ตระกูลอู่ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับการรอดชีวิตของเซี่ยงเส้าหยุน เมื่ออู่ฮงจื่อมาถึงที่ห้องลับ เขากลับได้พบศพของบิดาตน และเหล่าสมุนที่คอยคุ้มกัน สร้างความหวาดกลัวแก่เขานัก
“ทะ ทำไม? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นี่ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงพบที่แห่งนี้แล้วหรือ? เป็นไปไม่ได้!” อู่ฮงจื่อบ่นพึมพำกับตนเอง หากเป็นผู้อาวุโสเจิ้นเผิงแล้ว เขาคงถูกจัดการไปเสียตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงยังสงบสุขเช่นนี้เล่า?
อู่ฮงจื่อได้รับบทเรียนอันแสนเศร้า หลังจากนั้นเขาถึงจำได้ว่าขอความช่วยเหลือกับตระกูลอู่ที่อาศัยอยู่ในนครขอบนภาเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาต้องตามหายอดฝีมือระดับราชาก่อนจะกลับมา มิเช่นนั้น มีเพียงทางเลือกเดียวคือเก็บข้าวของ และไสหัวออกไปจากเมือง
ตอนนั้นเอง หลี่เสวียเหมิง หลี่หงเอ๋อ และหลี่เถียนปาได้มารวมกันยังที่พำนักของหลี่เสวียเหมิง
“ท่านพ่อ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือ?” หลี่เถียนปาถามด้วยความไม่พอใจ ด้วยบิดาของตนได้กล่าวสัญญาจะให้เขาพ่ายแพ้การประลองกับเซี่ยงเส้าหยุนในวันพรุ่งนี้ และเป็นเรื่องยากจะยอมรับได้
“ก็ได้ ท่านพ่อ เขาจะมีผ้อาวุโสเจิ้นเผิงหนุนหลังหรือไม่? นี่มันเป็นการท้าทายอันเลวร้าย! ในลานประลองนั่น แม้จะต้องสังหารพวกมัน ลูกก็จะทำ!” หลี่หงเอ๋อกล่าวด้วยความโกรธ
“ไม่ ลูกยังไม่เข้าใจ มันมิได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด” หลี่เสวียเหมิงถอนหายใจ ด้วยไม่สามารถเล่าเรื่องลักพาตัวให้เหล่าบุตรของตนฟังได้
“ท่านพ่อ ลูกว่าท่านกังวลเกินไป ถ้าหากลูกสามารถสังหารเขาได้ในวันพรุ่งนี้ ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงอาจจะโกรธขึ้นได้ แต่ก็อาจเป็นเรื่องดีต่อเขาด้วยมิใช่หรือ? อย่างที่ท่านได้กล่าว เขาสาบานจะจงรักภักดีต่อเซี่ยงเส้าหยุนต่อหน้าทุกคน หากเซี่ยงเส้าหยุนตาย เขาจะได้เป็นอิสระอีกครั้ง ความภักดีจะคงอยู่กับตำหนักยุทธ์ และเข้าจะไม่ฆ่าเราง่ายดาเช่นนั้น” หลี่เถียนปาวิเคราะห์
หลี่เสวียเหมิงลังเลเล็กน้อย ดวงตาส่องประกาย และกล่าว “ก็ได้! เราจะทำมัน! แต่อย่าฝืนจนเกินไป!”
“มิต้องเป็นกังวล ด้วยความแข็งแกร่งของลูก การสังหารเขานั้นง่ายดายราวกับบี้แมลง” หลี่เถียนปากล่าวคำสัตย์อย่างมั่นใจ
“จงอย่าประมาท เจ้าเด็กนั่นกินยาวิญญาณไปบ้าง ตอนนี้เขาบรรลุขั้นสี่แล้ว” หลี่เสวียเหมิงอธิบาย
“อะไรกัน? นี่ลูกยังเหนือกว่าเขาตั้งสองขั้น” หลี่เถียนปายังคงเฉยเมย
…
เซี่ยงเส้าหยุนไม่อาจรู้ถึงบทสนทนานี้ เขาพากเพียรฝึกวิชาหมัดอัสนีบาต และหอกอัสนี ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน จึงสามารถปลดปล่อยพลังของวิชาได้มากขึ้น ความชำนาญของวิชาหอกอัสนีนั้นบรรลุถึงแปดในสิบแล้ว เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การฝึกหมัดอัสนีบาต
ความเชี่ยวชาญขั้นแรกของหมัดอัสนีบาตนั้น คือการปล่อยการโจมตีราวกับฟ้าผ่า เด็กหนุ่มระเบิดพลังกลางอากาศที่ว่างเปล่า ต่อยออกไปหมัดแล้วหมัดเล่า ปราณสีม่วงหมุนวนรอบหมัดทำให้เขาดูมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
“ย้าก!”
เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขณะพุ่งไปด้านหน้าซึ่งดูดุร้ายราวกับเสือ และต่อยออกไปด้วยพลังสายฟ้า มีสายฟ้าสีม่วงเลื้อยออกจากหมัด และพุ่งตรงไปยังหินด้านหน้าซึ่งอยู่ไม่ไกล
ตู้ม!
ทันใดนั้น หินหนักเกือบห้าร้อยกิโลกลัมก็ถูกระเบิดเป็นผุยผง
“ตอนนี้เราสามารถแปรสภาพพลังเป็นสายฟ้าได้แล้ว ดูเหมือนกระดูกสายฟ้าจะมีประโยชน์มากมาย” เซี่ยงเส้าหยุนพึมพำกับตนเอง
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นหกก็ไม่อาจปล่อยพลังทำลายล้างได้ได้เช่นนี้ เซี่ยงเส้าหยุนกลับพึ่งพาตัวเองจนทำมันได้สำเร็จ และเพิ่มพูรความแข็งแกร่งขึ้นได้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
…
วันคืนผ่านไป และข่าวการประลองได้กระจายไปทั่วทั้งตำหนักยุทธ์
“เซี่ยงเส้าหยุนทำอะไรอยู่? เขาเพิ่งจะกลับมานะ นี่ท้าทายหลี่เถียนปาเชียวหรือ? เขารู้ไหม่ว่าหลี่เถียนปาเป็นถึงหนึ่งในสิบอันดับแรกของศิษย์ชั้นใน?”
“นั่นสิ แม้ว่าเขาบรรลุระดับดวงดาวแล้ว แต่ก็คงมิได้เป็นคู่ต่อสู้ของหลี่เถียนปาหรอก นี่เขาพยายามสร้างปาฏิหาริย์หรือไร?”
“เป็นไปได้ไหมว่าหลี่เถียนปายั่วยุให้เกิดการประลองครั้งนี้? ด้วยเซี่ยงเส้าหยุนมิอาจหาข้ออ้างปฏิเสธเขาได้ เขาจึงต้อง นี่เขาตอบรับหรือไร?”
“เราควรไปรับชมนะ ข้ารู้สึกว่าการประลองครั้งนี้ไม่ควรพลาด”
…
การประลองยังไม่เริ่ม แต่เหล่าศิษย์ทั้งหมดได้มารวมกันที่นี่ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเซี่ยงเส้าหยุนจะชนะได้เลย ด้วยเชื่อว่าความห่างชั้นของเซี่ยงเส้าหยุน และหลี่เถียนปานั้นใหญ่เกินไป
“หือ? นั่นคงมิใช่ศิษย์พี่เหลิงหานใช่ไหม? ข้าไม่เห็นเขานานแล้ว แต่นี่เขาเผยตัวออกมาด้วยตนเองเลยรึ?” ศิษย์ชั้นนอกบางคนร้องออกด้วยความตกใจ เสียงร้องนั้นทำให้ผู้คนมากมายต้องหันไป สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่ดูเย็นชา
ผู้เยาว์คนนี้คือเหลิงฮาน และเป็นศิษย์ชั้นนอกที่แข็งแกร่งที่สุด เขาได้ไปฝึกยุทธ์อยู่เงียบ ๆ และแทบไม่มีผู้ใดพบเห็นตั้งแต่เขาขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นนอก ด้วยใช้เวลาส่วนใหญ่สงบสติด้านนอกตำหนัก แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นเพราะเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางอีกครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ดังนั้น เขาจึงกลับมาเพื่อดูดาวดวงใหม่ เซี่ยงเส้าหยุน
ที่อีกมุมหนึ่ง โม่ปูหุย และเหม่ยเหลียนฮวาได้ปรากฏตัวเช่นกัน หลังจากการเดินทางที่เทือกเขาร้อยอสูรเมื่อเดือนก่อน โม่ปูหุยได้หายตัวไป แต่วันนี้ เขากลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่กลับมีสีหน้าแปลกประหลาดราวกับมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา
นอกจากพวกเขาแล้ว เซี่ยหลิวฮุยเองก็มาที่นี่ด้วย เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการฝึกยุทธ์อันเงียบสงบ เมื่อใช้น้ำพุดวงดาวปฐพีที่เซี่ยงเส้าหยุนมอบให้ เขาจึงสามารถบรรลุจุดสูงสุดของระดับดวงดาวขั้นแรกได้ การเติบโตนั้นชัดเจนมากเนื่องจากระดับยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นถึงสองขั้นในคราเดียว
“ลูกพี่ของข้าต้องชนะแน่นอน! ลูกพี่ของข้าต้องชนะแน่นอน!” ในตอนนี้ เขาช่างดูเด่นเหนือผู้อื่น ด้วยผ้าโพกหัวสีขาว และตะโกนขณะโบกธงสีขาว
ผู้คนโดยรอบต้องอยู่ให้ห่างเซี่ยหลิวฮุย มองดูเขาราวกับคนวิปราศ ภายในใจ พวกเขาก่นด่า ‘ไอ้บ้านี่เป็นอะไรของมัน มิใช่ว่าธงขาวหมายถึงยอมแพ้หรือ?”
แต่กลับมีเด็กหญิงเพียงผู้เดียวที่ไม่ลุกหนี นางลุกขึ้นเคียงข้างเขา รอคอยด้วยสายตาโหยหา นั่นคือลู่เสี่ยวฉิง ซึ่งมาเพื่อให้กำลังใจต่อเซี่ยงเส้าหยุน
‘เส้าหยุนจะต้องชนะแน่นอน!’ ลู่เสี่ยวฉิงคิดกับตนเอง
ทันใดนั้น ที่อีกมุมหนึ่งของลานประลองได้เกิดความวุ่นวายขึ้น
“โฮก! โฮก!”
เสียงคำรามดังขึ้นหลายครั้ง ดึงความสนใจของเหล่าศิษย์มากมาย เมื่อพวกเขามองไปที่จุดนั้นจึงได้พบกับผู้เยาว์มากมายที่กำลังขี่สัตว์ที่ต่างกัน แต่ละคนมีทั้งอาวุธ และชุดเกราะครบครัน เป็นภาพที่น่าประทับใจ และยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” ผู้เยาว์ซึ่งดูหล่อเหลาซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มได้กล่าวถามพี่น้องที่อยู่ข้างเคียง
“ศะ ศิษย์พี่เยี่ย นี่คือการประลองระหว่างศิษย์พี่เถียนปา และเซี่ยงเส้าหยุน” มีศิษย์ผู้หนึ่งตอบคำถาม
“ข้ารู้จักหลี่เถียนปา แต่ใครคือเซี่ยงเส้าหยุน? เขาเป็นคนนอกหรือ?” เด็กหนุ่มถาม
“ขะ เขาเป็นศิษย์คนใหม่ และยังเป็นศิษย์น้องของผู้อาวุโสขุนนางอัสนีสีม่วง ด้วยยังมีห้าดวงดาวสถิตร่าง” ศิษย์ผู้นั่นกล่าว
“ยังมีผู้ที่มีห้าดวงดาวสถิตร่างอีกคนรึ? น่าสนใจ” เด็กหนุ่มพึมพำ ใบหน้าดูริษยา เด็กหนุ่มผู้นี้คือเยี่ยเทียนหลง เป็นหนึ่งในสิบอันดับศิษย์ชั้นใน และยังเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสที่หนึ่ง