ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 90 : เจ้าไม่กล้าที่จะเผยตัวหรือ?

นี่คือวิชาดาบที่เกิดจากความรู้สึกสิ้นหวัง เสียใจ และเจ็บปวดหัวใจ การฟันแต่ละครั้งจะสร้างน้ำพุแห่งน้ำตา และโลหิต! มีเพียงผู้ที่อยู่ในความเศร้าโศกเท่านั้นจึงจะเข้าถึงแก่นของวิชาได้

ฉากการถูกทรยศของเซี่ยงเส้าหยุนได้พบเจอมากับตนเอง ความเจ็บปวดที่ถูกพี่ และผู้หญิงของตนทรยศได้ฝึกลึกลงในกระดูก ทั้งยังเป็นความรู้สึกที่ไม่มีวันจางหายไปชั่วกาล

ความเศร้าโศกพุ่งพล่านในจิตใจของเซี่ยงเส้าหยุน ความปรารถนาของโลงศพนั้นชัดเจนขึ้น เมื่อพลังอันไร้รูปร่างได้มารวมตัวรอบเซี่ยงเส้าหยุน น้ำตาหลั่งไหล่ออกมาไม่ขาด และเขาไม่อาจหยุดมันได้ตามที่ตนต้องการ น้ำตาซึ่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และเกิดจากอารมณ์ที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม

ทันใดนั้นเอง เซี่ยงเส้าหยุนกัดริมฝีปากของตน และลุกขึ้น ก่อนจะตะโกน “การหมกมุ่นกับความสิ้นหวัง และเศร้าโศกเป็นเพียงสิ่งที่ผู้อ่อนแอจะกระทำ ข้า เซี่ยงเส้าหยุน ผู้เกิดมาเพื่อเป็นราชา หากมีผู้ใดในโลกทรยศต่อข้า ข้าจะไม่เสียน้ำตาให้พวกมันสักหยด ไปให้พ้น!”

ขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนนั้น การเผยตัวแห่งราชาทำให้เด็กหนุ่มฮึกเหิม และความคิดที่ไม่ยอมแพ้ได้พุ่งออก ปัดป้องจิดสำนึกของราชาผู้ล่วงรับ เมื่อได้สติ และน้ำตาหยุดไหล ในตอนนี้ไม่มีร่องรอยของความเศร้าโศกปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้ว

“พวกท่าทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา แต่พวกท่านทั้งหมดล้วนอ่อนแอกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชา และข้าผู้ซึ่งเกิดมาเพื่อเป็นราชาผู้อยู่เหนือราชาทั้งปวง โปรดแสดงให้ข้าเห็น พวกท่านทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลังบ้าง” เซี่ยงเส้าหยุนเปลี่ยนความคิดของตน และตัดสินใจจะทำความเข้าใจกับเจตจำนงเหล่านี้อย่างเชื่องช้าโดยไร้ความกังวล

และด้วยการเผยตัวของเขาที่พวยพุ่งออก เก้าดวงดาวภายในทะเลดวงดาวได้ปะทุขึ้นเช่นกัน พลังดวงดาวได้บรรจบกันทะเลจักรลวาลดวงดาว และขณะเดียวกัน กระดูกสายฟ้าสีม่วงได้ส่องแสงขึ้น ร่างกายส่องประกายเจิดจ้า ราวกับเด็กหนุ่มเป็นทะเลสาบแห่งดวงดาว

เขาเปิดใช้งานพรสวรรค์การมองเห็น ขณะใช้จิตสำนึกห่อหุ้มโลงศพทั้งหมด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าโลงศพเหล่านี้ที่มีความรู้สึก หรือมรดกแห่งเจตจำนงที่ทำสัมผัสได้ถึงการเผยตัวแห่งราชาของเซี่ยงเส้าหยุน แต่ก้อนสติสัมปชัญญะสามก้อนได้ล่องลอยออกจากสามโลงที่ต่างกัน

โลงศพทั้งสามนั้นคือ โลงของเจ้าตำหนักคนแรกจางกงเย่ เจ้าตำหนักคนที่สองเฟิงหยูเฉิน และผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่องนภาขั้นสอง

เจตจำนงที่จางกงเย่ได้ทิ้งไว้เบื้องหลังส่วนใหญ่เกิดจากความดื้อรั้น ความดื้อรั้นที่ส่งต่อไปยังเจ้าตกหนักรุ่นต่อไป ทั้งชีวิตที่ทุ่มเทให้กับความแข็งแกร่งของท่านเจ้าตำหนัก และด้วยสิ่งนี้ กลุ่มก้อนแห่งสติสัมปชัญญะนี้จึงไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว

กลุ่มก้อนแห่งสติสัมปชัญญะยังมีความเข้าใจที่เขาได้รับขณะบรรลุระดับราชา ช่วงสุดท้ายของผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพนั้นสามารถเข้าสู่ระดับราชาได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาจะต้องรับมือกับก้อนสติเหล่านั้น

โชคไม่ดีนัก เซี่ยงเส้าหยุนยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาว ดังนั้น แม้เจตจำนงเหล่านี้จึงไม่ได้ช่วยสิ่งใดมากนัก แต่ก็ยังช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ได้ในระหว่างการบรรลุอย่างแน่นอน

กลุ่มก้อนสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นของเจ้าตำหนักรุ่นที่สอง เฟิงหยูเฉิง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชาซึ่งใฝ่หาจุดสูงสุดของความเร็ว และมรดกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังคือวายุกระโชก วายุกระโชกซึ่งเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจจับต้องได้

หากไม่ใช่พรสวรรค์จินตภาพของเซี่ยงเส้าหยุนซึ่งสามารถทำให้มันช้าลงได้ บันทึก และสะท้อนกลุ่มก้อนสติเหล่านั้น เด็กหนุ่มคงไม่อาจสังเกตเห็นวายุกระโชกนั่นได้เลย

สายลมไร้รูปร่าง รวดเร็ว และรุนแรง ทั้งยังอันตราย สายลมซึ่งกว้างใหญ่ และไร้ขอบเขต แก่นหลักมากมายของพลังแห่งสายลมนั้นสามารถพบได้จากวายุกระโชก

ด้วยกลุ่มก้อนสติสัมปชัญญะของผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชาขั้นสอง จึงค่อนข้างไม่ชัดเจน และอ่อนแอกว่าของผู้อื่น แต่จากกลุ่มก้อนสตินี่ เซี่ยงเส้าหยุนได้พบเหตุผลที่ผู้ฝึกยุทธ์ท่านนี้สามารถด้าวสู่ระดับราชาได้ มันเป็นเพราะผู้ฝึกยุทธ์ฝึกฝนอย่างหนักกว่าผู้อื่น ความสำเร็จซึ่งต้องขอบคุณต่อการฝึกฝนอันหนักหนาสาหัส

เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ และจากความทุกข์ทรมารมากมาย เขาเลือกจะพึ่งพาการฝึกฝนอันหนักหน่วง และก้าวไปทีละก้าวอย่างยากลำบากจนกระทั่งบรรลุระดับราชา นี่คือมรดกแห่งเจตจำนงที่เต็มไปด้วยแรงใจ แรงใจซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนมากมาย แต่น้อยคนที่จะทำได้

เซี่ยงเส้าหยุนสามารถจับภาพทั้งหมดของเจตจำนงทั้งสามได้อย่างแม่นยำ แต่ทั้งสามนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดของเซี่ยงเส้าหยุนคือวายุกระโชก ความเข้าใจต่อสายลมจะเป็นประโยชน์ต่อก้าวราชันเก้าประโลก และเสริมความเร็วให้แก่การเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม แรงใจนั้นยังคงมีประโยชน์ เนื่องจากมันชี้เป้าหมายที่ชัดเจนต่อเส้นทางในอนาคต ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางสามารถบรรลุระดับราชาได้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักเพียงลำพัง เซี่ยงเส้าหยุนเป็นผู้ที่เกิดมาเป็นราชา ดังนั้น แทนที่จะขี้เกียจ เขาจะต้องเรียนรู้จากผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีความทะเยอทะยานในการบรรลุจุดสูงสุดในเส้นทางการฝึกยุทธ์

เจตจำนงทั้งสองไม่ได้มอบการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เซี่ยงเส้าหยุนในทันที แต่พวกเขาช่วยให้เข้าใจในทิศทางที่ควรจะฝึกฝน แท้จริงแล้ว กำไรของเขานั้นมากมายมหาศาล เจตจำนงเหล่านี้จะนำทางให้แก่เส้นทางการฝึกยุทธ์ไปสู่แสงสว่าง

“ไม่เลว ไม่เลวเลย แท้จริงแล้ว หากท่านมีทรัพยากรมากขึ้น คงจักสามารถบรรลุระดับที่สูงขึ้นได้แน่ ช่างน่าเสียดายนัก” เซี่ยงเส้าหยุนคร่ำครวญ

เจ้าของเจตจำนงทั้งสามเป็นผู้มากความสามารถทั้งสิ้น เจ้าตำหนักคนแรกจะมุ่งมันไปกับการสอน ทำให้ความสำเร็จในการฝึกยุทธ์นั้นจำกัด แต่ก็เป็นหัวใจอันเสียสละเช่นเดียวกับการช่วยให้เขาได้บรรลุระดับราชา

ท่านเจ้าตำหนักที่สองเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ขณะที่เข้าใจแก่นสำคัญของสายลม หากได้รับโอกาสอันเหมาะสม เขาจะสามารถบรรลุระดับที่สูงขึ้นกว่านี้ ด้วยบางเหตุผลที่ไม่อาจรู้ได้ ทำให้การฝึกยุทธ์ของเขาต้องหยุดลงที่ระดับราชาขั้นสี่

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับราชาคนสุดท้าย เขามีพรสวรรค์น้อยกว่าผู้อื่นในที่แห่งนี้ แต่ได้ฝึกฝนอย่างหนักมากกว่าผู้อื่นเช่นกัน ระดับราชาคือขีดจำกัดของเขา ช่างน่าเสียดายด้วยเขามาจากที่ยากแค้น ไร้ซึ่งทรัพยากรที่จะช่วยเสริมสร้างร่างกาย

เซี่ยงเส้าหยุนนั่งสมาธิด้วยท่าดอกบัว และเริ่มตั่งมั่นต่อสองเจตนาหลัง และหลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาตั้งใจทำทุกอย่างแล้ว เขาจึงเดินไปที่ทิศทางอื่น

ด้วยทั้งโลงศพทั้งเจ็ดโลง มีสี่โลงที่มีปฏิกิริยาต่อเขา  อีกสามโลงนั้นเป็นเพียงโลงเน่าผุเพราะเจตนาภายในได้แยกย้ายไปตามกาลเวลา ในตอนนี้ เซี่ยงเส้าหยุนได้มุ่งหน้าไปยังโลงศพไร้นาม เขาปฏิเสธความคิดที่ยอดฝีมือซึ่งอยู่จุดสูงสุดของระดับราชาได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนไปถึงตรงหน้าโลง เขาวางฝ่ามือบนโลงศพขณะตำหนิ “เจ้ากล้าไม่เผยตัวต่อคุณชายผู้นี้หรือ?”

ขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว การเผยตัวของราชาได้พุ่งออก และกดทับไปที่โลงนั่น ด้วยต้องการใช้วิธีตรงไปตรงมาเพื่อให้เจตจำนงเผยออกมา หากทำเช่นนี้แล้วยังคงไร้ผล นั่นคงหมายถึงไม่มีสิ่งใดหลงเหลือจากผู้ฝึกยุทธ์นามผู้นี้ เขาส่งความรู้สึกออกไป และเมื่อดูเหมือนว่าไม่พบสิ่งใด กระดูกสีม่วงภายในร่างกลับตอบสนอง

ชิ้ง!

พลังงานไร้ซึ่งตัวตนได้พุ่งออกจากกระดูกสีม่วง และพุ่งไปยังโลงนั่น พลังงานสีม่วงปกคลุมไปทั่วทั้งโลง ดูราวกับพยายามเข้าไปภายใน แต่เนื่องจากโลงได้รับการสร้างด้วยรูปแบบอันแข็งแกร่ง พลังงานสีม่วงจึงไม่อาจเข้าไปภายในได้

ทันใดนั้น เสียงดังกึกก้องจากภายในโลง

ตู้ม!

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset