่อยการโจมตีอันมหาศาล วิชานี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นความเร็วเท่านั้น ความแข็งแกร่งก็เช่นกัน” เซี่ยงเส้าหยุนบ่นพึมพำด้วยความภาคภูมิต่อวิชา หลังจากกินเนื้อรมควันเป็นมื้อเที่ยง

ในปัจจุบัน เขาเข้าใจการเคลื่อนไหวที่สำคัญของวิชาแล้ว และต้องการเพิ่มพลังดวงดาวเข้าไปอย่างสมดุล และจะได้เห็นว่าสามารถปลดปล่อยพลังของวิชาได้มากเพียงใดในตอนนี้

หลังจากพักเพียงครู่เดียว เซียงเส้าหยุนเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง เขาแทงหอกซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่พลังงานดวงดาวพุ่งเขาไปในหอก และปลดปล่อยพลังสีม่วงออกมาจากหอก

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset