ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 55 : เลวร้ายกว่าข้านิดหน่อยเท่านั้นเอง

“ข้าไม่คิดว่าจำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างเฉยเมย

เหม่ยเหลียนฮวาตัวสั่นเมื่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้ามัวหมอง “ตอนนั้นเราเผชิญกับอันตราย ขะ-ข้าจำใจต้องจากไป”

“เช่นนั้น ข้าไม่มีสิ่งใดจะกล่าวกับเจ้าอีก มิใช่ว่าเรารู้จักกันดีแล้วหรือ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวและออกเดินทางไปกับเซี่ยหลิวฮุยซึ่งยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เขาไม่อาจทราบได้เลยว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองเกิดสิ่งใดขึ้น

น้ำตาไหลอาบแก้มเหม่ยเหลียนฮวา นางตกอยู่ในภวังค์แห่งความเสียใจ นางสาบาน ‘นับตั้งแต่เจ้าทำเช่นนี้กับข้า อย่ามากล่าวโทษข้าต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วกัน’

เซี่ยงเส้าหยุนมิอาจทราบว่าความรักที่เหม่ยเหลียนฮวามี จะแปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังเช่นนี้ แม้เขาจะดูหมิ่นต่อสิ่งที่เหม่ยเหลียนฮวา และโม่ปูหุยกระทำ แต่ก็ยังเข้าใจถึงเหตุผลนั้นได้ มิมีผู้ใดต้องการลำบากเพื่อผู้อื่น

ทว่าพวกเขาไม่เคยทราบถึงการถูกทรยศของเซี่ยงเส้าหยุน จึงเป็นเหตุให้เขาเกลียดการถูกทรยศต่อความไว้วางใจนัก จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่อาจให้อภัยต่อเหม่ยเหลียนฮวาได้

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนและเซี่ยหลิวฮุยมาถึงเหลาอาหาร พวกเขากลายเป็นที่สนใจทันที หลังจากมีข่าวครึกโครมก่อนหน้า ทุกคนที่นี่ต่างรู้ดีว่าเซี่ยงเส้าหยุนเป็นใคร เขาเป็นถึงผู้มีห้าดวงดาวสถิต และสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ จึงแทบไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักเขาภายในตำหนักยุทธ์แห่งนี้

เซี่ยงเส้าหยุนมิได้สนใจผู้คนรอบข้าง ในความเป็นจริงแล้วเขาเหนื่อยล้าเต็มที มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องการให้ศิษย์พี่ช่วยเหลือในวันนี้ ขณะที่กำลังจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นและนั่งลงที่โต๊ะ

“ศะ-ศิษย์พี่ ท่านนั่งผิดที่แล้วหรือเปล่า?” เซี่ยหลิวฮุยถาม

ทำให้เซี่ยงเส้าหยุนได้สติ ชั่วขณะที่เงยหน้าขึ้น เขาต้องหัวเราะและกล่าว “เหอะ เหอะ ศิษย์หลานนั่นเอง ข้ากำลังจะไปพบท่านพอดี”

“เช่นนั้นหรือ์? ข้าคิดว่าเจ้าลืมสัญญาของข้าไปหมดแล้วเสียอีก” ผู้ที่เข้ามาใหม่กล่าวอย่างไม่ใยดี ชายผู้นี้คือหวังเจิ้นฉวน ซึ่งต้องการจะเป็นศิษย์ของจื่อฉางเหอนั่นเอง

“ไม่มีทาง! ข้าจะลืมท่านได้อย่างไร!” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างรวดเร็ว “ศิษย์หลาน อาจารย์อาจะเลี้ยงอาหารท่าน ข้าจะพาท่านไปพบอาจารย์หลังจากนี้!”

“ไม่ล่ะ ขอบคุณ ข้าอิ่มท้องแล้ว จะรอเจ้าอยู่ตรงนี้” หวังเจิ้นฉวนตอบกลับก่อนจะปิดปากเงียบ

“ศิษย์พี่ ไม่ต้องอาย! มาทานด้วยกัน!” เซี่ยหลิวฮุยเชิญชวนหวังเจิ้นฉวน

โชคไม่ดีนัก หวังเจิ้นฉวนทำตัวราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด เขานั่งอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งการตอบสนองต่อคำเชิญของเซี่ยหลิวฮุย ทำให้ทั้งสองอึดอัด

“ไม่ต้องสนเขาหรอก เรามากินกันต่อเถิด!” เซี่ยงเส้าหยุนเข้าใจคนแบบหวังเจิ้นฉวน เมื่อลืมกินอาหารอีกครั้งจนหมด เซี่ยหลิวฮุยผู้มีไหวพริบจึงขอลาไปก่อน เพื่อให้เซี่ยงเส้าหยุนพาหวังเจิ้นฉวนไปยังที่พักของจื่อฉางเหอ

ขณะที่เดินทาง เซี่ยงเส้าหยุนได้กล่าวกับหวังเจิ้นฉวน “ท่านควรรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้า จริงไหม? หากท่านจะมาอยู่ภายใต้อาณัติของศิษย์พี่ นั่นหมายถึงยืนหยัดอยู่เคียงข้างผู้อาวุโสที่สิบสาม และอาจมีเวลาที่ยากลำบากในภายภาคหน้า ท่านลองคิดก่อนเถิด”

“ข้าทราบดี” หวังเจิ้นฉวนกล่าวอย่างไม่แสดงออก

ในจุดนี้ แม้แต่เซี่ยงเส้าหยุนก็มิอาจทราบว่าจะเอ่ยสิ่งใด แต่แล้วอีกครั้งที่เขาเคารพต่อความมุ่งมั่นของหวังเจิ้นฉวน เมื่อได้มาถึงที่พักของจื่อฉางเหอ ซึ่งละม้ายคล้ายกับกลับมาบ้านของตนเอง เซี่ยงเส้าหยุนผลักประตูและและเข้าไปด้านใน

ในทางกลับกัน หวังเจิ้นฉวนยืนคอยอยู่ด้านนอก ไร้ซึ่งความกล้าจะเข้าไปด้านใน เขากล่าว “ข้าจะรอจนกว่าผู้อาวุโสจะเชิญ”

“เชิญบ้านท่านสิ เข้ามากับข้า” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวก่อนจะลากหวังเจิ้นฉวนมาที่สวน

“ศิษย์พี่ ดูนี่ ข้าพบศิษย์ผู้มากความสามารถ เข้ามาสิ พบเขาก่อนเถิด!” เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มตะโกนโหวกเหวกขณะเข้ามาที่สวน

“เจ้ายังจะทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ในตอนนี้อีกหรือ?” จื่อฉางเหอตวาด

“ไม่ ไม่ไร้สาระแม้แต่น้อย ท่านจะทราบได้เองเมื่อมาดูเขา!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับ

จื่อฉางเหอเดินออกจากที่พำนัก เขาเพ่งไปที่เซี่ยงเส้าหยุนก่อนจะจดจ้องไปที่หวังเจิ้นฉวน

“ศิษย์ชั้นในหวังเจิ้นฉวน ขอคำนับท่านอาวุโสจื่อ” หวังเจิ้นฉวนทักทายจื่อฉางเหอด้วยความเคารพ

“ลื่มความรื่นรมย์ไปเสีย” จื่อฉางเหอตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ายังไม่มีความตั้งใจจะรับศิษย์คนใดในตอนนี้ เจ้าไปเสียเถิด”

หากเขาต้องการรับศิษย์จริง คงรับไปนานแล้ว เหตุใดจึงรอจนกระทั่งตอนนี้? ในปัจจุบันจุดสนใจของเขามีเพียงการฝึกยุทธ์เท่านั้น หวังเพียงสักวันเขาคงจะได้ออกไปจากที่แห่งนี้ และมุ่งไปสู่โลกกว้าง

สำหรับเซี่ยงเส้าหยุน นับเป็นข้อยกเว้น เพราะมีพรสวรรค์เกินกว่าที่จื่อฉางเหอจะยอมแพ้ เมื่อหวังเจิ้นฉวนได้ยินคำของจื่อฉางเหอที่ฟังดูเฉียบขาด สีหน้าของเขาซีดเผือดทันที

“ศิษย์พี่ ข้าได้เห็นว่าเขามีความสามารถที่ไม่เหมือนผู้ใด และมันยอดเยี่ยมมากในการฝึกยุทธ์ ในความเป็นจริงเขาด้อยกว่าข้าเล็กน้อยเท่านั้น ท่านจะยอมเสียอัญมณีมีค่าเม็ดนี้ไปจริงหรือ?” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวในนามของหวังเจิ้นฉวน

จื่อฉางเหอเพิกเฉยต่อเซี่ยงเส้าหยุน และถามหวังเจิ้นฉวน “หากข้าจำไม่ผิดนัก เจ้าเป็นผู้มีสามดวงดาวสถิต ถูกไหม?”

หวังเจิ้นฉวนพยักหน้า “ขอรับ”

“สามดวงดาวนั้นไม่ธรรมดา เจ้าอาจมีศักยภาพเพียงพอจะบรรลุระดับแปรสภาพ แต่…ข้าว่ามันคงยากเกินเอื้อมไปหน่อย” จื่อฉางเหอถอนหายใจ

หวังเจิ้นฉวนถอนสายตาและก้มคำนับ “ศิษย์ผู้นี้เข้าใจแล้ว”

ในตอนนั้นเอง ขณะที่ที่กำลังจากจากไป เขาเข้าใจว่าจื่อฉางเหอปฏิเสธตน

“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนเสียงดัง

จากนั้นเขามองไปที่จื่อฉางเหอและกล่าว “ศิษย์พี่ ข้าตัดสินใจจะให้เขาเป็นศิษย์หลาน จะต้องทำอย่างไรให้ท่านรับเขาเป็นศิษย์เล่า?”

จื่อฉางเหอขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “เลิกยุ่งเสีย!”

“ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าสามดาวสถิตร่างนั้นไม่อาจไปได้ไกลในภายภาคหน้าหรือ? ท่านคิดผิดแล้ว ดวงดาวที่ตื่นขึ้นเป็นเพียงตัวแทนศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด แต่ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงอนาคตพวกเขา ความจริงแล้วยอดฝีมือมากมายนั้น ดวงดาวของพวกเขานั้นล้วนตื่นขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังก้าวไปถึงระดับที่เหนือกว่าผู้อื่นตั้งมากมายด้วยความมานะและอุตสาหะของพวกเขา” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ทั้งจื่อฉางเหอและหวังเจิ้นฉวนต่างสั่นไหวต่อสิ่งที่ได้ยิน ตามความเข้าใจของพวกเขา จำนวนดวงดาวบ่งบอกได้ถึงทุกสิ่ง แต่คำของเซี่ยงเส้าหยุนดูเหมือนจะเปิดโลกทัศน์ใหม่แก่ทั้งสอง

“บางทีเจ้าอาจพูดถูก ความมานะและอุตสาหะนั้นสำคัญนัก แต่เราคงปฏิเสธมิได้ว่าจำนวนของดวงดาวบ่งบอกถึงศักยภาพของแต่ละคน!” จื่อฉางเหอกล่าว และกล่าวต่อหวังเจิ้นฉวน “ตอนนี่เจ้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ช่วงต้นของระดับดวงดาวขั้นสาม เป็นระดับที่เหมาะสมต่อศิษย์ชั้นใน ข้าเชื่อว่าเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก งั้นก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากบรรลุถึงระดับดวงดาวขั้นสี่ภายในสองเดือน ข้าจึงจะรับเจ้าเป็นศิษย์”

ระดับยุทธ์ที่สูงขึ้น จะต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการจะไต่เต้าไปสู่ระดับถัดไป ดังนั้นความก้าวหน้าจะช้าลงหากความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เรื่องงานเลยที่ผู้ฝึกยุทธ์ช่วงต้นของระดับดวงดาวขั้นสาม จะสามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นสี่ได้ภายในสองเดือน

ถึงกระนั้น หวังเจิ้นฉวนไม่มีท่าทีท้อแท้แม้แต่น้อย เขารับปากด้วยความสุข “ขอบคุณท่านมาก ท่านอาวุโสจื่อ ที่มอบโอกาสให้แก่ข้า ข้าสัญญาจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset