หนึ่งปีต่อมาที่กองถ่ายมดราชินีสาม สุดท้ายโม่ถิงได้ลงเอยกับบทบาทเพื่อนผู้ซื่อบื้อ อย่างไรก็ตามบทที่โง่เง่านี้ไม่ได้แสดงได้ง่ายนัก
ส่วนบทเพื่อนที่เฉลียวฉลาดไม่ได้ตกเป็นของเป่ยเฉินตงเพราะเขากำลังจะได้เป็นพ่อคนเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นบทนี้จึงตกเป็นของนักแสดงที่จู้ซิงมีเดียเฟ้นหามาแทน เขาเป็นนักแสดงที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก หากแต่มีทักษะการแสดงที่น่าทึ่ง ชื่อว่าหลี่เซิ่งอี
ตอนนี้เด็กๆ โตขึ้นหนึ่งปีแล้ว ถังหนิงไปเยี่ยมที่กองถ่ายบ่อยครั้ง เธอรู้สึกว่าการได้เห็นโม่ถิงแสดงนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงแทบจะกลายเป็นผู้ช่วยของเขาขณะที่ตามเขาไปทั่วกองถ่ายและดูแลทุกอย่างตามที่เขาต้องการ
ว่ากันตามจริงรสนิยมของหลินเฉี่ยนดีขึ้นมาก นักแสดงที่เธอเลือกมาช่างน่าประทับใจในหลายๆ ด้าน
จึงน่าเสียดายมากที่เขาถูกอดีตต้นสังกัดเพิกเฉย
ยากที่จะเข้าใจว่าถึงแม้เขาจะมีฝีมือดีพร้อมด้วยรูปร่างหน้าตาเพียบพร้อม แต่นักแสดงกลับไม่ได้โด่งดังมากนัก เขาใช้เวลาวัยหนุ่มเป็นสิบๆ ในวงการบันเทิงมาจนถึงจุดที่ผมขาวเริ่มแซมออกมาให้เห็น
ตอนนี้ถังหนิงมองเขาเข้าฉากกับโม่ถิง เธอทั้งตื่นเต้นและขนลุก
ในขณะเดียวกันไป๋จวินเหยี่ยรับหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับดูแลการถ่ายทำของนักแสดงสมทบ
ผิดกับฉากที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงมากประสบการณ์อย่างโม่ถิง ฉากเหล่านี้ดูต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย
“คัต! อารมณ์ของเธอยังไม่ถึง เริ่มใหม่อีกครั้ง”
“ร้องออกมาให้เจ็บปวดกว่านี้!”
“ผ่อนคลายอีกหน่อย…แสดงออกมาเกินเหตุไปนิดแล้ว”
ระหว่างเวลาว่าง ถังหนิงมองไป๋จวินเหยี่ยกำกับและอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอคิดถูกกับชายผู้บ้าระห่ำคนนี้ หลังจากผันตัวมาจากวงการภาพยนตร์นอกกระแส ดูเหมือนเขาจะค้นพบเส้นทางที่เหมาะสมและกลับกลายมาหลงใหลในแวดวงไซไฟเช่นเดียวกัน
เขามักมีความคิดที่บ้าบิ่นอยู่เสมอ ฉากที่เขาถ่ายทำจึงมีพลังและหลากหลายมิติขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังออกจะหลุดโลกไปสักหน่อยอีกด้วย
เฉียวมั่นยืนอยู่ด้านหลังถังหนิงที่มองไป๋จวินเหยี่ยขณะที่เขากำกับภาพยนตร์เช่นกัน
“คุณคิดว่าไงล่ะ” ถังหนิงถาม
“มันมีมุมมองด้านศิลปะอย่างที่ฉันชอบเลยละค่ะ” เฉียวมั่นตอบ
“พอมีไป๋จวินเหยี่ยมาเสริมมดราชินีสาม เลยดูเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบมากกว่าเดิมอีก” ถังหนิงยิ้มอย่างโล่งใจ
“ฉันได้ยินว่าพวกคุณไม่เคยฉลองงานครบรอบแต่งงานเลยนี่คะ” เฉียวมั่นพลันพูดเปลี่ยนเรื่อง
“คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงคะ”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด ประธานโม่คงกำลังเตรียมเซอร์ไพรส์ให้คุณอยู่” เฉียวมั่นบอกกับเธอขณะที่กอดอก “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันเก็บความลับไม่เก่งน่ะค่ะ”
ถังหนิงหัวเราะคิกคักพลางเลิกคิ้ว
สำหรับเธอทุกวันคือวันครบรอบ ไม่จำเป็นต้องเฉลิมฉลองใดๆ ทั้งนั้น หลังจากแต่งงานมาหลายปี ทั้งคู่แทบจะไม่ได้ห่างกัน นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว เธอต้องการเพียงใช้ชีวิตที่เหลือไปกับโม่ถิงเท่านั้น
ถึงกระนั้นถังหนิงก็ต้องยอมรับว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งที่เฉียวมั่นบอก
หากแต่โม่ถิงไม่บอกใบ้แต่อย่างใด
แม้ว่าอีกสองวันจะถึงวันครบรอบของพวกเขา เขาก็ยังคงถ่ายทำต่อไป ความจริงแล้วดูเหมือนเขาจะยุ่งกว่าแต่ก่อนจนไม่มีเวลาพูดกับภรรยาตัวเองเสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนเขาคงลืมวันครบรอบของพวกเขาไปจริงๆ แล้วเขาจะมีเวลาเตรียมงานเซอร์ไพรส์ได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนั้น ถังหนิงหัวเราะกับตัวเองขึ้นมา เธอเอาคำพูดของเฉียวมั่นมาคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้อย่างไร
คืนนั้นในขณะที่ถังหนิงหลับ เขาอุ้มเธอขึ้นเครื่องบินไปฝรั่งเศส
จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่บนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นคะ เราจะไปไหนกัน”
โม่ถิงกอดเธอก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณเป็นภรรยาผมมาตั้งหลายปี แต่คุณไม่เคยมีวันหยุดเป็นกิจจะลักษณะเลยนี่ครับ”
“แต่ว่าคุณจะพาตัวฉันมาทั้งแบบนี้ไม่ได้นะคะ” ถังหนิงเอ่ยอย่างจนปัญญาขณะมองชุดนอนของตัวเอง
“ผมเตรียมชุดใหม่มาให้คุณแล้ว คุณเปลี่ยนตอนเครื่องลงแล้วก็ได้ครับ”
“นี่คือเซอร์ไพรส์ของคุณเหรอคะ”
“หือ”
เมื่อเห็นว่าโม่ถิงงุนงงกับสิ่งที่เธอบอก ถังหนิงส่ายหน้าก่อนตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันจะไปเปลี่ยนชุดนะคะ”
“เอาสิครับ”
โม่ถิงไม่ได้ออกปากพูดอะไรและไม่ได้บอกเธอว่าพวกเขากำลังไปไหนหลังจากเครื่องลงจอด เธอได้แต่ตามเขาไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หลังจากลงเครื่องบินและก้าวขึ้นรถ เธอยังคงไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหนด้วยซ้ำ
ในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนเมื่อมาถึงและยืนหน้าตึกแห่งหนึ่ง มันเป็นที่ที่เธอเดินแบบครั้งแรก สถานที่ที่เธอเริ่มต้นหน้าที่การงานของตัวเอง
ตอนนั้นเธออายุเพียงยี่สิบต้นๆ
“ทำไมเราถึงมาที่นี่คะ”
“มาดูการแสดงครับ” โม่ถิงตอบก่อนจับมือเธอดึงเข้าไปในอาคาร “วันนี้ผมจองทั้งตึกไว้แล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไว้ให้คุณด้วย ผมอยากเห็นคุณเดินแบบอีกครั้งครับ”
“แต่ฉันลืมไปแล้วว่าต้องทำยังไงนะคะ”
“มันเป็นสัญชาตญาณ คุณลืมมันไม่ได้หรอกครับ” โม่ถิงเอ่ยพลางมองหน้าเธอ จากนั้นจึงพาเธอไปด้านหลังเวทีและส่งตัวเธอให้นักออกแบบเสื้อผ้าที่กำลังรออยู่
“คุณนายโม่ ฉันรอคุณมานานแล้วค่ะ”
ถังหนิงไม่รู้ว่าโม่ถิงวางแผนอะไรไว้ แต่เธอปล่อยให้นักออกแบบเสื้อผ้าวัดตัวเธอไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง
หลังจากนั้นนักออกแบบหายไปด้านหลังเวที คาดว่าคงกำลังแก้เสื้อผ้าที่เจ้าตัวเตรียมไว้ ไม่กี่นาทีต่อมาอีกฝ่ายก็กลับมาพร้อมกับราวเสื้อผ้า ทันทีที่ถังหนิงเห็นมันเธอก็ถึงกับอึ้ง
มันไม่ใช่เพียงเสื้อผ้าธรรมดา แต่เป็นชุดที่เธอเคยใส่เมื่อก่อน
ชุดกระโปรงสีเงินทรงหางปลาที่กำลังส่องประกายระยิบระยับชวนให้นึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสุดยอดนางแบบ
“ลองสวมสิคะ” นักออกแบบบอก “ฉันมั่นใจว่าแม้จะผ่านมานานหลายปี ชุดพวกนี้ก็ยังดูสวยบนตัวคุณค่ะ!
“คุณจะเชื่อไหมคะถ้าฉันจะบอกว่ามันเป็นชุดเดียวกับชุดที่คุณเคยใส่”
ถังหนิงตกตะลึงไปกับสิ่งนี้
“ประธานโม่ตามหาพวกมันนานมากเลยนะคะ!”
มันผ่านมาเป็นกว่าสิบปีแล้ว ถังหนิงจำว่าผ่านมากี่ปีไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าอยู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปในวัยสาวและกำลังมองไปที่ผุ้หญิงที่เธอเคยเป็น
“พร้อมหรือยังคะ ถึงเวลาขึ้นเวทีแล้วค่ะ”
รังสีความเป็นสุดยอดนางแบบเปล่งประกายจากตัวเธออีกครั้งเมื่อเธอสวมชุดกระโปรง เธอทำได้เพียงพยักหน้าอย่างที่เธอทำในครั้งแรก ยามที่เธอต้องพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนด้านล่างเวทีด้วยการเดินแบบของเธอ หากแต่ครั้งนี้ต่างออกไป ทั้งห้องโถงมีผู้ชมเพียงคนเดียวคือโม่ถิง
โม่ถิงมองเธออยู่ห่างๆ และคิดว่าเธอเป็นเด็กสาวจากดีตซึ่งก้าวขึ้นมาบนเวทีด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม…
ในขณะที่เพลงเริ่มเล่น ถังหนิงเดินมาตามเวทีอย่างมั่นใจและเมื่อมาถึงสุดเวที เธอค้างท่าโพสต์ไว้อย่างที่เคยทำ
หลังเสร็จสิ้น โม่ถิงเดินขึ้นมาบนเวทีก่อนโอบรั้งเธอไว้ในอ้อมแขนแน่นอย่างไม่เหลือช่องว่างระหว่างกาย
“ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้ล่ะคะ”
“ผมอยากเห็นคุณก่อนที่คุณจะเจอผมไงครับ!” โม่ถิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ผมอยากเห็นว่าคุณสวยแค่ไหนตอนครั้งแรกที่คุณก้าวอยู่บนเวทีเดินแบบระดับนานาชาติ…”
“มันไม่มีอะไรสักหน่อยค่ะ ฉันได้ค้นพบตัวเองเอาตอนหลังได้เจอคุณนะคะ!” ถังหนิงกดจูบลงบนอวัยวะเดียวกันของเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะดื่มด่ำไปกับจุมพิตลึกซึ้งอยู่บนเวที “ฉันเคยฝันถึงการคู่ควรกับคุณ ฉันเลยพยายามอย่างหนักและทำงานเต็มที่เพื่อไปถึงเป้าหมาย แม้ฉันจะถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าฉันคู่ควรหรือยัง”
หลังจากได้ยินดังนั้น โม่ถิงเอ่ยย้ำกับเธอด้วยคำตอบหนักแน่น “คุณคู่ควรอยู่แล้วครับ คุณคือราชินีของผม!”