ราชาเหนือราชัน – ตอนที่92 :ความไร้ยางอายอันคงกระพัน

มีคนไร้ยางอายมากมายบนโลกใบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่กงฉินหยินได้พบกับผู้ไร้ยางอายเฉกเช่นเซี่ยงเส้าหยุน เขาพุ่งเข้าใส่นางราวกับจะเข้ามาโจมตี แต่กลับเริ่มเปลื้องผ้าตอนกลางวันเช่นนี้

การกระทำซึ่งราวกับดูถูกผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลาย ราวกับจะทิ้งสถานะผู้ฝึกยุทธ์ของตนไป เขาเป็นผู้ท้าทายห้องขีดจำกัดได้หลายห้องในคราเดียวจริงหรือ? เจ้าคนไร้ยางอายเช่นนี้เนี่ยนะ!

“เข้ามาสิ! จ้องมองร่างเปลือยเปล่าของข้าเสีย! หลังจากนั้น เราถือว่าหายกันแล้ว หยุดรบกวนข้าเสียที!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขณะเปลืองอาภรณ์ส่วนบน การแสดงออกซึ่งราวกับจะยอมแพ้ทุกสิ่ง

“จะ เจ้าคนไร้ยางอาย!” กงฉินหยินโกรธจนตัวสั่น นางไม่เหลือความกล้าจะจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มอีกต่อไป นี่เป็นพื้นที่ซึ่งคนพลุกพล่าน โดยมีทั้งผู้ดูแล และเหล่าศิษย์มากมายผ่านทางนี้เพื่อไปดำเนินกิจวัตรประจำวัน ไม่นานนัก สายตามากมายต่างจับจ้องทั้งสอง

“เกิดสิ่งใดที่นี่กัน? นั่นมิใช่ผู้ที่งดงามที่สุดของตำหนักยุทธ์ กงฉินหยินหรือ? แล้วเด็กหนุ่มที่เปลื้องท่อนบนนั่นคงมิใช่ผู้ที่ประกาศก้องว่าจะเป็นราชา เซี่ยงเส้าหยุนหรอกนะ?”

“ใช่ นั่นพวกเขานี่ กำลังทำสิ่งใดกัน? นี่พวกเขาจะทำสิ่งใดกันในตอนกลางวันเช่นนี้?”

“เฮ้อ อย่ากล่าวล่วงเกินเสีย กงฉินหยินเป็นเทพธิดาของข้า นางไม่มีวันทำสิ่งนั้นหรอก เจ้าราชาตัวน้อยนั่นเป็นคนหน้าด้านเพียงคนเดียวที่นี่”

“บ้าฉิบ นี่เขากำลังคุกคามเทพธิดาของเราหรือ? เข้าไปดูใกล้ ๆ กันเถอะ หากเขากล่าล่วงเกินเทพธิดาของเรา ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่!”

และด้วยเหตุนี้ ฝูงชนได้มารุมล้อมทั้งสอง เซี่ยงเส้าหยุนไม่สนใจ ด้วยสายตายังคงจับจ้องไปที่กงฉินหยิน เด็กหนุ่มกล่าว “อะไร? เจ้าไม่สบายใจหรือ? ก็ได้ ข้าจะถอดกางเกงด้วย”

“ไอ้คนบ้า! ข้าไม่มีวันอภัยให้เจ้า!” กงฉินหยินหน้าแดง

นางยกดาบขึ้น และพุ่งเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน

“ข้าถอดละนะ!” เซี่ยงเส้าหยุนตะโกน ขณะเริ่มถอดกางเกงออก

สร้างความหวานผวาให้แก่กงฉินหยินนัก จนนางเกือบจะตกจากสัตว์ภาหนะ

“ไปจากที่นี่เถอะ!” กงฉินหยินกล่าวกับสิงโตหิมะ เมื่อได้ยินคำสั่ง สิงโตหิมะหยุด และจากไป

หลังจากนั้น เสียงของกงฉินหยินดังก้องจากที่ห่างไกล “เซี่ยงเส้าหยุน ข้าจะสังหารเจ้าให้จงได้!”

“เหอะ เหอะ เอาล่ะ เอาล่ะ เข้ามาสังหารข้าเลยหากเจ้าทำได้! ข้าจะรอดูเจ้าเปลือยแล้วกัน!” เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะ เขาไม่ได้ถอดกางเกงจริง เพียงแค่แสดงท่าทางเท่านั้น แต่น่าแปลก มันกลับทำให้นางหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้

“โอ๊ะ! หรือแท้จริงแล้ว การเปลื้องผ้าจะเป็นวิชาขั้นเทพ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบาด้วยความสุขี

ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นความไร้ยางอายอันคงกระพันไปเสียแล้ว

จากนั้นเด็กหนุ่มเพิ่งสังเกตว่ามีสายตาอันโกรธเกรี้ยวจับจ้องมาที่ตน

“โอ้ พวกเจ้า อย่ามาจ้องข้าเช่นนี้นะ ข้าเพียงซื่อตรง และไม่ได้สนใจเหล่าบุรุษหรอกนะ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว ขณะพาดเสื้อไว้บนบ่า

เมื่อฝูงชนได้ยินคำเหล่านั้น พวกเขาเริ่มโกรธเกรี้ยวมากขึ้น

“พวกเรา ลุย! เราจักต้องสอนบทเรียนให้เขาได้รู้ซึ้งที่ทำให้เทพธิดาของเราต้องอับอาย!” ชายคนหนึ่งคำรามออก ด้วยท้ายที่สุดก็ไม่อาจระงับความโกรธได้ การตะโกนยั่วยุให้ฝูงชน และพวกเขาได้พุ่งเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุน

“เฮ้ย เฮ้ย เดี๋ยวก่อน เราสามารถพูดคุยกันได้เสมอ คงเป็นเรื่องหยาบคายที่จะกลั่นแกล้งผู้อื่นด้วยจำนวน” เซี่ยงเส้าหยุนร้องเตือนก่อนจะหนีไป

ด้วยก้าวราชันเก้าปรโลก ความเร็วในการเคลื่อนที่นั้นว่องไวราวกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นท้าย ดังนั้น ฝูงชนจึงไม่อาจตามจับเด็กหนุ่มได้ทัน

“สตรีสามารถมีพลังอันน่าหวาดหวั่นได้ โดยเฉพาะสตรีผู้งดงาม เราไม่อาจยั่วยุได้เลย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวคำเบา ขณะตบหน้าอกด้วยความกลัว

ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงได้ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย และกล่าวถาม “คุณชาย ท่านกำลังมีปัญหาหรือ?”

เซี่ยงเส้าหยุนผายมือ และกล่าว “ข้าสบายดี ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ไปที่วังวรยุทธ์ และทำให้ตนเองได้รับบาดแผล ทั้งหมดนี่ แต่ก็ได้รับสิ่งตอบแทนอันคุ้มค่าแล้ว”

“นี่ท่านไปยังวังวรยุทธ์รึ?” ผู้อาวุโสเจิ้นเผิงร้องออกด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวอีกครั้ง “การประลองประจำเมืองจะเริ่มในไม่ช้าแล้ว ท่านเป็นถึงวีรบุรุษผู้มากพรสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านเจ้าตำหนักจะเปิดวังวรยุทธ์เพื่อท่าน ดูเหมือนท่านจะได้รับประโยชน์มากมายจากการเดินทางนี้นะ คุณชาย

“เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดน่ากล่าวถึง ข้าจะขออยู่อย่างสงบ จงไปหาสถานที่ซึ่งมีอัสนีรวมตัวกัน ข้ามีบางสิ่งที่ต้องการ” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องฝึกยุทธ์ส่วนตัว

คราวนี้ เขาวางแผนที่จะรวบรวมผลประโยชน์ใหม่จากวังวรยุทธ์ และเพื่อทำความเข้าใจกับแก่นแท้ของมรดกแห่งเจตจำนง ลมกระชากแรงทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น และช่วยเสริมสร้างความชำนาญให้แก่วิชาก้าวราชันเก้าปรโลกได้มากถึงสามในสิบ

ด้วยก้าวราชันเก้าปรโลกเป็นวิชาเคลื่อนไหวชั้นยอด และเขาเข้าใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังห่างไกลนัก แม้แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงแก่นของวิชาได้เลย สายลมเป็นตัวแทนของความเร็ว และวิชาการเคลื่อนไหวจะต้องจดจ่อกับความเร็ว ดังนั้น การผสมผสายของทั้งสอง จึงสามารถทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นได้

เซี่ยงเส้าหยุนเริ่มตั้งสมาธิต่อสายลม สัมผัสถึงความไร้รูปร่าง ความรวดเร็ว และการทำลายล้างของสายลม เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจสายลมมากขึ้นอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้

หลังจากนั้น เขาลุกขึ้น และเริ่มเดินไปรอบห้องด้วยท่าทางก้าวเท้าที่ดูลึกลับ ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ไปเรื่อย ๆ ความเร็วเริ่มเพิ่มขึ้น จนในที่สุดได้มีภาพมากมายที่สามารถมองเห็นได้ในห้อง

หลังจากผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง เขาได้หยุดลง รอยยิ้มจางเผยขึ้นบนใบหน้า ขณะที่เขาพึมพำ “ไม่เลว ตราบใดที่เราสามารถจับภาพของมรดกแห่งเจตจำนงได้ เราจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายในได้ ในตอนนี้ เราสามารถปลดปล่อยพลังได้ถึงสามในสิบแล้ว หลังจากบรรลุระดับแปรสภาพในภายภาคหน้าแล้ว ด้วยพลังแห่งดวงดาวที่แข็งตัว เราจะสามารถปลดปล่อยได้ถึงเจ็ดในสิบ และหลังจากบรรลุระดับราชา ข้าจะสามารถเข้าใจในพลังแห่งลมได้มากขึ้นไปอีก”

เซี่ยงเส้าหยุนได้เริ่มทำสมาธิเพื่อจดจ่อกับมรดกแห่งเจตจำนงอื่น คนที่มีความดื้อรั้นหาที่เปรียบมิได้ มันจะต้องเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งที่ได้บรรลุระดับราชาด้วยพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์เพียงเล็กน้อย

ในจิตใจของเซี่ยงเส้าหยุน ฉากของฝึกยุทธ์ระดับราชาได้เริ่มฉายอีกครั้ง เป็นการต่อสู้ที่แม้จะมีความพ่ายแพ้ เด็กหนุ่มมองดูภาพเหล่านั้น ด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักกว่าผู้อื่น

ตามที่ได้กล่าวไป ไม่มีผู้ใดบรรลุระดับราชาได้ด้วยความบังเอิญ

ตราบใดที่เราเต็มใจจะทำสิ่งใด ทุกสิ่งด็เป็นไปได้ เซี่ยงส้าหยุนเข้าใจได้ทันทีว่าตนเองยังฝึกฝนไม่หนักพอ หากฝึกฝนให้หนักกว่านี้ อาจจะไปได้สูงกว่านี้มาก

ด้วยคิดเช่นนี้ เขาสาบานจะฝึกฝนให้หนักขึ้นนับจากนี้ ในที่สุด เด็กหนุ่มได้หยิบกระบี่ออกจากทะเลจักรวาลดวงดาว และเริ่มศึกษากระบี่ด้วยความพิถีพิถันก่อนที่จะเห็นคำที่สลัก “กระบี่ราชันผ่าเมฆา”

“ช่างเป็นกระบี่ราชันผ่าเมฆาที่ยอดเยี่ยม! หรือนี่จะเป็นอาวุธของผู้ฝึกยุทธ์ช่วงท้ายของระดับราชา? ไม่สิ ไม่น่าเป็นไปได้” เซี่ยงเส้าหยุนลูบพื้นผิวขรุขระบนกระบี่ขณะกล่าวคำเบากับตนเอง

แม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะเสียหายอย่างหนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ากระบี่เล่มนี้จะต้องจำเป็นในการต่อสู้กับโลกในภายภาคหน้า เมื่อหยดเลือดลงบนกระบี่ มันได้เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset