ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 91 : กระบี่ที่พัง

โลงได้ระเบิดออก ส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ค่ายกลของโลงได้ถูกเปิดใช้งานในทันใด

ชิ้ง! ชิ้ง!

ค่ายกลที่เผยออกนั้นมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ยุทธ์ระดับราชา มันผลักเซี่ยงเส้าหยุนลอยออกไปทันที เด็กหนุ่มกระอักเลือดขณะกระเด็น ความรู้สึกราวกับอวัยวะภายในระเบิดออก โชคดี ที่พลังงานสีม่วงพุ่งออกจากกระดูกอัสนีสีม่วงภายในแขนนั้นปัดป้องพลังเหล่านั้นได้ มิเช่นนั้น เขาคงถูกสังหารอยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นแน่

แต่ในตอนนั้นเอง มีบางสิ่งได้หลบหนีออกจากโลง มันพยายามหนีจากค่ายกลดังกล่าว

ค่ายกลในแต่ละชั้นกระเพื่อมซ้ำไปซ้ำมา ด้วยพยายามหยุดวัตถุนั่นไม่ให้หลบหนีไปได้ แต่พลังภายในของวัตถุนั่นมีมากเกินไป ค่ายกลทำได้เพียงทำให้สิ่งนั้นช้าลงเพียงเล็กน้อยก่อนที่มันจะหลุดรอดไปได้ เซี่ยงเส้าหยุนนอนอยู่บนพื้นเมื่อมองไปยังวัตถุ ดวงตาเขาเบิกโพลงขึ้น

กระบี่ที่แตกหักลอยไปมาบนอากาศ แต่ละชั้นของพลังสายฟ้าสีม่วงเริ่มกระเพื่อม กระบี่ซึ่งดูจะหมกมุ่นกับความเศร้าโศก และพยายามเรียกร้องบางสิ่ง

กระบี่ซึ่งมีด้ามจับที่สั้น และใบมีดยาวที่ทำถูกดัดแปลงจากกระดูกของสัตว์  ด้ามจับมีรูปร่างราวกับพยัคฆ์ ในขณะที่ใบมีดมีรูปร่างราวกับมังกร โดยรวมแล้วช่างดูเป็นกระบี่ที่หยาบกร้าย และเก่าแก่นัก

หากมิใช่ความจริงที่ว่ากระบี่เล่มนี้ได้รับความเสียหายร้ายแรงมาก่อน มันอาจจะเป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด  ในขณะนั้นเอง กระดูกสายฟ้าสีม่วงภายในตัวของเซี่ยงเส้าหยุน ได้เริ่มส่องแสงสีม่วงออกมา ในขณะที่เชื่อมต่อเข้ากับกระบี่ แต่โชคไม่ดีนัก กระบี่เล่มนี้เสียหายเกินไป ท้ายที่สุดแล้วพลังสายฟ้าก็ค่อยเริ่มจางหายไปในที่สุด กระบี่ล่วงหล่นจากอากาศ

เคร้ง!

เสียงใบมีดกระทบกับพื้นดังขึ้น เซี่ยงเส้าหยุนเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บของตนเอง เขาบังคับตนเองให้เดินถอยหลัง และเดินไปหยิบกระบี่เล่มนั้น ในขณะที่เหวี่ยงกระบี่ไปรอบด้าน กระดูกสายฟ้าสีม่วงเริ่มส่งพลังอ่อน ๆ เข้าไปในกระบี่ ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนระหว่างเซี่ยงเส้าหยุน และกระบี่

ในขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนกำลังจมดิ่งสู่ห้วงความคิด เขาได้ยินเสียงประตูวังเปิดออก หยางเกาฉวนตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “เซี่ยงเส้าหยุน เจ้าปลอดภัยไหม?”

“ข้ารึ? ข้าปลอดภัยดี” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับ หลังจากนั้น หยางเกาฉวนได้เข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เห็นคือเซี่ยงเส้าหยุนกำลังถือกระบี่ในมือ สายตาที่มีต่อกระบี่เล่มนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่ มันดาบพัง ๆ ของผู้ฝึกยุทธ์ไร้นามนี่?”

ชายหนุ่มมองไปยังโลงไร้นาม และพบว่าโลงได้พังทลายไปเสียแล้ว และเผยให้เห็นโครงกระดูกภายใน การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปหลายครา ด้วยไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด

เซี่ยงเส้าหยุนยิ้ม และกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงออกมาด้วย แต่ข้าสัมผัสได้ว่าดาบเล่มนี้ต้องการให้ข้าเก็บมันไว้ ท่านเจ้าตำหนัก โปรดมอบมันให้ข้าได้หรือไม่?”

หยางเกาฉวนจ้องมองด้วยความสับสน ก่อนจะถอนหายใจ “นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดถึงอย่างถ่องแท้ หลายปีมานี้ ดาบเล่มนี้ได้เสียหายจะเกินไป แม้จะถูกหลอมใหม่ มันก็คงเป็นเพียงอาวุธระดับสามเท่านั้น เช่นนั้น มันจึงถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าของเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ฝึกยุทธ์ไร้นาม ช่างน่าตกใจเสียจริง ที่เจ้าสามารถดึงดูดกระบี่ให้ออกจากโลงได้ นี่คงจะเป็นโชคชะตาของมัน

“เช่นนั้น ท่านเจ้าตำหนัก ท่านหมายความให้ข้าเก็บกระบี่ไว้ได้หรือ?” เซี่ยงเส้าหยุนถามด้วยความยินดี

“แน่นอน เราไม่มีเหตุผลให้เก็บกระบี่ไว้ที่นี่” หยางเกาฉวนพยักหน้า จากนั้นก็กลับสู่ท่าทีเคร่งขรึม “มันเคยเป็นถึงอาวุธระดับราชาที่มีคุณภาพสูงที่สุด แม้ตอนนี้จะเสียหายอย่างหนัก ในครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธที่นำพาความรุ่งโรจ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้กระบี่เล่มนี้นำพาความรุ่งโรจน์มาได้เช่นกัน จงขึ้นเป็นสิบอันดับแรกในการประลองประจำเมือง และนำพาชัยชนะมาสู่ตำหนักยุทธ์เสีย มิเช่นนั้น การที่เจ้าถือครองกระบี่เล่มนี้จะถือเป็นความอัปยศอย่างสูง”

“มิต้องกังวลไป ท่านเจ้าตำหนัก ข้าจะทำภารกิจให้ลุล่วง” เซี่ยงเส้าหยุนให้คำสัตย์

แต่เมื่อสิ้นคำกล่าวลง เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกชักนำ แน่นอนว่ากระบี่เล่มนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงกระบี่ที่เสียหายเล่มหนึ่งเท่านั้น จะขึ้นไปเป็นสิบอันดับด้วยอาวุธแบบนี้หรือ? นั่นดูจะเป็นความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาได้ให้คำสัตย์แล้ว และจะไม่คืนคำเป็นอันขาด สำหรับผู้อื่น กระบี่เล่มนี้คงจะไร้ค่า แต่กับเซี่ยงเส้าหยุน มันคืออาวุธที่พิเศษ

“เอาล่ะ เนื่องจากเจ้าได้รับมรดกแล้ว ข้าสั่งให้คนมาทำความสะอาดที่นี่ จงจำเอาไว้ว่าห้ามบอกผู้อื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันขาด” หยางเกาฉวนกล่าว

เซี่ยงเส้าหยุนมิได้ลังเลใดที่จะออกจากวังไปด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ขณะที่ก้าวเกิน เขาได้ใช้ยาฟื้นฟูที่เก็บไว้ในทะเลจักรวาลดวงดาว ตัวยาได้เริ่มบำรุงอวัยวะภายใน และทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายในทันที

ทะเลจักรวาลดวงดาวไม่เพียงแต่จะสามารถเก็บสิ่งจองได้ แต่มันยังสามาถใช้สิ่งของที่เก็บไว้ภายในได้ด้วยเพียงคิดเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงไม่จำเป็นต้องนำยาฟื้นฟูออกมากิน ด้วยสามารถใช้ได้โดยตรงในขณะที่มันถูกเก็บเอาไว้ จึงช่วยลดทอนเวลาไปได้มากในยามเร่งรีบ

หลังจากออกจากตำหนักศิลา เซี่ยงเส้าหยุนได้เก็บกระบี่ไว้ในทะเลจักวาลดวงดาว ด้วยตอนนี้มันมีขนาดถึงสองเมตร จึงไม่ใช่เรื่องยากเกินจะเก็บกระบี่ไว้ภายใน ในตอนที่ได้เก็บกระบี่ไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานหลั่งไหลออกจากกระดูกสายฟ้าสีม่วง

พลังสีม่วงจางอันบริสุทธ์ได้ไหลเข้าสู่ทะเลจักรวาลดวงดาว พลังเหล่านั้นได้โอบล้อมกระบี่ไว้  กระบี่ได้ตอบสนองในขณะที่มันเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง หลังจากรับเอาพลังสีม่วงเข้าไป ใบมีดของกระบี่ได้เริ่มคมขึ้น ราวกับได้จุติใหม่อีกครา

ในขณะเดียวกัน เซี่ยงเส้าหยุนสัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อระหว่างเขา และกระบี่ แต่ในตอนนี้ เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนักในเรื่องนี้ ด้วยรีบมุ่งหน้ากลับไปยังที่พำนัก

แต่ระหว่างทาง กงฉินหยินได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมสิงโตหิมะ นางยิงลูกธนูลงที่พื้นด้านหน้าเขา หากเซี่ยงเส้าหยุนไม่หยุดได้ทัน ลูกธนูคงปักไปที่หัวของเขาเข้าอย่างจัง เขาจึงรู้สึกเดือดดาล

เขาจ้องมองไปที่กงฉินหยิน และตะโกน “นี่เจ้าพยายามสังหารข้ารึ? นังผู้หญิงบ้า เจ้าไม่คิดว่าข้าจะกล้ากระทำต่อเจ้าที่นี่หรือ?”

กงฉินหยินจ้องมองอย่างไม่แยแส “เจ้าติดค้างข้าไว้ ข้าจะกลับมาแก้แค้นแน่”

“จะกลับมาหรือ? เหตุใดจะต้องรอกัน? เรามาจัดการให้จบสิ้นในตอนนี้เสีย!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกน ขณะที่เดินไปหากงฉินหยิน เขากำลังวางแผนจัดการกับเด็กสาว กงฉินหยินได้ชักดาบออก และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ในทันที

“โฮก!”

สิงโตหิมะคำรามอย่างร้ายกาจ

“นังผู้หญิงบ้า นี่ข้าแค่เห็นเจ้าเปลือยเพียงครั้งเดียวนะ? ให้ข้าได้เปลือยให้เจ้าเห็นมั้ย ที่นี่ตอนนี้เลย!” เซี่ยงเส้าหยุนหยุดห่างจากกงฉินหยินราวสองเมตร และเริ่มเปลื้องผ้าออก

สร้างความตกตะลึงแก่กงฉินหยิน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset