ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 65 : เล็กไปหน่อยแฮะ

เซี่ยงเส้าหยุนตั้งมั่น ขณะพื้นที่ว่างของทะเลจักรวาลดวงดาวได้ปรากฏขึ้นในจิตใจ บอกเล่าถึงพื้นที่ว่างที่สามารถใช้ได้

“หืม? นี่มันใหญ่ขึ้นแล้วหรือนี่?” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าคำเบาอย่างดีใจ เขาพบว่าทะเลจักรวาลดวงดาวนั้นมีขนาดใหญ่เท่าหัวแล้ว ซึ่งใหญ่ขึ้นมากเมื่อเทียบกับขนาดแรกเริ่ม ซึ่งในตอนนี้สามารถกักเก็บยาสมุนไพรได้หลากหลายขึ้น

“ดูเหมือนการฝึกวิชาทะเลจักรวาลดวงดาวจะเป็นสิ่งที่ถูก มันช่วยให้ดูดซับพลังของตัวยาได้มากขึ้นไปอีก” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืน สิ้นสุดการทำสมาธิสั้น ๆ นี้ จากนั้นจึงยกหอกอัสนีขึ้น

หวู่! หวู่!

หอกอัสนีเต้นรำในอากาศราวกับฟ้าแลบ ด้วยปราณสีม่วงหมุนไปรอบหอก แยกอากาศด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อวานนี้ในห้องแห่งขีดจำกัดที่ห้า เซี่ยงเส้าหยุนได้ใช้วิชาหอกอัสนี ทำให้ความเชี่ยวชาญต่อวิชาหอกเพิ่มขึ้น บรรลุเพิ่มกว่าหกในสิบ

จื่อฉางเหอต้องการให้เขาบรรลุวิชานี้ให้ได้เจ็ดในสิบ ซึ่งเหลืออีกเพียงเล็กน้อยจึงจะตรงตามที่ศิษย์พี่ต้องการ ทว่า เขาใช้เวลาเพียงไม่นานในการทำเช่นนั้น ด้วยไม่ต้องต้องการเสียเวลาทั้งหมดให้กับวิชาหอก

ด้วยอาวุธที่หลากหลาย มีเพียงกระบี่เท่านั้นที่เซี่ยงเส้าหยุนชื่นชอบมากที่สุด กระบี่ซึ่งเป็นอาวุธแห่งราชัน ด้วยทราบว่ามันเป็นอาวุธที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว และด้วยเซี่ยงเส้าหยุนนั้นมีจุดอ่อนในการใช้กระบี่ตั้งแต่ยังเยาว์ ทว่า การตีตราว่าอาวุธประเภทอื่นอย่างดาบ หอก ง้าว ยังคงดูยอดเยี่ยม แต่กระนั้นเซี่ยงเส้าหยุนจึงไม่สนใจที่จะเรียนรู้อาวุธประเภทอื่น

หลังจากฝึกฝนวิชาหอกอีกครั้ง จื่อฉางเหอได้เดินออกจากมุมหนึ่ง และกล่าวเชมชม “นี่เจ้าบรรลุถึงห้าในสิบแล้วรึ ช่างรวดเร็วยิ่งนัก ดูเหมือนบรรลุเจ็ดในสิบจะมิได้ยากเย็นเกินไปสำหรับเจ้าเลย ข้าไม่มีสิ่งใดจะสอนเจ้าอีกแล้ว”

จื่อฉางเหอรู้สึกหวั่นไหวอย่างมาก เมื่อทราบว่าเซี่ยงเส้าหยุนเป็นคนบ้าดีเดือดเพียงใด เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าแม้จะไม่มีคำชี้แนะจากตนก็ตาม เซี่ยงเส้าหยุนก็ยังคงสามารถเติบโตไปเป็นยอดฝีมือที่โดดเด่นได้แน่นอน

“ขอบคุณทุกคำชี้แนะ ศิษย์พี่” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างถ่อมตน แม้จื่อฉางเหอจะมิได้ช่วยเหลือสิ่งใดมากนัก เขายังคงเป็นผู้ที่พาเซี่ยงเส้าหยุนเข้ามายังตำหนักยุทธ์ ดังนั้นเซี่ยงเส้าหยุนจึงรู้สึกเคารพต่อศิษย์พี่ของตนอย่างมาก

จื่อฉางเหอยิ้ม “ยังดีนะที่เจ้าเรียนรู้ที่จะเคารพ” เขาหยุดก่อนจะกล่าวเสริม “ไปได้แล้ว เจ้าสามารถรับเอาทุกสิ่งที่ปรารถนาได้ ตราบใดที่ตำหนักยุทธ์หามาให้ได้ นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมุ่งเน้นในการเพิ่มความแข็งแกร่งนะ งานเทศกาลใหญ่จะถูกจัดขึ้นในอีกครึ่งปี และข้าเชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะการประลองแห่งตำหนักยุทธ์ได้ในเทศกาลนั่น”

ขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนกำลังจะตอบกลับ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านนอกสวน

“ลู่เสี่ยวฉิงรึ?” เซี่ยงเส้าหยุนร้องออกอย่างปิติเมื่อได้พบผู้ที่เข้ามา ตอนนั้นเองที่เขาเพิกเฉยต่อศิษย์พี่ และวิ่งไปด้านนอก จื่อฉางเหอได้แต่ก่นด่าในใจเมื่อพบเห็นเช่นนี้ นี่มันคนประเภทไหนกัน ให้คุณค่าต่อลูกไก่มากกว่าพี่น้อง!

เขาจากไปอย่างแนบเนียน

เป็นเวลานานพอสมควรนับตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มได้พบกับลู่เสี่ยวฉิงครั้งล่าสุด นางดูผอมบางกว่าก่อนหน้า และความอ่อนโยนบนใบหน้าเองก็ลดน้อยลง ถูกแทนที่ด้วยความหวงแหน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นางดูน่าดึงดูดมากกว่าแต่ก่อน ด้วยอาภรณ์สีเขียวที่ดูแนบเนื้อ ซึ่งเผยรูปร่างราวกับนาฬิกาทรายของนาง

“เส้าหยุน!” ลู่เสี่ยวฉิงร้องออกเมื่อได้เจอเซี่ยงเส้าหยุน แววตาเผยความอ่อนโยน ด้วยบางเหตุผล นางได้กล่าวกับเซี่ยงเส้าหยุนต่างจากแต่ก่อน ซึ่งถ้อยคำที่นางกล่าวนั้นดูน่ารักใคร่กว่าแต่ก่อน

ไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้วิ่งหนีไปหลังจากที่เซี่ยงเส้าหยุนตำหนิ แต่หลังจากจากไปแล้วและได้คิดหวนถึงสิ่งนั้น ในที่สุดก็เข้าใจในสิ่งที่เซี่ยงเส้าหยุนต้องการทำเพื่อนางเอง ความจริงแล้ว เซี่ยงเส้าหยุนเพียงต้องการให้นางไปให้พ้นอันตราย ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาตำหนิเช่นนั้น แต่นางเองเพิ่งตระหนักหลังจากนั้นได้ไม่นานนัก

เมื่อรู้เช่นนั้น นางจึงรีบกลับไปยังตำหนักยุทธ์อย่างรวดเร็ว และเล่าทั้งหมดให้อาจารย์ของตน ผู้อาวุโสที่สิบเอ็ด เหอหยิงฮัว ได้ทราบ แต่เมื่อนางกลับไปที่จุดเกิดเหตุพร้อมอาจารย์ของตนก็ไม่พบเซี่ยงเส้าหยุนแล้ว

ต่อมา หลังจากที่จื่อฉางเหอกลับมา อาจารย์ของนางและจื่อฉางเหอได้ไปที่ตระกูลอู่เพื่อค้นหาเซี่ยงเส้าหยุน ทว่า ต้องกลับมาด้วยมือเปล่า นางคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนได้ถูกสังหารไปเสียแล้ว และรู้สึกเสียใจต่อเด็กหนุ่มนัก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางได้ฝึกยุทธ์อย่างเงียบสงบ เฉพาะวันนี้ที่ยุติความสงบลงเมื่อพบว่าเซี่ยงเส้าหยุนกลับมาอย่างปลอดภัย ทำให้นางเป็นสุข เขาไม่เคยรู้เลย ว่าได้ครองหัวใจของนางไปเสียแล้ว และตอนนี้นางได้พบเด็กหนุ่มอีกครั้ง ความสง่างามและมั่นใจที่เปล่งเพิ่มขึ้นหลังจากนี้เท่านั้น เมื่อจ้องมองเด็กหนุ่ม นางตกอยู่ในภวังค์เพียงครู่หนึ่ง

แต่นางยังคงรักษาภาพลักษณ์ของเด็กสาวไว้ ดังนั้นนางจึงต้านทานต่อการกระตุ้นให้เข้าไปในอ้อมแขนของเขา เซี่ยงเส้าหยุนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนั่น เขาเพียงต้องการขอบคุณอย่างถูกต้อง นางเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ทรยศต่อเขา แม้จะตกอยู่ในภยันตรายก็ตาม ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่านางสมควรจะเป็นสหายที่ไว้วางใจได้

“เหะ เหะ มันผ่านไปเพียงเดือนเดียวเอง และเจ้าก็เติบโตอย่างงดงามเช่นนี้” เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงกล่าวชมลู่เสี่ยวฉิง เมื่อเข้าใกล้นาง

ลู่เสี่ยวฉิงหน้าแดงขณะตอบอย่างอ่อนโยน “เจ้าคนโกหก”

“ฮ่า ฮ่า ข้าไม่มีวาสนามากมาย แต่สิ่งที่มีให้คือความซื่อสัตย์ของข้าเอง แต่กระนั้นมันก็แย่เกินไป” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะเมื่อมองดูลู่เสี่ยวฉิงอย่างอ่อนโยน

“เจ้ายังหลงตัวเองเหมือนเดิมเลยนะ!” ลู่เสี่ยวฉิงกล่าวอย่างดูถูก ขณะถามด้วยความอยากรู้ “สิ่งใดที่แย่มากกัน?”

เซี่ยงเส้าหยุนกระแอม “แค่ก แค่ก เอ่อ ข้าว่าข้าไม่ควรกล่าวถึงมัน”

“ไม่ ข้าอยากรู้!” ลู่เสี่ยวฉิงทำเสียงแผ่วเบา

“ก็ได้ จำได้ไหม ถ้าได้ฟังแล้ว อย่าโกรธข้าแล้วกัน” เซี่ยงเส้าหยุนจ้องมองไปที่หน้าอกของลู่เสี่ยวฉิง และกล่าว “แค่ก แค่ก มันเล็กไปหน่อยแฮะ”

ลู่เสี่ยวฉิงเลิกคิ้วขึ้นและตะโกน “เจ้าคนลามก!”และตบเข้าที่หน้าเซี่ยงเส้าหยุน

ลู่เสี่ยวฉิงเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นแรก แม้จะไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่การตบของนางนั้นก็ยังมีพลังมาก

“เฮ้ เฮ้ เจ้าสัญญาแล้วว่าจะไม่โกรธเคืองนี่! เหตุใดจึงตบข้าเล่า? จะหาสามีไม่ได้นะ หากทำตัวหยาบคายเช่นนี้!” เซี่ยงเส้าหยุนเย้ยหยันขณะหลบลูกตบ

“คนเช่นเจ้าก็คงหาภรรยาไม่ได้แน่! เจ้าคนลามก!” ลู่เสี่ยวฉิงกระทืบเท้าลงกับพื้น และก่นด่า

“ฮ่า ฮ่า อย่ารังเกียจที่ข้าจะได้หมั้นหมายกับราชินีที่สามารถดูแลชีวิตข้าได้ซี่! มันคงจะดีไม่น้อย!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าน่ะรึ? ไม่มีทางที่จะมีใครต้องการเจ้าแน่!” ลู่เสี่ยวฮิงกล่าว ไม่ว่านางจะกล่าวสิ่งใด แต่นิสัยซุกซนของเซี่ยงเส้าหยุนกลับน่าดึงดูดอย่างลึกซึ้ง

“ตกลง ข้าจะหยุดสร้างปัญหาแล้ว ขอบคุณนะ!” เซี่ยงเส้าหยุนหยุดเล่นเพียงเท่านี้ และกล่าวขอบคุณจากใจจริง แม้เขาจะเกลียดการถูกทรยศ แต่กับคนที่ภักดีนั้นเขาชื่นชมอย่างมาก

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ข้าไม่ได้ช่วยสิ่งใดมากนัก เกือบจะขวางทางเจ้าแทนเสียด้วยซ้ำ” ลู่เสี่ยวฉิงพึมพำอย่างรู้สึกผิด ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางรู้สึกไร้ซึ่งหนทางช่วย และด้วยสิ่งนั้นเอง นางจึงใช้เวลาทั้งเดือนฝึกฝนสุดความสามารถ จนตอนนี้ นางได้บรรลุระดับดวงดาวขั้นแรกไปแล้ว และได้กลายมาเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสที่สิบเอ็ดอย่างเป็นทางการ

เซี่ยงเส้าหยุนยิ้ม “อย่าได้คิดเช่นนั้น เจ้าเป็นสหายที่ภักดี! เจ้าแค่…ขาดสติปัญญานิดหน่อยเท่านั้นเอง”

หัวใจของลู่เสี่ยวฉิงถูกเติมเต็มด้วยความหวาน เมื่อนางได้โยคแรก แต่เมื่อฟังจนจบสีหน้าก็เปลี่ยนไปมืดมน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset