ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 52 : เช่นนั้นข้าจะทำลายขาของเจ้าเป็นสิ่งแรก

“หวาย ดูพวกเจ้าสิ!” เซี่ยงเส้าหยุนยั่วโมโห

เหล่าศิษย์ชั้นนอกโดยรอบไม่อาจกลั้นไว้ได้ เริ่มหัวเราะออกอย่างบ้าคลัง ในความจริงแล้วพวกนเขานั้นกลั้นไว้ตั้งแต่ที่โกวจื่อและอู่หมิงเหลียงล้มทับกันในครั้งแรก

“ไปให้พ้น!” อู่หมิงเหลียงรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะผลักโกวจื่อออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว

“เย็นไว้ น้องเจ็ด” เสียงกึกก้องดังมาจากมุมหนึ่งของลานประลอง

เมื่ออู่หมิงเหลียงได้ยินเสียงนั้น เขาระงับความโกรธในใจทันที มีสองร่างเดินตรงมาที่พวกเขา ชายผู้นำกลุ่มนั้นดูคล้ายกับอู่หมิงเหลียง เขาคือพี่ชายลำดับที่หกของอู่หมิงเหลียง ‘อู่หมิงกวง’

อู่หมิงกวงอายุมากกว่าอู่หมิงเหลียงสองปี และแข็งแกร่งกว่ามาก เขาบรรลุถึงระดับดวงดาวขั้นสาม ด้วยยังเป็นห้าสิบอันดับของศิษย์ชั้นใน

“พี่หก จัดการมันที! เขาเติบโตขึ้นเร็วเกินไป!” อู่หมิงเหลียงขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย

“ไม่ต้องห่วง พี่หกของเจ้าจะทวงคืนความยุติธรรมเอง” อู่หมิงกวงสัญญาก่อนจะหันไปมองผู้ดูแลการประลอง “ท่านผู้ดูแล นับตั้งแต่ท่านได้รับชมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าหวังว่าท่านจะทำเช่นเดิมต่อไป แล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป”

ผู้ดูแลลานประลองตอบกลับ “สามหาว! นี่เจ้ากล้าสั่งข้ารึ?”

“ตีความที่ต้องการเถิด” อู่หมิงกวงตอบกลับอย่างเย็นชา

“แม้เจ้าจะเป็นศิษย์ส่วนตัว แต่ก็ไม่มีสิทธิมาสั่งข้าที่นี่!” ผู้ดูแลแผดเสียงอย่างอับเฉา

“เช่นนั้นหรือ? แล้วตอนนี้ล่ะ?” อู่หมิงกวงกล่าวขณะที่เหรียญตราคำสั่งปรากฏขึ้นในมือ มันคือเหรียญตราของผู้อาวุโส และผู้ถือเหรียญดังกล่าวจะต้องได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นผู้อาวุโสด้วย แม้แต่ผู้ดูแลเองก็มิอาจฝ่าฝืนผู้ถือเหรียญตราได้เช่นกัน

ม่านตาของผู้ดูแลหดลงขณะที่ใบหน้าซีดเซียว “ข้าขอแนะนำว่าท่านอย่าทำสิ่งโง่เขลาใดเลย เซี่ยงเส้าหยุนนั้นเป็นที่สนใจของเหล่าผู้สูงส่งแห่งตำหนักแล้ว”

ท่าทีของอู่หมิงกวงราวกับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน และยังคงตำหนิเซี่ยงเส้าหยุน “คุกเข่าและขอโทษน้องชายข้าบัดเดี๋ยวนี้! ขอขมาจนกว่าเขาจะให้อภัยเจ้า มิเช่นนั้น ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”

อู่หมิงเหลียงกล่าวอย่างดุร้าย ร่างกายแผ่ออร่าสีเลือดจาง ๆ โดยที่ผู้อื่นไม่กล้ามองมาที่เขาโดยตรง ออร่าที่เผยออกมานั่นชัดเจนว่าเขาเคยสังหารคนมาก่อน ในขณะเดียวกันศิษย์บางคนเริ่มออกห่างจากลานประลอง เกรงกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเซี่ยงเส้าหยุน ไม่ว่าอะไรก็ตามพวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดต่อศิษย์ชั้นในได้

เซี่ยงเส้าหยุนเกาหูของเขาก่อนจะหัวเราะเยาะ “นี่มันกลิ่นอะไรกัน? นี่เจ้าผายลมออกมารึ? ดูสิ ทุกคนหนีไปเพราะกลิ่นของเจ้า!”

“ลูกพี่ ผายลมไม่ได้เหม็นขนาดนี้! นี่มันกลิ่นกองขี้ต่างหาก!” เซี่ยหลิวฮุยกล่าว

“ฮ่า ฮ่า ใช่ จริงด้วย เจ้าฉลาดนัก เจ้าหนู ข้าจะมอบรางวัลให้เจ้าภายหลัง” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะอย่างเต็มที่

“โอหัง!” อู่หมิงกวงร้องออกด้วยสีหน้าราวกับเถ้าถ่าน เขาพร้อมจะโจมตีเซี่ยหลิวฮุยและเซี่ยงเส้าหยุนแล้วในตอนนี้

แต่เมื่อครู่ ผู้ที่อยู่ข้างเขากล่าว “คุณชายหก เหตุใดจึงโมโหกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้? ให้ข้าจัดการเขาเถิด ข้าจะทำให้แขนขาพิการก่อนจะมอบตัวมันให้ท่าน”

คำพูดถูกกล่าวจากชายหนุ่มผู้มีผิวดำ เขาถือค้อนหนักถึงสองอัน และมองมาที่พวกเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ผู้เยาว์ผู้นี่คือ ‘เถียกัง’ ผู้ฝึกยุทธ์ช่วงท้ายของระดับดวงดาวขั้นสอง

“ดี หากเจ้าต้องการ ข้าจะรอเก็บกวาดเอง!” อู่หมิงกวงกล่าว

เถียกังพยักหน้า ก่อนจะโจมตีด้วยค้อนในมือ เมื่อค้อนฟาดลงเกิดแรงมหาศาลราวกับภูเขาถล่ม คนทั่วไปยากจะหยุดยั้งการโจมตีนี้ได้ แน่นอนว่าเซี่ยงเส้าหยุนไม่ใช่คนเขลาที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยพลังที่ดุร้าย เขาเลี่ยงมันแทน

โครม!

ค้อนฟาดพลาด และกระแทกลงพื้น สร้างหลุมลึกราวครึ่งเมตรที่พื้น หลังจากที่ค้อนกระแทกพื้นครั้งแรก ค้อนที่สองเริ่มแกว่งไปทางเซี่ยงเส้าหยุน

ด้วยการใช้ค้อนทั้งสอง เถียกังสามารถควบคุมการโจมตี และหลบหลีกความเร็วที่แท้จริง นอกจากนี้เขายังสามารถสร้างความโกลาหลในการป้องกันศัตรูได้อีกด้วย มันค่อนข้างได้ผลกับคู่ต่อสู้คนอื่น แต่ไม่ใช่กับเซี่ยงเส้าหยุน

เซี่ยงเส้าหยุนมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นสาม ดังนั้นเขาจึงมีพลังมากกว่าเถียกังมาก นอกจากนี้เขายังได้เปรียบในเรื่องความเร็วด้วย

ก้าวราชันเก้าปรโลก!

ร่างกายของเซี่ยงเส้าหยุนเริ่มเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ราวกับเงาทมิฬ และหลบการโจมตีที่สองก่อนที่จะปรากฏตัวด้านหลังของเถียกัง เขากระแทกฝ่ามือเข้าที่หลังหัวของเถียกังอย่างไม่รีรอ

ตู้ม!

ทำให้ใบหน้าของเถียกังลงไปกระแทกกับพื้น

“จะหักแขนขาข้าหรือ? ให้ข้าหักขาเจ้าก่อนแล้วกัน!” แววตาไร้ความปราณีเผยขึ้นในดวงตาของเซี่ยงเส้าหยุน เขาเล็งไปที่เข่าของเถียกัง

“หยุดเดี๋ยวนี้!” อู่หมิงกวงคำราม เข้าพุ่งตัวและแทงหอกเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน ด้วยแสงสีทอง หอกพุ่งมาถึงก่อนเซี่ยงเส้าหยุนจะทันโจมตี หากเขายังเลือกจะโจมตีต่อ หอกคงพุ่งแทงเขา

เมื่อสัมผัสภัยคุกคามจากหอก เซี่ยงเส้าหยุนขยับตัวเล็กน้อยและหลบหอก แต่ชั่วขณะที่เขาก้าวนั้น เขากระแทกขาอีกข้างไปที่พื้น และพุ่งเข้าใส่เถียกังอีกครั้ง เมื่อเข้าถึงตัวเขาจับแขนของเถียกังแล้วบิดขึ้น

แคร่ก!

“อ๊ากกก!”

มีเสียงแตกกรอบดังขึ้น ต่อมาจึงมีเสียงร้องครวญครางอย่างหน้าสังเวชราวกับหมูที่ถูกเชือดเต็มไปในอากาศ ด้วยเซี่ยงเส้าหยุนหักแขนของเถียกัง ศิษย์หลายคนเริ่มตัวสั่นคลอนด้วยภาพที่เห็นตรงหน้า เมื่อศิษย์ชั้นในพ่ายแพ้เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นยังแพ้อย่างขมขื่น เป็นเรื่องยากจะเชื่อ

พวกเขาต่างตัวสั่นเทาด้วยความแข็งแกร่งของเซี่ยงเส้าหยุน หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ที่ศิลาแห่งการประเมิน เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานขั้นสามเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงสั้น แต่เซี่ยงเส้าหยุนกลับกลายเป็นยอดฝีมือระดับดวงดาวแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ในตอนนี้ เขาช่างแตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวที่เพิ่งบรรลุเช่นกัน

นะ นี่เซี่ยงเส้าหยุนเติบโตได้รวดเร็วเพียงนี้เลยรึ! เขาคู่ควรกับนามของตัวประหลาดที่สามารถรอดจากหอคอยแห่งขีดจำกัด! ผู้ดูแลคร่ำครวญอยู่ภายใน

“พยายามจะกลั่นแกล้งข้าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ารึ? คิดว่าข้าจะเกรงกลัวงั้นหรือ!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวใส่หน้าของอู่หมิงกวง

“ดี เยี่ยมไปเลย ข้าจะเป็นผู้สอนบทเรียนแก่เจ้าเอง” อู่หมิงกวงประกาศขณะขบฟัน

“ผู้ที่เคยพูดเช่นนี้กับข้า ต่างได้รับบทเรียนคืนสนองทุกคน หากเจ้าต้องการเป็นคนต่อไปที่จะรับบทเรียนจากข้า ข้าก็จะจัดให้” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับอย่างไม่ยินยอม

ในขณะที่อู่หมิงกวงและเซี่ยงเส้าหยุนกำลังประกาศสงครามต่อกัน เริ่มมีกลุ่มคนเข้ามา

เป็นหลี่หงเอ๋อนั่นเองที่เข้ามา นางชี้ไปที่เซี่ยงเส้าหยุนพร้อมตะโกน “พี่ใหญ่ เจ้านั้นแหละที่รังแกข้า! ท่านต้องล้างแค้นมันให้ข้านะ!”

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset