“อาจารย์ท่านจะนุ่มนวลสักหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าเป็นสตรีบอบบางเพียงนี้”
“เหลวไหล”
เขาดุนางเสียงเย็น
เป่ยฟางหรงเดิมทีหน้าด้านหน้าทนอยู่แล้ว เขาจะบ่นจะด่านางย่อมไม่ใส่ใจยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอของให้เขาดูแลอย่างหน้าไม่อาย
“อาจารย์ท้องของข้าร้องแล้ว ท่านจะให้ผู้ใดยกอาหารมาให้ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าต้องพิษยังไม่สบายจึงตื่นขึ้นมาไม่ทันมื้ออาหารเย็น”
“ฝีมืออ่อนหัดยังมาเรียกร้องสิ่งใดอีก ข้าบอกเจ้าให้ระวังหากไม่ผลีผลามเข้าไปจะโดนพิษหรือ? เจ้ามีสมองหมูหรืออย่างไรจึงไม่จดจำในสิ่งที่ข้าสอน”
“ผู้ใดจะรู้ว่ามันยังไม่ตายล่ะ ข้าซัดยันต์ใส่มันจนแน่นิ่งไปแล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้ข้าหิวจริง ๆ นะเจ้าคะ”
“หิวก็ไปโรงครัว”
เขาไม่ใส่ใจนางขยับกายลุกขึ้นช้า ๆ นั่งขัดสมาธิรวบรวมพลังแล้วนั่งสมาธิเข้าญาณ หลายปีที่มีนางเคียงข้างเขาจึงชาชินที่มีนางมาล้อมหน้าล้อมหลังจนปล่อยวางได้เหมือนนางเป็นเพียงสิ่งไร้ตัวตนสิ่งหนึ่งไปแล้ว
แน่นอนว่าเพราะอยู่กันมาเนิ่นนานเพียงนี้ เป่ยฟางหรงจึงรู้วิธีตอแยอาจารย์ของตนผู้นี้เป็นอย่างดี
นางค่อย ๆ ไต่มือขึ้นไปบนร่างของเขา คล้องมือเข้าที่ลำคอแนบแก้มเข้ากับแก้มของเขาแล้วทำเสียงงึมงำแนบชิด ร่างทั้งร่างของนางแทบจะกลืนหายเข้าไปในร่างของเขา นางขยับปากไปใกล้ใบหูเป่าลมร้อนแล้วเริ่มส่งเสียงออกมา
“อาจารย์ข้าหิว ข้าหิว หากท่านไม่ให้คนเปิดโรงครัวผู้ใดจะกล้า ข้าหิว ข้าหิว ข้าหิว”
เพราะกฎเกณฑ์ที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัด หากเลยเวลาอาหารแล้วไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องอด นอกจากจะมีคำสั่งเฉพาะของอาจารย์พ่อครัวจึงจะเปิดโรงครัวเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งคำสั่งนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม
เสียงของนางไม่ดังมาก คล้ายเสียงยุ่งหึ่ง ๆ บินอยู่ข้างใบหู ช่างน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง ถึงความอดทนของหลี่จิ้งจะมีมากแต่เขากลับแพ้เสียงนี้ของนางทุกที ทนฟังอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งก้านธูปหลี่จิ้งก็ลืมตาขึ้น