ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 83 : ไร้ยางอายยิ่งกว่าปล้นผู้อื่นเสียอีก

“แน่นอน” พ่อค้าแผงลอยกล่าวด้วยแววตาหวาดหวั่น ขณะจ้องมองไปยังผู้อาวุโสเจิ้นเผิง

ทว่าผู้อาวุโสเจิ้นเผิงจะยังไม่ได้ปลดปล่อยการเผยตัวออก แต่พ่อค้าแผงลอยสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด

เซี่ยงเส้าหยุนพยักหน้า และถามเสี่ยวไป่ “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?”

เสี่ยวไป่ร้องตอบก่อนจะวิ่งไปยังแผงลอย มันชี้ไปยังสิ่งที่ดูราวกับฟันของสัตว์ร้าย

“เซี่ยงเส้าหยุนมองไปยังฟันซี่นั้น และถาม “สิ่งนี่ราคาเท่าไหร่?”

“นี่คือเขี้ยวพยัคฆ์ระดับราชา มันมีราคาแพงนัก เจ้าจะต้องมีผลึกวิญญาณระดับต่ำอย่างน้อยราวหนึ่งร้อยชิ้น” พ่อค้าแผงลอยกล่าว

“หากมันเป็นเขี้ยวพยัคฆ์ระดับราชาจริง ราคานี้ก็ถือว่าถูกแล้ว แต่เขี้ยวพยัคฆ์ชิ้นนี้มีบางส่วนเสียหาย มันก็ไม่น่าจะแพงเท่านี้ เช่นนั้น ข้าให้ผลึกวิญญาณระดับต่ำห้าสิบชิ้นแล้วกัน” เซี่ยงเส้าหยุนต่อรอง

พ่อค้าแผงลอยส่ายหัว “ไม่ได้ อย่างน้อยก็เก้าสิบชิ้น ข้าไม่ต้องการขายมันในราคาถูกเช่นนั้น”

พ่อค้าแผงลอยตัดสินว่าเซี่ยงเส้าหยุนคือนักท่องเที่ยว และคิดว่าคุณชายผู้นี้จะต้องร่ำรวย ดังนั้น พ่อค้าแผงลอยจึงมั่นใจในการเสนอราคาที่สูงลิ่วให้แก่ชายหนุ่ม

เขาแน่ใจว่าเซี่ยงเส้าหยุนเป็นคุณชายผู้รอบรู้ เพราะตนเองก็ยังไม่ทราบว่าเขี้ยวพยัคฆ์ชิ้นนี้เป็นถึงเขี้ยวระดับราชา ด้วยเขาได้มาโดยบังเอิญ

“ไม่ ยังแพงเกินไป หากเจ้าไม่ต้องการขายมันจริง ข้าขอเสนอผลึกวิญญาณหกสิบชิ้น มิเช่นนั้น ก็ลืมมันไปเสีย” เซี่ยงเส้าหยุนส่ายหัว

“พ่อค้าแผงลายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเสนอ “ข้อเสนอสุดท้าย ผลุกวิญญาณแปดสิบชิ้น”

“ตกลงตามนั้น” เซี่ยงเส้าหยุนยอมรับข้อเสนอ

ตอนนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้เคียง “ข้าขอซื้อเขี้ยวนั่นในราคาหนึ่งร้อยผลึกวิญญาณ”

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนหันไป เขาพบกับชายหนุ่มกำลังขี่สัตว์พาหนะที่ดูดุร้าย เขาถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มสมุน และพวกเขาล้วนขี่สัตว์อสูรทั้งหมด โดยรวมแล้วช่างเป็นกลุ่มคนที่ดูดีทีเดียว

ชายหนุ่มสวมใส่อาภรณ์ที่ดูหรูหรา และเผยท่าที่เย่อหยิ่งอันไร้ขอบเขต เห็นได้ชัดว่าเป็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งผยอง ด้วยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นท้าย เขาสามารถบรรลุระดับนี้ได้ด้วยเพียงอายุแค่นี้ แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ด้วยยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพมากมายใต้อาณัติ เมื่อมองดูจากเขม่าควันรอบตัวก็ทราบได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนแถวนี้ และยังเดินทางมาในรายะไกลมาก

“เอ้านี่ ผลึกวิญญาณแปดสิบชิ้น” เซี่ยงเส้าหยุนเฉยเมยต่อชายหนุ่ม และยื่นถึงใส่ผลึกวิญญาณ ก่อนจะเอื้อมไปคว้าเขี้ยวพยัคฆ์ ผลึกวิญญาณเหล่านี้ได้มาจากการปล้นอู่ฝูเซี่ยง ความจริงแล้วเขามีมากกว่าหนึ่งหมื่นชิ้นเสียอีก และเก็บมันไว้ในทะเลจักรวาลดวงดาวราวสองถึงสามพันชิ้น

อู้ฝูเซี่ยงเป็นถึงจ้าวเมืองอู่คนก่อน ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ร่ำรวยมหาศาล

“เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้ากล่าวหรือ? ข้าจะเอาเขี้ยวพยัคฆ์นี่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ยินดี เขากล่าวกับพ่อค้าแผงลอย “เจ้าหูหนวกหรือไง? ข้าบอกว่าเสนอผลึกวิญญาณหนึ่งร้อยชิ้น มันเป็นราคาสูงกว่าที่เขาเสนอเสียอีกนะ”

แม้พ่อค้าแผงลอยจะดูรำคาญชายหนุ่ม แต่เขาเสนอเงินมากเช่นนี้ เขาจึงจำต้องหยุดเซี่ยงเส้าหยุนไว้ และกล่าว “เช่นนั้น ราคาที่ชายหนุ่มผู้นั้นเสนอมาถทอว่าชนะ แต่ข้าถือว่าเจ้ามาก่อน หากยินดีจ่ายในราคาที่เขาเสนอ ข้าจะขายให้เจ้า”

เซี่ยงเส้าหยุนหรี่ตาลง และกล่าว “เจ้าแน่ใจหรือ?”

“แน่นอน!” พ่อค้าแผงลอยกล่าว

“เจ้าหนู เจ้าไม่มีปัญญาจ่ายหรอก” ชายหนุ่มเหยียดหยามเซี่ยงเส้าหยุน

เซี่ยงเส้าหยุนหันไปมองชายหนุ่ม ก่อนจะกล่าว “ใครปล่อยให้สุนัขมาเห่าหอนแถวนี้กัน? ดูสิเห่าไม่หยุดเลย?”

“ไอ้เด็กเหลือขอ! สอนบทเรียนมันเสีย!” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยความโกรธ

หลังจากสิ้นคำ ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงก้าวออกมาด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว

“ไปให้พ้น!” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงกล่าว เขาไม่ได้ตะโกนเสียงดังเลย แต่ด้วยน้ำเสียงของเขาในตอนนี้ช่างดูน่าเกรงขามนัก ชายหนุ่ม และเหล่าผู้อยู่ใต้อาณัติสัมผัสได้ทันทีว่าผู้อาวุโสเจิ้นเผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลทันที

“คุณชายเวิ่น นี่มันผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา เราจำต้องถอยก่อน” ชายชรากระซิบ

“ราชา? เมืองเล็ก ๆ เช่นนี้มีราคาอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” ชายหนุ่มพึมพำอย่างไม่พอใจ

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาจ้องไปที่เซี่ยงเส้าหยุน และกล่าว “ข้า เวิ่นจิ๋นรุ่ยจะจดจำไว้ หากเจ้าแวะเวียนไปที่นครขอบนภาในสักวัน ข้าจะจัดการเจ้าเสีย”

ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงจากไป พ่อค้าแผงลอยต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เดิมทีเขาต้องการเสนอราคาที่สูงขึ้นเพื่อกำไร แต่ดูความโลภจะย้อนกลับมาที่เขาเสียเอง

“เช่นนั้น เขี่ยวพยัคฆ์นี่ต้องเป็นของข้า” เซี่ยงเส้าหยุนจ้องไปที่พ่อค้าแผงลอย และกล่าว

“ได้ แน่นอน เอาไปเลยข้าให้” พ่อค้าแผงลอยยื่นเขี่ยวพยัคฆ์ให้ด้วยความเคารพ

คุณชายผู้นี้มีราชาคอยคุ้มกัน หากทำให้ราชาต้องโกรธ พ่อค้าแผงลอยเช่นเขาคงต้องถูกสังหารด้วยเพียงปัดมือ เช่นนั้นแล้วพ่อค้าเช่นเขาจะกล้าคิดเงินได้อย่างไร?

“ข้าไม่ใช่ขอทานนะ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว

“ไม่ ไม่ ท่านมิใช่ขอทาน ข้าเพียงแสดงความเคารพให้แก่คุณชายที่น่าเคารพเท่านั้น” พ่อค้าผายมืออีกครั้ง ตอนนั้นเอง เขาคิดว่าควรเสนอราคาสักห้าสิบผลึกวิญญาณก็ยังดี

“รับไป ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้ผู้ใด” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยความเอื้อเฟื้อ ขณะหยิบเอาผลึกวิญญาณออกจากกระเป๋าให้แก่พ่อค้า

หลังจากนั้น เซี่ยงเส้าหยุนเดินไปหาเซี่ยหลิวฮุยด้วยมีเขี้ยวพยัคฆ์ในมือ จ้องมองไปยังผลึกวิญญาณหนึ่งชิ้นในมือ พ่อค้าแผงลอยรู้สึกอยากจะร้องไห้ ภายในเขาคร่ำครวญไม่หยุด นี่มันไร้ยางอายเสียยิ่งกว่าปล้นผู้อื่นเสียอีก

ในขณะนั้นเอง เซี่ยหลิวฮุยกำลังยุ่งอยู่กับแผงลอยของแม่ค้าผู้หนึ่ง ความจริงแล้ว เขาเพียงแสร้งทำเป็นมองหาสิ่งของ เพื่อจ้องมองแม่ค้าผู้นั้น

“เจ้าหนู เจ้ามองอะไรอยู่กัน? กลับบ้านไปมองมารดาเจ้าไป” แม่ค้าตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์

แม้แม่ค้าจะไม่ได้งดงามนัก แต่ก็ถือว่ามีเสน่ห์สำหรับผู้ใหญ่ และยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นต่อหน้าเซี่ยหลิวฮุยผู้ไร้ประสบการณ์

เซี่ยหลิวฮุยหน้าแดง เขาจ้องมอง และชี้เอาสิ่งของแบบสุ่ม “ข้าขอซื้อสิ่งนี้แล้วกัน”

“นี่คือยาวิญญาณระดับต่ำ ดาวเรืองสีฟ้า ราคาสิบผลึกวิญญาณ เจ้ามีปัญญาจ่ายไหม?” แม่ค้าถามด้วยความดูถูก

“ข้า ข้า…” เซี่ยหลิวฮุยพูดติดอ่าง เขาไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดอีก

แม้เขามีเหรียญทองสิบเหรียญติดตัว แต่เขากลับไม่สามารถซื้อผลึกวิญญาณสิบชิ้นได้ แม้จะต้องขายตนเองไปก็ยังไม่พอเสียด้วยซ้ำ

“เช่นนั้นก็จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้ นี่จะเอาเปรียบข้ารึ? ใยจึงไม่ส่องกระจกดูบ้าง” แม่ค้ากล่าว สีหน้าแสดงถึงความรังเกียจ

“จัดการห่อดาวเรืองสีฟ้าให้แก่น้องของข้าเสีย” เซี่ยงเส้าหยุนเดินมาจากที่ใกล้เคียง ขณะกล่าว ผลึกวิญญาณสิบชิ้นได้ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ ขณะยื่นให้เซี่ยหลิวฮุย

“ละ ลูกพี่!” เซี่ยหลิวฮุยรู้สึกประทับใจต่อท่าทีของเซี่ยงเส้าหยุน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset