พิธีเสร็จสิ้นไปอย่างเป็นทางการ แต่อย่างที่โม่จื่อเฉินว่าไว้ หลังจากห้าปีผ่านไป หากเชียนหลานต้องการกลับเข้าไปอยู่ในใจของเขาให้ได้ มันดูจะเป็นความท้าทายไม่น้อย
โม่จื่อเฉินไม่อาจบอกได้ว่าเขาหมดสิ้นความรู้สึกกับเชียนหลานแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกของเขานั้นยังสับสนอยู่มาก
บางครั้งเมื่อเขานึกถึงอดีต เขาก็จะรู้สึกแย่อยู่ในใจ
หลังจากพิธีจบลง โม่จื่อเฉินกับเชียนหลานก็กลับมาที่ห้องพักของพวกเขา แต่เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าประตูห้องตัวเองก็เป็นอีกครั้งที่ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ
“ผมเข้าห้องก่อนนะครับ ผมยังมีสอนพรุ่งนี้”
เชียนหลานพยักหน้า “ฉันต้องกลับไปรายงานตัวที่กองทัพพรุ่งนี้ค่ะ”
ทั้งคู่หมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการแล้ว หากแต่ระยะห่างระหว่างพวกเขายิ่งมากขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ครั้งนี้โม่จื่อเฉินไม่อยากเป็นคนเริ่มความสัมพันธ์ก่อน หลังจากกลับเข้ามาในห้องเขาจึงไปเตรียมสอนอย่างที่เคย ทว่าหลังจากที่อาบน้ำเสร็จและเตรียมเข้านอน อยู่ๆ เสียงออดประตูก็ดังขึ้น
เขาเดินไปทางประตูในชุดนอนและพบว่าเชียนหลานยืนอยู่หน้าประตูพร้อมสัมภาระในมือ
“ฉันมาคิดดูแล้ว ในเมื่อเราหมั้นกันแล้ว…ฉันย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
เขามองเชียนหลานและการที่เธอเป็นฝ่ายรุกอย่างที่เคยทำ ก่อนรู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างอธิบายไม่ถูก หากแต่เขาก็ยังเปิดประตูให้เธอเข้ามา
“ห้องนอนแขกยังว่างอยู่ คุณทำตัวตามสบายเลยครับ อย่ารบกวนผมตอนกลางคืนแล้วกัน ฝันดีครับ” พูดจบเขาก็ไม่หันมามองเธออีก และเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่
เชียนหลานไม่ได้เซ้าซี้ เธอกลับวางสัมภาระตัวเองลงและเดินสำรวจไปทั่วเพื่อทำความคุ้นเคยกับห้อง
โม่จื่อเฉินอยู่คนเดียวมานานหลายปี แต่เขามักจะเก็บกวาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ มีที่สำหรับทุกอย่างและทุกอย่างก็อยู่ในที่ของมัน เป็นสัญญาณของอาการโอซีดีอย่างเห็นได้ชัด
เชียนหลานเก็บข้าวของตัวเองในห้องนอนแขก แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันยากที่โม่จื่อเฉินจะคุ้นเคยที่เธอย้ายเข้ามากะทันหันอย่างนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไล่เธอออกไป
แต่สำหรับเชียนหลาน นอกจากทำเรื่องหน้าไม่อายขนาดนี้ เธอก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
เช้าวันต่อมาเชียนหลานกลับไปที่กองทัพอย่างที่เธอบอกไว้ ตอนที่โม่จื่อเฉินตื่นขึ้นมาเธอจึงออกไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ในห้องมีรองเท้าใส่ในบ้านและของใช้ในห้องน้ำของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นห้องนอนแขกที่เคยเงียบเหงาและว่างเปล่าได้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์การทำงานของเธอ
มันจำเป็นด้วยหรือ โม่จื่อเฉินนึกสงสัย จากนั้นถึงได้เขาปิดประตูห้องนอนแขกก่อนคว้าเอกสารประกอบการสอนและมุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัย
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปโดยไร้วี่แววของเชียนหลาน มันแทบจะเหมือนว่างานที่เกิดขึ้นที่โบสถ์เป็นเพียงความฝัน
โม่จื่อเฉินกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอย่างไม่ได้มีผลกระทบอะไรเพราะเชียนหลาน เขาทำตามใจอยากต่อไป และบางครั้งเขาก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องสมุดเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามหลังจากคาบสุดท้ายในวันศุกร์ โม่จื่อเฉินก้าวออกมาจากห้องบรรยายพร้อมกับหนังสือในมือ และเห็นว่ามีนักศึกษายืนอยู่ด้านนอกตึกคณิตศาสตร์ กำลังชี้ไปยังหญิงสาวในชุดเครื่องแบบทหารซึ่งยืนอยู่ข้างรถทหารคันหนึ่ง
เมื่อโม่จื่อเฉินเห็นว่าเป็นเชียนหลาน เขาเดินมาหาเธอทันที “คุณมาที่นี่ทำไมล่ะครับ”
“ฉันอยากกลับบ้านแค่ไม่มีกุญแจน่ะค่ะ” เชียนหลานตอบ
“อาจารย์โม่ ใครเหรอคะ” หนึ่งในนักศึกษาของโม่จื่อเฉินถามพร้อมประกายความหวังในดวงตาของเธอ ดูเหมือนเธอกำลังหวังว่าจะไม่ได้ยินอะไรที่ชวนใจสลาย ทว่าโม่จื่อเฉินเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ในเมื่อเขาตกลงที่จะหมั้นหมายเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธ
“เธอเป็นคู่หมั้นของผมเองครับ!”
“คู่หมั้นของอาจารย์เป็นทหารเหรอคะ”
“เท่จังเลย!” นักศึกษารอบข้างต่างชื่นชม
โม่จื่อเฉินไม่ได้ตอบขณะที่ขึ้นรถไปกับเชียนหลาน
“ต่อไปนี้อย่าโผล่มาที่มหาวิทยาลัยโดยไม่มีเหตุผลอีกนะครับ ผมจะให้กุญแจสำรองคุณไว้”
“ฉันทำให้คุณอายงั้นเหรอคะ” เชียนหลานถามขณะขับรถ
“ผมชอบอยู่เงียบๆ ครับ” เขาตอบกลับอย่างเย็นชา
“จื่อเฉิน…”
“กลับบ้านกันเถอะครับ ผมเหนื่อย” โม่จื่อเฉินตัดบทก่อนกลับไปจดจ่อกับเอกสารในมือ
เชียนหลานไม่อาจทำอะไรได้ เธอสูดหายใจลึกและขับรถพาเขากลับไปห้องพัก ก่อนจะเข้าห้องตามๆ กันไป
“ผมจะทำโจ๊กกินคืนนี้ ถ้าคุณอยากทานด้วยก็บอกนะครับ ผมจะได้เตรียมไว้ให้คุณด้วย แต่ถ้าคุณไม่ชอบงั้นก็มาทำเองหรือสั่งมาก็ได้ครับ” ทันทีที่โม่จื่อเฉินมาถึงห้อง เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่และเดินเข้าไปในครัว เมื่อเขาทำอาหารเสร็จก็กลับเข้าไปในห้องทำงาน
เชียนหลานรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกเพราะเขาแทบจะทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเคาะประตูห้องทำงานและพิงตัวหน้าประตู “คุณอยู่อย่างนี้มาตลอดห้าปีเหรอคะ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะเก็บใจไว้เพื่อคุณหรอก แต่ผมก็ไม่เคยเจอใครที่เหมาะสมเหมือนกัน” โม่จื่อเฉินตอบเสียงเรียบ
“ถ้าอย่างนั้นที่คุณพูดที่โบสถ์ก็โกหกเหรอคะ”
“วันนั้นคุณขอให้ผมช่วยไม่ใช่เหรอ อีกอย่างคุณก็ยังติดค้างคำขอโทษผมอยู่นะครับ”
“เมื่อก่อนคุณไม่เคยปิดกั้นตัวเองอย่างนี้เลยนะคะ”
“ผ่านมาห้าปีแล้ว ทุกอย่างที่ควรจะเปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไปครับ รวมถึงตัวผมด้วย” โม่จื่อเฉินเอ่ยพลางเงยหน้ามองเชียนหลาน “คุณควรนอนแต่หัวค่ำนะครับ”
“เราจะอยู่กันแบบคลุมเครืออย่างนี้ต่อไปเหรอคะ”
“อย่างน้อยผมก็ยังไม่ได้หมดความอดทนกับคุณนะครับ” โม่จื่อเฉินบอกก่อนก้มหน้าอีกครั้ง
เชียนหลานเจ็บปวดอยู่ในอกแต่เธอยอมรับสถานการณ์นี้
อย่างไรเสียเธอก็ไม่รู้ว่าโม่จื่อเฉินต้องเจ็บปวดแค่ไหนหลังจากเธอเลิกกับเขาเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นเธอคิดว่าการตัดขาดกันอย่างเด็ดขาดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
แต่หากเธออดทนอีกสักนิดจนกว่าตระกูลเชียนจะได้สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาผ่านพ้นมา ทั้งสองอาจไม่เสียเวลาไปตั้งห้าปี
ตอนนั้นโม่จื่อเฉินเข้าใจว่าเธอไม่มีทางเลือก หากแต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเสียแล้ว
ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้น เขาก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงยอมแพ้กับความรักอย่างง่ายดายนักได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตามดูเพียงผิวเผิน มันก็ยากที่จะบอกว่าโม่จื่อเฉินนึกโทษเธอมากเพียงไหน
ทว่าเชียนหลานเข้าใจว่าเธอไม่อาจหวังให้เขาให้อภัยเธอได้ทันที เพียงเพราะคำขอโทษและอธิบายว่าเธอยอมแพ้กับความสัมพันธ์เพราะความกดดันจากครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่ได้คิดพยายามแม้แต่น้อย
เธอถึงต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้โม่จื่อเฉินกลับมารักเธอ
เชียนหลานเริ่มสังเกตชีวิตประจำวันของเขาและจดจำนิสัยทั้งหมดของเขา
คนที่มีอาการโอซีดีทนไม่ได้เมื่อมีคนอื่นมาให้ให้ชีวิตของพวกเขาเสียศูนย์ โม่จื่อเฉินจึงทำกิจวัตรประจำวันตามเดิม
ไม่นานเชียนหลานก็จับสังเกตนิสัยของเขาได้ และรู้ว่าเวลาไหนที่เธอควรทิ้งระยะห่าง และเวลาไหนที่มีโอกาสเข้าหา
เธอถึงกระทั่งเรียนรู้การทำอาหารจานโปรดของเขา
โม่จื่อเฉินไม่ได้เมินเฉยความพยายามของเธอ หากแต่เขายังไม่รู้ว่าจะเปิดใจให้เธอได้อย่างไร
เขายังมีแผลใจที่ยังต้องการเยียวยา ดังนั้นยิ่งเชียนหลานมุ่งมั่นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะถูกทอดทิ้งไปอีก
อย่างไรก็ตามเชียนหลานชักเอาใหญ่ตอนที่อยู่ในห้อง ความจริงแล้ว…
…เธอถึงกับเดินไปรอบห้องในเสื้อเชิ้ตเพียงตัวเดียวซึ่งเผยให้เห็นขาเรียวยาวของเธอ…