ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 53 : คุณชายผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด

หลี่หงเอ๋อได้สวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่ แต่ผมของนางยังคงเปียกแฉะ เห็นได้ชัดว่านางรีบร้อนมาเพื่อล้างแค้น นอกจากนี้ศิษย์พี่ของนาง ‘หลี่เถียนปา’ ก็มาด้วยกันกับนาง เขาเป็นถึงสิบอันดับของเหล่าศิษย์ชั้นใน และยังเป็นทรราชในหมู่ทรราชในตำหนักแห่งนี้ ด้วยมีอายุเพียงยี่สิบปีและยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นหก

ด้วยเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของเหล่าศิษย์ชั้นในแสดงให้เห็นถึงสถานะอันยอดเยี่ยม เนื่องจากเป็นการจัดอันดับที่รวมศิษย์ส่วนตัวด้วย อาจกล่าวได้ว่าการจัดอันดับของสวนชั้นในนั้น ไม่ได้ต่างจากการจัดอันดับของทั้งตำหนักยุทธ์ทั้งหมดนัก

คำว่า ‘ปา’ ในชื่อของหลี่เถียนปาหมายถึงราชัน และเขามีลักษณะตรงกันกับนามนั้น เขาถูกสร้างมาอย่างแข็งแรงและมีท่าทีดุร้าย บนหลังมีขวานขนาดยักษ์ และเกราะหนักปกป้องร่างกาย แลดูไม่ต่างกับผู้ที่เคยผ่านสนามรบมาก่อน และเหล่าสมุนของเขาก็แลดูเปล่งประกายไม่แพ้กัน ขณะที่ขี่อยู่บนหลังกิ้งก่าเกราะ เขาจ้องมองตรงไปที่เซี่ยงเส้าหยุนด้วยสายตาเจตนาสังหาร

“เจ้าช่างกล้าหาญนัก เจ้าบังอาจกลั่นแกล้งน้องสาวข้า หลี่เถียนปารึ? แม้แต่ราชาแห่งพระเจ้าเองก็มิอาจปกป้องเจ้าได้!” หลี่เถียนปาชี้ไปที่เซี่ยงเส้าหยุนและตะโกน เขากล่าวกับผู้คนรอบข้าง “จับมัน ข้าจะทำให้มันพิการก่อนจะจับโยนออกจากตำหนักยุทธ์”

เหล่าศิษย์ทั้งหมดในบริเวณต่างแตกตื่นเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น แม้เหล่าศิษย์ชั้นนอกส่วนใหญ่จะไม่เคยได้ยินนามของหลี่เถียนปา แต่จากพฤติกรรมดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่ควรถูกยั่วยุ เมื่อพวกเขามองไปยังเซี่ยงเส้าหยุนอีกครั้ง ความรู้สึกที่ต่างกันจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขาทั้งดูพอใจและดีอกดีใจ

ผ่านไปไม่นานนับตั้งแต่เซี่ยงเส้าหยุนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอก และสร้างความโกลาหลด้วยร่างกายที่มีห้าดวงดาวสถิต หลังจากนั้นก็เอาชนะอู่หมิงเหลียง และยังปราบศิษย์รุ่นเดียวกันทั้งหมด แต่ตอนนี้เขากลับทำให้หลานคนต้องขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน โดยธรรมชาติแล้วจะต้องมีบางคนชอบใจที่เห็นทรมาน

“เถียนปา หยุดยุ่งกับเขาได้แล้ว เขาเป็นถึงศิษย์น้องของผู้อาวุโสที่สิบเก้านะ!” ผู้ดูแลกล่าว เขาไม่อาจเฝ้าดูได้อีกต่อไป

“หืม! ข้าคิดว่าท่านขุนนางอัศนีสีม่วงจะสามารถปกป้องเขาได้ในวันนี้นะ!” หลี่เถียนปาประกาศ พ่อของเขาเป็นถึงผู้อาวุโสที่สิบสาม ซึ่งมีอันดับสูงกว่าท่านขุนนางอัสนีสีม่วง

“ศิษย์พี่หลี่ โปรดอนุญาตให้ศิษย์น้องได้ช่วยท่าน ข้าต้องการจับกุมเขาด้วยตัวข้าเอง!” อู่หมิงกวงกล่าวจากใกล้เคียง

“ศิษย์น้องอู่ นั่นเจ้ารึ? เดี๋ยวก่อน เจ้าเด็กนี่มันกล่าวว่า เจ้าจะต้องไปดูแลน้องชายมิใช่รึ?” หลี่เถียนปาถาม

“นั่นก็ถูก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มันทำให้น้องชายข้าบาดเจ็บ วันนี่ ข้าต้องมอบบทเรียนแก่เขาสักหน่อย” อู่หมิงกวงกล่าว เขาเห็นหลี่หงเอ่อและกล่าวถาม “ศิษย์น้องหลี่ เขาก็รังแกเจ้าด้วยรึ?”

“ใช่ ข้าต้องการให้เขาประสบพบกับชะตากรรมที่โหดร้ายยิ่งกว่าตายในวันนี้!” หลี่หงเอ๋อกล่าวขณะขบฟัน

“แน่นอน ข้าจะจัดการเขาเพื่อศิษย์น้องหลี่ เขาจะเป็นของเจ้าหลังจากข้าหมดธุระแล้ว” อู่หมิงกวงกล่าวก่อนจะส่งสายตาดูร้ายไปที่เซี่ยงเส้าหยุน และเริ่มเข้าหาเด็กหนุ่มทีละก้าว

“ละ ลูกพี่ ระ เราควรจะถอยจากที่นี่ให้ไวที่สุด!” เซี่ยหลิวฮุยกล่าวขณะดึงแขนเสื้อของเซี่ยงเส้าหยุน

“ถอยรึ? ทำไมกัน? คุณชายผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างหยิงผยอง แต่ภายในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ‘วีรบุรุษจะไม่มีวันทนทุกข์ทรมานไม่ว่าเพื่ออะไรก็ตาม! เราควรล่าถอยจะเป็นการดีที่สุด’

ทุกคนต่างคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะไม่มีทางยอมแพ้ แต่เมื่อพวกเขาพบว่าเด็กหนุ่มและสมุนเริ่มหลบหนี ความแตกต่างระหว่างคำพูดและการกระทำนั้นสวนทางกัน ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง

“บ้าฉิบ! ลูกพี่ รอข้าด้วย!” ในที่สุดเซี่ยหลิวหุยก็ตอบสนองและวิ่งอย่างรวดเร็วตามลูกพี่ของตน โดยไม่สนใจต่อร่างกายที่บาดเจ็บ

อู่หมิงเหลียงหัวเราะเยาะ “หืม หากเจ้าสามารถหนีข้าได้ ข้าจะจดชื่อไว้ในบัญชีข้า!” จากนั้นเขาโบกมือให้คนที่อยู่ด้านหลังก่อนจะไล่ตามเซี่ยงเส้าหยุนและเซี่ยหลิวฮุย

โดยธรรมชาติ กลุ่มของหลี่เถียนปามิสามารถให้เซี่ยงเส้าหยุนหลบหนีได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมการตามล่าในครั้งนี้

“หลบไปให้พ้นทาง!” หลี่เถียนปาเร่งไปด้านหน้าด้วยการขี่สัตว์อสูร และตะโกนเข้าใส่กลุ่มของอู่หมิงกวง

กลุ่มของอู่หมิงกวงเริ่มกระจัดการจายอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลี่เถียนปาพุ่งไปด้านหน้าด้วยการขี่สัตว์อสูร ในไม่ช้าเขาก็แซงเซี่ยหลิวฮุยไป และอยู่ไม่ห่างจากเซี่ยงเส้าหยุน รอยยิ้มที่น่ารังเกียจเผยขึ้นบนใบหน้า “เหอะ การทรมานคนขี้ขลาดเฉกเช่นเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าโปรดปรานที่สุด!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาส่งฝ่ามือโลหิตแดงเข้าใส่ที่หลังของเซี่ยงเส้าหยุน ด้วยเป็นยอดฝีมือระดับดวงดาวขั้นหก การโจมตีด้วยพลังดวงดาวเข้าใส่เป้าหมายซึ่งอยู่ห่างหลายเมตรไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อฝ่ามือโลหิตแดงกำลังโดนตัว มีหนึ่งร่างปรากฏขึ้นและปัดป้องได้ทัน

“ใครกัน? เจ้ากล้าขัดขวางการล่าเหยื่อของข้ารึ?” หลี่เถียนปาร้องเสียงหลง เขาแทบไม่ได้เอ่ยค่ำใด เมื่อร่างนั้นพุ่งตรงเข้าหาเขา และตบเข้าที่หน้า

ป้าบ!

หลีเถียนปาถูกตบจนตกลงจากหลังของกิ้งก่าเกราะทันที

“เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ผู้อาวุโสรึ? แม้แต่หลี่เสวียเหมิงก็มิกล้าขึ้นเสียงใส่ข้า!” ผู้ที่เข้ามากล่าวเสียงดัง เขาคือขุนนางอัสนีสีม่วง จื่อฉางเหอนั่นเอง

นับตั้งแต่จื่อฉางเหอพบว่าตระกูลอู่คอยจับตาดูเซี่ยงเส้าหยุน เขาไม่อาจปล่อยให้ศิษย์น้องของตนอยู่คนเดียวได้ จึงต้องตคอยตามติดอย่างใกล้ชิด ด้วยไม่อาจรอดพ้นจากการตำหนิได้หากปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายต่อเซี่ยงเส้าหยุน ด้วยเหตุนี้เมื่อทราบว่าเซี่ยงเส้าหยุนสร้างความวุ่นวาย เขาจึงรีบพุ่งตามาทันที โชคดีที่มาทันเวลา มิเช่นนั้นเซี่ยงเส้าหยุนอาจเดือดร้อนได้ในวันนี้

“จะ จื่อฉางเหอ! จะ เจ้ากล้าตบข้า!” หลี่เถียนปากล่าวด้วยเท้ากะโผลกกะเผลกของเขา และมองไปที่จื่อฉางเหอ

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset