ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 85 : ข้าเกลียดคนทรยศเหนือกว่าสิ่งใด

ตอนนั้นเอง ยอดฝีมือระดับแปรสภาพได้ถูกสังหารด้วยเพียงหนึ่งลูกเตะ สร้างความหวาดกลัวแก่ฝูงชน

“บ้าฉิบ ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร แต่นับตั้งแต่เจ้ากล้าสังหารคนของตระกูลเวิ่น เจ้าเตรียมพบกับความหายนะจากตระเวิ่นได้เลย” เวิ่นจิ๋นรุ่ยร้องออกด้วยความกลัว ชั่วขณะที่เขาตะโกน เขาต้องถอยกลับด้วยไม่กล้าโจมตีเซี่ยงเส้าหยุน ขณะที่ทั้งสองกลุ่มปะทะกัน พวกเขาต่างแยกออกจากกันเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากถูกสังหาร และผู้ที่เหลือรอดช่างดูน่าสังเวช

“คุณชาย ให้ข้า…” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถามขณะแสดงท่าทางเชือดเฉือน

ทำให้เวิ่นจิ๋ยรุ่ยตกใจมากจนสติแตก เขารีบไปที่สัตว์พาหนะของตนอย่างรวดเร็ว และกล่าว “ไป ไป!”

เขาจากไปพร้อมสัตว์ขี่ ทิ้งเหล่าผู้อยู่ใต้อาณัติไว้เบื้องหลัง เมื่อพวกเขาเหล่านั้นมองผู้เป็นนายหนีไป พวกเขาก็เริ่มกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยไม่มีผู้ใดต้องการที่จะตาย สำหรับกลุ่มนักล่าสิ่งโตคลั่ง พวกเขาหลบหนีไปอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน

“คุณชาย ให้ข้า…” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงถาม

“ลืมผู้คนเหล่านั้นไปก่อนเถิด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ปล่อยให้รอดชีวิตเพียงหนึ่งคน และฆ่าทั้งหมดไปเสีย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวขณะชี้นิ้วไปที่กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่ง ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงได้ฟังเช่นนกันจึงไล่ล่าพวกเขา ตอนนั้นเอง พวกเขาได้ถูกสังหารไปทีละคน และผู้อาวุโสเจิ้ยเผิงได้จับผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวไว้ นักล่าระดับแปรสภาพ

“อย่าฆ่าข้าเลย โปรดอย่าฆ่าข้า! ข้าเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น!” นักล่าระดับแปรสภาพขอร้อง เขาสูญเสียความกล้าหาญทั้งหมดที่มีเมื่อรู้ว่าผู้อาวุโสเจิ้นเผิงเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา

“กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่ง เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม หลังจากหลบหนีจากเทือกเขาร้อยอสูรโดยไม่เปิดเผยตัวตน จึงไม่มีเหตุผลที่พวกนั้นจะค้นหาเขาเจอได้โดยง่าย และด้วยพวกนั้นมาที่นี่เพราะตน อาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นได้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไร

“มีคนจากตำหนักยุทธ์บอกกับเรา!” นักล่ากล่าวออกมาหมดเปลือก

“อะไรนะ?” เซี่ยงเส้าหยุนร้องออกด้วยความตื่นตระหนก ด้วยคำตอบที่ได้รับ เขาเริ่มมั่นใจได้ว่ามีผุ้ทรยศ จะเป็นใครไปได้อีกเล่า ถ้าไม่ใช่เหม่ยเหลียนฮวา?

“เหตุใดพวกเจ้าจึงไล่ล่าข้าอย่างไม่ลดละเช่นนี้?” เซี่ยงเส้าหยุนถามด้วยสีหน้าไม่น่าดู

“เพราะพวกเขากล่าวว่าเจ้าได้เอาน้ำพุดวงดาวปฐพีไป และยังเอาสมบัติวิญญาณจำนวนมากไปอีก ซึ่งเป็นเหตุผลที่เจ้าเติบโตได้รวดเร็ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราไล่ตามเจ้า โปรดปล่อยข้าเถอะ ข้าจะไม่พยายามทำสิ่งโง่เขลาเช่นนี้อีก” นักล่าอ้อนวอน

“มิต้องกังวลไป ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว และส่งสัญญาณบางอย่างแก่ผู้อาวุโสเจิ้นเผิง ก่อนจะเดินจากไป เมื่อนักล่าคิดว่าตนรอดแล้ว ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงปล่อยฝ่ามือเข้าใส่ทันที

ตู้ม!

ตอนนั้นเอง นักล่าระดับแปรสภาพได้ถูกสังหารลง สิ่งสุดท้ายในความคิดก่อนจะตายคือ ‘นี่เขากล่าวว่าจะไม่ทำอะไรข้าจริงหรือ?’

เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบากับตนเอง “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดต่อเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนรอบข้างข้าจะไม่ทำ”

เซี่ยงเส้าหยุนได้ตัดสินใจจะไม่ปล่อยใครก็ตามที่พยายามจะฆ่าตนไป

“ตาแก่เผิง ท่านรู้จักกลุ่มนักล่าสิงโตคลั่งไหม?” เซี่ยงเส้าหยุนถาม

“แน่นอน มันคือกลุ่มนักล่าปีศาจที่แข็แกร่งมาก” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงตอบ เขาเริ่มกล่าวโดยคร่าวให้เซี่ยงเส้าหยุนฟังเกี่ยวกับกลุ่มนักล่านั่น หลังจากได้ฟังคำของผู้อาวุโสเจิ้นเผิง เซี่ยงเส้าหยุนได้เข้าใจว่ากลุ่มนักล่าสิงโตคลั่ง ไม่ใช่กลุ่มนักล่าปีศาจธรรมดา

กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่งคือกลุ่มยอดฝีมือมากมายจากทั่วทั้งแผ่นดิน หัวหน้าของพวกมันเป็นถึงยอดฝีมือระดับแปรสภาพขั้นเก้า และพวกเขามีรองหัวหน้าถึงสี่คน ซึ่งล้วนเป็นยอดฝีมือช่วงท้ายของระดับแปรสภาพ นอกจากนี้ สมาชิกกลุ่มเองก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือมากมาย ทั้งระดับแปรสภาพ และระดับดวงดาว อาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มที่ทรงพลังมากกลุ่มหนึ่งเลยก็ว่าได้

แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เทือกเขาร้อยอสูร และยังเกี่ยวข้องกับกลุ่มโจรอีกด้วย และที่สำคัญกว่านั้น มีข่าวลือว่าพวกมันติดต่อกับองค์กรบางอย่างในนครขอบนภาด้วย นครขอบนภานั้นเป็นนครใหญ่ในแผ่นดิน ล้อมรอบด้วยกว่าร้อยเมือง และเมืองอู่ก็คือหนึ่งในนั้น

เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มเข้าใจถึงความต่างระหว่างนคร และเมือง นครคือสถานที่ซึ่งยอดฝีมือมารวมตัวกัน และอาจมีบางองค์กรซึ่งยิ่งใหญ่ และมีอำนาจกว่าตำหนักยุทธ์ หนึ่งเมืองไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งนคร ด้วยเหตุผลนี้ แม้กลุ่มนักล่าสิงโตคลั่งจะมีศัตรูมากมาย แต่ศัตรูของพวกนั้นก็มิอาจทำสิ่งใดได้

“ดูเหมือนกลุ่มน่าล่าสิงโตคลั่งจะไม่เลิกราเท่านี้” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบากับตนเองพร้อมหนี่ตาลง

“หากคุณชายต้องการให้พวกมันตาย ข้าจะไปสังหารมันเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงกล่าวขณะแสดงความจงรักภักดี

“เซี่ยงเส้าหยุนส่ายหัว “ไม่ พวกมันทั้งหมดเป็นก้าวต่อไปของข้า”

แม้เซี่ยงเส้าหยุนจะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่เขามีความทะเยอทะยานอันลึกซึ้ง และความคิดที่ใครหลายคนไม่อาจหยั่งถึง ย้อนกลับไปในอดีต เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งผู้สนใจ หลังจากเหตุการณ์นั่น เขาได้เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว แม้ปกติจะทำตัวเหมือนเด็กไร้วินัย แต่ความคิดของเขาเป็นสิ่งที่น้อยคนจะเข้าใจได้

“เรากลับไปที่ตำหนักยุทธ์กันก่อน ข้าเกลียดคนทรยศที่สุด” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวด้วยความเกลียดชัง หลังจากย้อนกลับไปยังตำหนักยุทธ์ สิ่งแรกที่เขาทำคือไปพบกับเซี่ยหลิวฮุย

“คุณชาย ท่านปลอดภัยไหม?” เซี่ยงหลิวฮุยถามด้วยความตื่นตระหนก

คำเหล่านั้นทำให้หัวใจของเซี่ยงเส้าหยุนอบอุ่นขึ้น “ข้าปลอดภัยดี น้องชาย”

ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่ทรยศเขา ก็ยังมีน้อยชายที่ยังจงรักภักดีต่อเขาเช่นกัน

“ลูกพี่ เกิดอะไรขึ้น? ท่านดูไม่ค่อยดี” เซี่ยหลิวฮุยถามขณะสัมผัสได้ถึงความท่าทีที่ต่างไปของเซี่ยงเส้าหยุน ในอดีต เซี่ยงเส้าหยุนเอาแต่เรียกเขาด้วยชื่อ แต่วันนี้ เซี่ยงเส้าหยุนกลับเรียกเขาว่าน้องชาย การเปลี่ยนแปลงนั้นกะทันหันเกินไป อาจกล่าวได้ว่าบางคนคุ้นชินไปเสียแล้ว

“ข้ามีบางสิ่งอยากให้เจ้าช่วย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างจริงจัง

“บอกมาได้เลยลูกพี่ ข้าจะทำทุกสิ่งที่ทำได้” เซี่ยหลิวฮุยตบหน้าอกตนเอง และสัญญา

“ข้าอยากให้เจ้าท้าทายโม่ปูหุย และเหยียบย่ำเขาเสีย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว

“ท้าทายโม่ปูหุยหรือ? ได้ ข้าจะทำมัน!” เซี่ยหลิวฮุยตอบรับหลังจากตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าลูกพี่ของตนต้องมีเหตุผลกับเรื่องนี้จึงไม่ตั้งคำถามใด

“หากเจ้าต้องการสตรี อันดับแรกคือต้องแข็งแกร่งด้วยตนเอง เจ้าทำได้อยู่แล้ว” เซี่ยงเส้าหยุนตบไหล่ของเซี่ยหลิวฮุย ก่อนจะมุ่งหน้าไปหาลู่เสี่ยวฉิง ลู่เสี่ยวฉิงได้รับการฝึกยุทธ์อยากสันโดษมาตลอด แต่เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนมาถึง นางก็จากมาอย่างสันโดษเพื่อพบเขาเช่นกัน

“เจ้าอยู่ที่นี่!” ลู่เสี่ยวฉิงดูมีความสุขมาก รอยยิ้มอันน่าหลงไหลผุดขึ้นบนใบหน้า

“ข้าอยากให้เจ้าท้าทายเหม่ยเหลียนฮวาในการประลอง” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวอย่างตรงประเด็น

ลู่เสี่ยวฮิงเหม่อเล็กน้อย แต่ทันทีหลังจากนั้น ความมั่นใจผุดขึ้นบนใบหน้าทันที นางกล่าว “ตกลง ข้าจะเอาชนะนาง”

หลังกจากได้รับน้ำพุดวงดาวปฐพีจากเซี่ยงเส้าหยุน ความแข็งแกร่งของนางได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ได้บรรลุระดับดวงดาวขั้นสามแล้ว และควบคู่ไปกับการฝึกยุทธ์อันหนักหน่วงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การเอาชนะเหม่ยเหลียนฮวาจึงไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย และที่สำคัญที่สุด นี่เป็นสิ่งที่เซี่ยงเส้าหยุนร้องขอกับนาง ดังนั้น นางจะทำมันให้สำเร็จไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset