ศพ – ตอนที่ 282 ประลองดาบ

ตอนที่ 282 ประลองดาบ

 

มู่หลงเหยียนพุ่งเข้ามาพร้อมดาบ เธอไม่ให้โอกาสผมได้คิดสักนิด

 

แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ ผมเองก็ไม่ลังเล ใช้ดาบในมือโต้กลับเธอทันที

 

“ ปัง” ผมต้านการโจมตีของมู่หลงเหยียนเอาไว้

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดว่า “ ช้าเกินไป! ”

 

หลังจากพูดจบ เธอก็โจมตีผมซ้ํา แถมยังเร็วสุดๆด้วย

 

พลังที่ส่งออกมาก็ค่อนข้างเยอะ อย่ามองว่ามู่หลงเหยียนเป็นผู้หญิง ข้อมือของเธอแข็งแรงจนทําให้ง่ามมือผมชาเลยทีเดียว ดาบในมือก็แทบล่วงลงพื้น

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ผมก็ไม่กล้าอืดอาด รีบโยนดอกเบญจมาศที่อยู่ในมืออีกข้างให้ยายโม่ทันที “ ยายโม่ช่วยเก็บให้ผมแป็บนึง!”

 

ยายโม่คลี่ยิ้ม แล้วหัวเราะ “ ฮิฮิฮี ” แต่เธอก็รับดอกเบญจมาศปาเอาไว้ หลังจากนั้นก็ไปยืนจ้องพร้อมหัวเราะผมกับมู่หลงเหยียนอยู่ด้านข้าง

 

ในเวลานี้ผมจับดาบให้มั่น เริ่มรับมือการโจมตีของมู่หลงเหยียนอย่างต่อเนื่อง

 

แต่วิชาดาบของมู่หลงเหยียนร้ายกาจมาก ทุกครั้งที่เข้ามาจะมีลูกเล่นต่างๆตลอด ทําให้ป้องกันได้ยาก

 

แน่นอนว่าผมว่ารู้ดี มู่หลงเหยียนอ่อนให้ผมแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยพลังระดับเธอ ผมคงรับไม่ไหวตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

 

ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังยิ่งกว่าเดิม โดนผู้หญิงคนหนึ่งทุบตี ความรู้สึกแบบนั้นมันช่างแย่จริงๆ

 

แต่หลังจากผมรับมืออย่างรีบร้อนพักหนึ่ง จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดขึ้นว่า “ พร้อมแล้วใช่ไหม ฉันจะลงมือหนักกว่าเดิมแล้วนะ!”

 

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายจะลงมือหนักกว่าเดิม ผมก็กัดฟันอย่างแรง ในปากคํารามออกมาครั้งหนึ่ง

 

ไม่รอให้อีกฝ่ายลงมือ ผมก็กําดาบแน่น พุ่งเข้าไปโจมตีมู่หลงเหยียนก่อน

 

มู่หลงเหยียนเห็นผมกระโดดขึ้นกลางอากาศ จึงเผยหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาทันที

 

เธอยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง สบัดดาบในมือเบาๆ ให้ชี้มาทางดาบของผม ทําให้วิถีดาบของผมคลาดเคลื่อน

 

ผลลัพธ์การโจมตีครั้งนี้ ดาบตัดผ่านตัวเธอไปดื้อๆ

 

ยังไม่จบเท่านั้น หลังจากมู่หลงเหยียนเปลี่ยนวิถีดาบผม แล้วเธอก็ไม่เกรงใจกับผมเลยสักนิด ยกเท้าถีบผมทันที

 

การเคลื่อนไหวเร็วมาก ถึงผมจะอยากหลบ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทํา

 

ผมจึงได้แต่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา “ ปัง” ตัวผมกระเด็นออกไป แล้วสุดท้ายก็หล่นลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง

 

“ โอ๊ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว !” ผมกุมท้อง ค่อยๆลุกขึ้นยืน

 

มู่หลงเหยียนกลับกลอกตาใส่ผม “ ยังกล้าบ่นว่าเจ็บ เพลงดาบไม่ได้เรื่อง มีแต่ช่องโหว่! ”

 

หลังถูกมู่หลงเหยียนทําร้ายอย่างไร้เยื่อใย ถึงในใจจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด

 

เนื่องจากผมไม่เคยเรียนรู้วิธีใช้ดาบอย่างเป็นจริงเป็นจัง จึงไม่เข้าใจว่าอะไรคือเพลงดาบ

 

ตอนผมถือดาบไปสู้กับพวกผี ก็ใช้วิธีต่อสู้แบบข้างถนน เช่นจะฟันให้โดนอีกฝ่ายยังไง ผมก็ทําตามความคิดทั้งนั้น จะไปรู้จักเพลงดาบอะไรนั่นได้ยังไง

 

สําหรับผม ที่มู่หลงเหยียนมาประลองดาบกับผมครั้งนี้ จะต้องใช้โอกาสนี้มาทําร้ายผมอีกแน่ๆ

 

ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้จะถีบผมแรงขนาดนั้นได้ยังไง แถบถีบให้ผมเจ็บภายในด้วยซ้ํา

 

ในเวลาเดียวกัน ยายโม่ก็นําดอกเบญจมาศปาที่รับไปจากผมยื่นให้มู่หลงเหยียน “ คุณหนู คุณผู้ชายเอามาให้เจ้าค่ะ!

 

มู่หลงเหยียนอึ้งไปพักหนึ่ง มองดอกเบญจมาศแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับไว้

 

เธอเหลือบมองตัวเองครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับผมว่า “ ติงฝาน นายก็โรแมนติกกับเขาเป็นนี่นา !

 

ยังรู้จักเอาดอกไม้มาให้ผู้หญิง! แต่นายให้ดอกเบญจมาศหมายความว่ายังไง แล้วก็นะ คงไม่ได้เก็บดอกเบญจมาศพวกนี้มาจากหลุมศพข้างนอกหรอกนะ ”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้น ผมก็หัวเราะ “ ฮ่าๆ” “ อากาศไม่ได้หนาวแล้วเหรอ ! ดอกไม้อย่างอื่นไม่มีแล้ว ฉันเห็นดอกเบญจมาศนี้สวยดี ก็เลยเอามาให้เธอ แต่ถ้าเธอไม่ชอบเบญจมาศ งั้นเดี๋ยววันหลังฉันจะเอาอย่างอื่นมาให้เธอนะ”

 

พอมู่หลงเหยียนเห็นรอยยิ้มซื่อบื้อของผม “ ฮ่า ” เธอก็หัวเราะออกมา “ เอาเถอะ ! เห็นแก่ที่นายจริงใจขนาดนี้ ฉันจะรับเอาไว้ก็แล้วกัน! ”

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนยิ้ม และท่าทางอบอุ่น ใจผมก็เต้น “ตุบๆ” ความรู้สึกแบบนั้นมันแปลกและวิเศษมาก.

 

ผมสับสนเล็กน้อย ผ่านไปไม่นานสติผมก็กลับมา นึกถึงภารกิจของวันนี้ได้พอดี

ดังนั้น ผมจึงรีบพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ น้องศพ ที่ฉันมาวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกเธอ ! ”

 

“ อ๋อ ! พูดมาซิ! ” มู่หลงเหยียนเอาดอกเบญจมาศมาถือ ขณะลูบใบดอกเบญจมาศ เธอก็พูดขึ้นมา

 

ท่าทางเหมือนคนกําลังเหม่อลอย

 

ผมเองก็ไม่พูดจาไร้สาระ รีบเล่าเรื่องไปเจอจางจึเทาอีกครั้งให้เธอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ตอนมู่หลงเหยียนได้ยินว่าผมไปหาเรื่ององค์กรตาผีอีกครั้ง เธอก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

 

แต่หลังจากนั้นก็คลายออกทันที เธอเงยหน้ามาพูดกับผมด้วยน้ําเสียงสบายๆ “ ไม่เป็นไร มีเรื่องไปแล้วก็ช่างเถอะ มีฉันอยู่ไม่เป็นอะไรหรอก!”

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนพูดอย่างเยือกเย็นแบบนั้น มันก็ผิดจากที่ผมจินตนาการเอาไว้

 

เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อน มู่หลงเหยียนยังมาคุยกับผมด้วยตัวเอง บอกว่าเวลาเจอสาวกขององค์กรตาผี

 

ให้พยายามอยู่ในห่างเข้าไว้ อย่าหาเรื่องใส่ตัว

 

แต่ตอนนี้ มู่หลงเหยียนกลับพูดอย่างสบายๆ ทําให้ผมงงเลยทีเดียว

 

มู่หลงเหยียนเห็นผมทําหน้าสงสัย จึงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น หาเรื่องไปแล้วจะทําอะไรได้? แถมนายยังเป็นคนบอกเองว่าเจ้าจางจึเทานั่น เดิมทีก็เป็นแค่ลูกกระจ๊อก ฉันเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ในองค์กรตาผี เพื่อนร่วมชั้นของนายคนนั้นเป็นได้แค่ศิษย์เก่ารุ่นเท่านั้นแหละ พลังของศิษย์เก่ารุ่นน้อยมาก ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ”

 

“ แถมตอนนี้นายก็เป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอกแล้ว ยังมีปู่หูลิ่วคอยเฝ้าอยู่ที่ตําบลพวกนาย เจ้านักพรตชั่วที่นายพูดถึง ก็ไม่กล้าทําอะไรนายง่ายๆหรอก ”

 

มู่หลงเหยียนพูดอย่างมีเหตุมีผล ดูท่าไม่กังวลว่าเจ้าจางจึเทาจะมาล้างแค้นผมเลยสักนิด

 

แต่ ผมยังถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย “ น้องศพ ถ้าเจ้าจางจึเทาไปหาอาจารย์คนนั้นหรือนักพรตที่ร้ายกาจกว่านั้นมาละ จะทํายังไง ? แถมถ้าพวกเขามาแล้ว อาจเจอเบาะแสของเธอก็ได้นะ ”

 

หลังมู่หลงเหยียนฟังจบ ก็ยังคงแสดงท่าทางไม่ใส่ใจเหมือนเดิม “ วางใจได้ ที่ฉันเลือกปักหลักอยู่ที่นี่ก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ยังจําเรื่องที่นายเจอกองทัพผีข้ามแดนที่เคยเล่าให้ฉันฟังเมื่อครั้งก่อนได้ไหม?”

 

ผมอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าทันที

 

จริงๆตอนนั้นผมไปเอาผงขี้ธูปที่วัดเจ้าเฉิน ตอนขากลับระหว่างทางดันไปเจอกับกองทัพผีข้ามแดน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉ่วปรากฏตัวออกมาอย่างกระทันหัน ใช้ยันต์พิเศษของเธอช่วยพวกเราเอาไว้

 

ผมและเหล่าเฟิงคงถูกทหารผีลากวิญญาณไปแล้ว

 

แต่นี่มันเกี่ยวอะไรด้วย ? ผมจึงถามกลับทันที “ อ่อ ตอนนั้นได้เจอครั้งนึง แต่มันช่วยอะไรได้เหรอ ?”

 

มู่หลงเหยียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ ภายในรัศมี 25 กิโลเมตรนี้ มีถนนหยินอยู่เส้นหนึ่ง ถึงนักพรตชั่วนั่นจะทําตามอําเภอใจขนาดไหน พวกมันก็ไม่กล้ากระตุกหางเสือหรอก ถ้าพวกมันไม่กลัวตายจริงๆ ถึงตอนนั้นก็แค่ลงมือนิดหน่อย เราก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้ว เพราะเดี๋ยวก็จะมีคนมาจัดการพวกมันเอง……”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้น ผมก็พยักหน้าอย่างแรง

 

ดีจริงๆ ถึงว่าทําไมมู่หลงเหยียนถึงได้นิ่งได้ขนาดนี้ ที่แท้ก็เก็บไพ่เด็ดเอาไว้นี่เอง

 

แต่ผมก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง คิดว่ามันไม่ถูกนิ!

 

ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นทําไมมู่หลงเหยียนถึงอยู่ที่นี่มาได้นานขนาดนี้ละ ? แบบนี้มันก็ไม่เป็นอันตรายต่อเธอมากเหรอ

 

“ ถนนหยิน” คืออะไร? เป็นถนนจากโลกไปสู่นรกเหรอ? หรือเป็นเส้นทางเดียวที่ผีด้านล่างจะขึ้นมาจับวิญญาณด้านบนไปได้

 

ถ้าพูดอีกแบบคือ ภายในรัศมี 25 กิโลรอบๆตัวเรา มีถนนแบบนี้อยู่ด้วย แถมที่ตั้งก็อยู่ใกล้วัดเจ้าเฉิน

 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นพวกที่สร้างความก่อกรรมทําชั่ว นักพรตชั่วที่ทําร้ายผู้คน ก็ต้องมีความผิดติดตัวกันสุดๆ พวกเขาคงไม่กล้าเข้าใกล้ถนนหยินเส้นนั้นง่ายๆ

 

ถ้าโดนเจ้าหน้าที่พวกนั้นจับได้ จุดจบคงอนาถแน่ๆ

 

โดนดึงวิญญาณไปไม่ต้องพูดถึง พอลงไปแล้วคงต้องทุกข์ทรมานกับการตกนรก 18 ขุมแน่ๆ…

 

แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ก็คือตรงนี้

 

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นมู่หลงเหยียนไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลาเหรอ?

 

ระยะห่างระหว่างปาปุยหม่าแห่งนี้กับวัดเจ้าเฉินที่ผมไปเมื่อครั้งที่แล้ว ใกล้กว่าตัวตําบลชิงฉือของเราอีก

 

เหมือนยายโม่ที่อยู่ด้านข้างจะมองออกว่าผมกําลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” ขึ้นมาสั้นๆ

 

“ คุณผู้ชายสบายใจได้เจ้าค่ะ ถึงถนนหยินจะอยู่ใกล้ๆ แต่สุสานของคุณหนูและข้าก็อยู่ที่นี่ ตราบใดที่พวกเราไม่ปล่อยแรงอาฆาตออกมาแรงเกินไป ก็ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ……….”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset