ศพ – ตอนที่ 281 ดอกไม้ป่ากําหนึ่ง

ตอนที่ 281 ดอกไม้ป่ากําหนึ่ง

 

เมื่อได้ยินปู่หูลิ่วพูดถึงขนาดนั้น ผมก็เหมือนได้กินยาเสริมความมั่นใจเข้าไปหนึ่งเม็ด

 

แต่พูดไปแล้วมันก็ใช่อย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ ผมเป็นชูหม่าของสํานักหู เป็นตัวแทนสํานักหูแห่งเขาฉินทั้งหมด

 

อาจารย์ของผมเป็นใครกันละ เย่เสียวซึนางพญาของเผ่าจิ้งจอก และเป็นเจ้าสํานึกคนปัจจุบันด้วย

 

ผมก็คือลูกศิษย์สายตรงของนางพญา เป็นตัวแทนสํานักในโลกมนุษย์ หรือก็คือเป็นหน้าเป็นตาของสํานักนั่นเอง

 

เป็นเหมือนที่ปู่หูลิ่วพูดเอาไว้ อย่าว่าแต่สาวกตัวน้อยๆขององค์กรตาผีอย่างเจ้าจางจึเทาเลย

 

ถ้าอยากจะแตะต้องผม แม้แต่บอสใหญ่องค์กรตาผีก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย

 

ด้วยเหตุนี้ แตะผมก็เหมือนแตะเผ่าจิ้งจอก แตะผมก็เหมี อนไม่ให้เกียรติเผ่าจิ้งจอก ไม่ให้เกียรตินางพญา

 

จิ้งจอกและหมาป่าเหมือนกัน มีบุญคุณก็จะต้องทดแทน มีหนี้แค้นต้องชําระ!

 

ที่จริงผมมีพลังที่แข็งแกร่งมากอยู่ในมือ ไม่ต้องกลัวเจ้า จางจึเทาจะมาล้างแค้นด้วยซ้ํา การที่ฝั่งเราไม่ไปหาเรื่องเขาก็บุญเท่าไหร่แล้ว

 

และถึงอีกฝ่ายจะบุกมาหาถึงที่ก็ตาม สถานที่แห่งนี้นอกจากอาจารย์และคนอื่นๆแล้ว ยังมีปู่หูลิ่ว

 

และมู่หลงเหยียนอีก แถมที่นี่ยังอยู่ห่างจากสุสานของโจวหยุนไม่มากนัก

 

ถ้าลงมือจริงๆ ยึดตามความสามารถกระจอกงอกง่อยนั่นของจางจึเทา สู้กันไม่กี่นาทีมันก็คงตายคาที่แล้ว

 

ถ้ามันกล้ามา ก็ถือว่ามาหาที่ตายเอง

 

แน่นอน ว่ายังไม่ได้พูดถึงนักพรตชั่วที่อาจร้ายกาจมากที่อีกฝ่ายหามากําจัดพวกเรา

 

ถ้าเผ่าจิ้งจอกและมู่หลงเหยียนยังปกป้องผมไม่ได้ งั้นพวกเราก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้วเท่านั้น

 

ผมคํามือคารวะพร้อมพูดกับปู่หูลิ่วว่า “ ขอบคุณปู่หูลิ่วมากที่ให้ที่พึ่งพิง ศิษย์รู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ !”

 

ปู่หูลิ่วกลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ” “ ชูหม่าทําแบบนี้ทําไม ท่านเป็นตัวแทนของสํานักหูของเรา ขอแค่ท่านเดินไปในทางที่ถูกต้อง เป็นคนดีมีคุณธรรม ก็เป็นการสร้างคุณความดีให้แก่พวกเราเหมือนกัน เผ่าจิ้งจอกของเราล้วนได้ประโยชน์ทั้งนั้น

 

“ ชูหม่า ท่านอยากทําอะไร ท่านก็ทําเลย! ไม่ต้องกังวล เรื่องนักพรตชั่วอะไรนั่นจะมาล้างแค้น

 

ถ้ามันมาคนนึงเหล่าหูก็จะฆ่าคนนึง ถ้ามาสองคนเหล่าหูจะฆ่าทั้งคู่เลย!”

 

ปู่หูลิ่วทําท่าทางอยู่เหนือ ราวกับไม่เห็นองค์กรตาผีชั่วอยู่ในสายตา

 

เมื่อปู่หูลิ่วพูดถึงขนาดนี้ ผมก็มั่นใจยิ่งกว่าเดิม

 

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ งั้นเรื่องที่พวกเรากังวลก็ลดลงไปเยอะมาก

 

ขอแค่ตัวเองมีความสามารถพอ ก็สามารถลงมือทําได้อย่างสบายใจ สู้ไม่ได้ก็ “ เรียกคนอื่นมาแทน”

 

ต่อจากนั้น ผมอยู่คุยกับปู่หูลิ่วที่ศาลเจ้าหลักเมืองอีกนิดหน่อย

 

นอกจากปู่หูลิ่วจะพูดให้กําลังใจผมและโชว์ “ กล้ามเนื้อ ” ของเผ่าจิ้งจอกให้ผมดูแล้ว เขายังบอกว่าจะนําเรื่องนี้ไปรายงานให้นางพญารู้ด้วย เพื่อจะได้ใช้กําลังของเผ่าจิ้งจอก ช่วยผมหาตัวเจ้าจางจึเทาก่อน

 

หลังจากนั้นจะได้จัดการเขา….

 

หลังจากขอบคุณแบบไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว ผมก็ตั้งของบูชา พอปู่หูลิ่วเห็นไก่ตัวใหญ่แล้ว ดวงตาสองข้างก็ตั้งตรงทันที

 

จากนั้นก็ไม่คํานึงถึงภาพลักษณ์ คว้าคอไก่เอามากัด เพื่อดึงขนออกทันที

 

แม้หูเหมยจะมองผมตาขวางตลอด แต่หลังกินไก่ที่ผมเอามาให้แล้ว เธอก็ดูสุภาพขึ้นไม่น้อย

 

เมื่อเห็นจิ้งจอกสองตัวกําลังเพลิดเพลินกับการกินไก่ ผมก็ไม่รบกวนพวกเขาอีก บอกลาพวกเขาทันที

 

พอออกมาจากศาลเจ้าหลักเมืองแล้ว ผมก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

มีอํานาจของเผ่าจิ้งจอกแล้ว ผมยังต้องกลัวอะไรอีกละ?

 

แน่นอน ต่อจากนั้นผมยังต้องไปที่ปากุ่ยหม่า

 

อย่างแรก คือไปเล่าเรื่องที่เจอกับองค์กรตาผี และเรื่องของจางจึเทา เนื่องจากองค์กรตาผีเป็นศัตรูกับมู่หลงเหยียน ให้เธอรู้เรื่องมากหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

 

อย่างที่สองคือ ประเด็นสําคัญเลยละ คือผมอยากเจอมู่หลงเหยียนสักหน่อยนะ

 

ตอนนั้นผมทําให้มู่หลงเหยียนอารมณ์เสีย เธอถึงกับโกรธผมตั้งระยะหนึ่ง

 

ตอนนี้เธอก็หายโกรธบ้างแล้ว ไปเยี่ยมมู่หลงเหยียนที่บ้านด้วยตัวเองก็คงไม่เลว

 

ดังนั้น หลังออกจากศาลเจ้าหลักเมืองแล้ว ผมก็ตรงไปที่ป่ากุ่ยหม่าทันที

 

เพราะค่อนข้างใจร้อน ดังนั้นความเร็วของผมจึงเร็วกว่าเมื่อก่อนพอสมควร บวกกับเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่ทางที่ผมเพิ่งเคยเดินครั้งแรก ผมค่อนข้างคุ้นเคยแล้ว เดิมที่ผมต้องใช้เวลาเดินประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ แต่ตอนนี้ผมกลับใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว

 

ปาปุยหม่ายังคงมีวิญญาณหนาแน่น พลังหยินแรงอย่างเคย

 

ยิ่งเดินเข้าไปในปา อุณหภูมิก็ยิ่งต่ําลงเรื่อยๆ

 

ตอนนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อีกเดี๋ยวก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ผมกลับรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที เหมือนโดนลมหนาวในฤดูหนาวเข้ายังไงอย่างงั้น

 

แต่ตอนที่ผมกําลังจะมาถึงจวนมู่หลง ผมก็นิ่งไปพักหนึ่ง หยุดอยู่กับที่

 

ผมมองมือของตัวเอง มันว่างเปล่ายิ่งกว่าอะไรดี

 

ไม่ว่าจะพูดยังไง วันนี้ก็ถือเป็นวันมาขอโทษต่อหน้า หรือผมจะเดินเข้าไปทั้งๆที่มือเปล่าแบบนี้เหรอ ?

 

ผมรู้สึกไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เมื่อคิดถึงตอนเข้ามา ผมเห็นมีพวกดอกไม้ป่าอยู่ข้างนอก แถมสีก็ยังสวยดีอีกด้วย

 

ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงชอบดอกไม้กันเหรอ? ดังนั้นผมเลยเดินกลับไปเก็บดอกเบญจมาศปากําหนึ่ง

 

ถือเป็นของขวัญ ไว้ให้มู่หลงเหยียน

 

หลังเก็บดอกไม้เสร็จแล้ว ผมก็เดินเร็วยิ่งกว่าเดิม

 

ผ่านไปไม่นาน ผมก็เห็นจวนมู่หลงแล้ว

 

จวนมู่หลงยังคงตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม ประตูใหญ่จวนกว้างเช่นเคย

 

สิงโตหินสองตัวหน้าประตู พร้อมสองฝั่งถนน ยังคงเต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วง แดง ขาว

 

ดูเหมือนที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลย ราวกับไม่ได้รับอิทธิผลจากฤดูกาลเลยสักนิด

 

แน่นอนว่าผมรู้ดี ของพวกนี้ล้วนเป็นแค่ภาพมายาเท่านั้น

 

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ที่นี่ก็จะรกร้างแบบเดิม เหลือเพียงต้นหญ้าและคนกระดาษกองหนึ่งเท่านั้น

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เคาะประตูสองสามครั้ง

 

“ ก๊อกก๊อกก๊อก ”

 

เสียงเพิ่งดัง ด้านในก็มีเสียงยายคนนึงตะโกนออกมาว่า “ นั่นใคร ! ”

 

“ ยายโม่ ผมเอง ติงฝาน! ”

 

“ ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็คุณผู้ชายนี่เอง! รีบเข้ามาเจ้าค่ะ…”

 

ขณะพูด ประตูใหญ่ก็เปิดออก

 

ร่างของยายแก่ ถือไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าผม

 

ผมทํามือคารวะยายโม่ เมื่อยายโม่เห็นผมถือดอกไม้ เธอก็หัวเราะ “ ฮ่าๆๆ ” สองสามครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ คุณผู้ชาย คุณหนูกําลังฝึกกระบี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ข้าจะพาท่านไปหาคุณหนูเจ้าค่ะ !”

 

สุดยอด ฝึกกระบี่ ผู้หญิงเขาไม่ได้หัดร่ายรํากันเหรอ? ยัยมู่หลงเหยียนนี่สมกับเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์จริงๆ

 

ถึงว่าทําไมถึงได้ดุร้ายขนาดนั้น

 

ผมอึ้งไปแป๊บหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ตอบรับ “ อมยิ้ม” จากนั้นก็เดินตามยายโม่ไปที่สวนหลังบ้านทันที

 

แต่ระหว่างทาง ผมก็พบว่าสาวใช้ของที่นี่มีเยอะกว่าเดิม

 

คนรับใช้พวกนี้หน้าขาวไร้ชีวิตชีวา ใช้ชุดสีสะดุดตา ต้องเป็นคนกระดาษแน่ๆ

 

แต่ว่าคนกระดาษเยอะขนาดนี้ มู่หลงเหยียนกับยายโม่ไปหามาจากใหนนะ

ถ้าพวกเขาต้องการของสิ่งนี้ ก็หาจากพวกเราได้นิ!

 

ภายใต้วัสดุที่ครบถ้วน ผมกับอาจารย์มีพลังเต็มเปี่ยม สามารถทําได้สามสิบสี่สิบตัวต่อวัน แถมยังไม่รู้สึกเมื่อยมือด้วยซ้ํา

 

แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้ถามออกไป เมื่อถือดอกเบญจมาศมาจนถึงสวนหลังบ้าน ผมก็ได้ยินเสียงกระบี่ดัง “ เกร๊งๆๆ”

 

หลังเดินผ่านภูเขาปลอมแล้ว ผมก็เห็นหญิงสาวในร่างเซียนกําลังรํากระบี่ยาวอยู่ เธอหุ่นดีไร้ที่ติ งดงามราวกับผู้หญิงล่มเมืองในตํานาน

 

ในสายตาผม ทุกท่วงท่าของเธอล้วนดูเหมือนไม่มีช่องว่างให้โจมตีได้ แถมยังงดงามไร้ที่ติ

 

นี่ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือเจ้าของจวนมู่หลง มู่หลงเหยียน เมียของผมนั่นเอง

 

นอกจากนิสัยที่ไม่น่าชื่นชมของเธอแล้ว หากพูดถึงเพลงกระบี่ของเธอ นั่นมันไม่เรียกว่าการฝึกกระบี่ แต่เป็นการกระบี่ต่างหาก เป็นการรํากระบี่ในการฉลองครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้

 

ผมตาโต รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง ผมมองจนลืมตัวเลยทีเดียว

 

ยายโม่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความเคารพ เธอพูดกับมู่หลงเหยียนที่กําลังฝึกกระบี่ว่า “ คุณหนู คุณผู้ชายมาหาเจ้าค่ะ !”

 

มู่หลงเหยียนไม่ได้หยุดฝึก เธอเค้นเสียงดัง ฮี “ ตูม” แล้วตัดหินก้อนใหญ่เป็นสองท่อน ทําให้ผมที่มองดูอยู่เส้นเลือดขด และใจสั่นทันที

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ หลังจากดาบนี้แล้ว มู่หลงเหยียนยังหยิบดาบขึ้นมาอีกเล่ม แล้วโยนมาทางผมทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดว่า “ รับไว้!”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ตอบสนองทันที เห็นดาบลอยเข้ามา ก็ไม่คิดอะไรมาก คว้าดาบไม้ทันที

 

แต่ยังไม่รอให้ผมได้ยืนดีๆ มู่หลงเหยียนก็เข้ามาโจมตีทันที “ ดูดาบ…………”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset