ศพ – ตอนที่ 40 แย่งชิงอำนาจ

จู่ๆคุณหนูเหวินก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ตอนนั้นเธอดูเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวมาก

ไม่เพียงแค่นี้ หลังจากที่คุณหนูเหวินร้องออกมา เธอก็หันหลังและวิ่งหนีไปทันที เหมือนกับวินาทีที่เข้าสู่ความกลัวก่อนตายอย่างนั้น

เมื่อนักพรตตู๋เห็นภาพนี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จู่ๆก็ขยับแขน

ทันใดนั้น ยันต์สีเหลืองก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของเขา

เขาเคลื่อนตัวเร็วมาก แค่พริบตาเดียวยันต์แผ่นนั้นก็แปะลงที่กลางหลังของผีสาว

เมื่อกี้ผีสาวยังกรีดร้องด้วยความกลัวอยู่เลย แต่วินาทีที่ยันต์สัมผัสกาย

 

เธอก็หยุดวิ่งทันที ไม่เพียงเท่านั้นเสียงที่เคยกรีดร้องออกมาก็หยุดลงเช่นกัน

หลังจากที่นักพรตตู๋เห็นเธอสงบลง เขาก็พูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องนี้มันช่างวุ่นวายจริงๆ!”

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินขึ้นไปตามนักพรตตู๋

ผมและเฟิงเฉ่วหานเองก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงด้านหน้าของคุณหนูเหวิน ก็พบว่าร่างกายของคุณหนูเหวินกำลังสั่นไปหมด สีหน้าหวาดผวา เหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา

แต่ผีไม่มีน้ำตา ดังนั้นใบหน้าของคุณหนูเหวินจึงดูเศร้ามาก แต่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมาได้

นักพรตตู๋มองดูคุณหนูเหวินที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “คุณหนูเหวิน คุณสงบสติอารมณ์ก่อนนะ ลองคิดให้ดีๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนและหลังเกิดเรื่องมีอะไรเชื่อมโยงกัน หรือใครกันแน่ที่อยากทำร้ายคุณ”

 

“ไม่กี่วินาทีก่อนที่คุณจะขับรถชน คุณกำลังมองอะไรอยู่ แล้วทำไมกล้องในรถ ถึงปรากฎภาพที่คุณกรีดร้องออกมาอย่างกระทันหัน ถ้าคุณพูดความจริง พวกเราจะเป็นคนช่วยคุณอย่างสุดความสามารถเองนะ! และจะสามารถหาตัวคนที่ทำร้ายคุณออกมาได้ด้วย!”

นักพรตตู๋ค่อยๆพูดออกมา แม้ว่าตอนนี้คุณหนูเหวินจะไม่สามารถพูดได้ แต่เธอกลับตอบรับด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณแน่ใจนะว่าสงบสติอารมณ์ได้แล้ว”

คุณหนูเหวินยังคงพยักหน้า นักพรตตู๋ไม่ได้พูดอะไร หลังจากเสียง “อืม” ดังขึ้น เขาก็ทำมือและพูดว่า “คาย!”

หลังจากเสียงดังขึ้น ยันต์ที่แปะที่หลังของคุณหนูเหวิน ก็หลุดออกจากร่างของเธอทันที จากนั้นมันก็ร่วงหล่นลงพื้น

 

วินาทีที่ยันต์หลุดออก ดูเหมือนคุณหนูเหวินจะนิ่งไป ร่างกายอ่อนแรง จนทรุดตัวลงไปกับพื้น

จากนั้นปากของเธอ ก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้น “ฮือฮือฮือ……”

พวกเราไม่ได้รีบร้อน การยอมรับความตายไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะคนอย่างคุณหนูเหวิน เพราะเธอเคยโดนคนควบคุม จึงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตายแล้ว

หลังจากที่ได้ความทรงจำคืนมา เธอก็เริ่มรู้ตัวว่าตายแล้ว ดังนั้นการยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ในครั้งเดียว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

คุณหนูเหวินร้องไห้โฮมาประมาณสองสามนาที จากนั้นเธอก็เริ่มดีขึ้น

 

เธอหันมามองพวกเราด้วยท่าทางสะอึกสะอื้น จากนั้นพวกเราก็ได้ยินคุณหนูเหวินพูดว่า “พวกคุณ พวกคุณช่วยฉันได้ ช่วยฉันได้จริงๆเหรอ”

“ ใช่แล้ว! ปัญหาของคุณคืออะไร ใครเป็นคนทำร้ายคุณ! ทั้งหมดนั้นคุณสามารถบอกพวกเรามาได้เลย!”

เมื่อคุณหนูเหวินได้ยิน เธอก็ขมวดคิ้วลงมาติดกัน “อารอง อารองเป็นคนทำร้ายฉัน……”

“อารองของคุณงั้นเหรอ” ผมเผยสีหน้าสงสัยออกมา

ผมสงสัยอารองของเธอแค่นิดหน่อย เขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับพ่อของคุณหนูเหวิน

เพราะเขาหน้าตาค่อนข้างคล้ายกัน ดังนั้นในงานศพ ผมจึงมองเขาอยู่หลายครั้ง

 

เขาเองก็เป็นชายวัยกลางคนที่ดูเป็นคนประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่เป็นคนพูดน้อย สุภาพอ่อนโยน หลังจากจุดธูปในงานศพเสร็จ ก็เดินออกไปทันที

แต่ตอนนี้คุณหนูเหวินกลับบอกว่าฆาตกรที่แท้จริงคืออารอง เรื่องนี้จึงดูขัดกันอยู่บ้าง

อารองทำร้ายหลานสาว แล้วยังอยากฆ่าพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเอง เขาจะทำแบบนี้ไปทำไม

ความสงสัยกำลังเกิดขึ้นในใจของทุกคน แต่กลับไม่มีใครพูดออกมา ทุกคนยังรอฟังสิ่งที่คุณหนูเหวินจะพูดต่อไป

หลังจากพวกเราฟังจบ ถึงได้รู้ว่า

การตายของคุณหนหวิน เป็นการสู้แย่งชิงอำนาจกันของคนในตระกูล

 

และหัวใจหลักของการต่อสู้นี้ คืออำนาจในการบริหารบริษัท

แต่สิ่งที่เลวร้ายมากก็คือ เพื่อชัยชนะในการสู้ของตระกูลแล้ว อีกฝ่ายถึงกับใช้วิธีสกปรกลงมือได้อย่างโหดเหี้ยม ฆ่าคุณหนูเหวินได้อย่างเลือดเย็น……

คุณหนูเหวินบอกว่า หลายปีมานี้บริษัทของพวกเขาโชคดี เติบโตขึ้น จนติดอันดับต้นๆของบริษัทในเมือง

เนื่องจากพ่อของเธอถือหุ้นมากที่สุด ดังนั้นคำพูดของเขาจึงมีอำนาจที่สุดในบริษัท ในเวลาเดียวกันเขายังคิดจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับคุณหนูเหวิน

แต่อารองของเธอก็มีความคิดอื่นเช่นกัน เขาไม่อยากให้คุณหนูเหวินขึ้นครองตำแหน่ง และอยากให้ตัวเองเป็นประธานซะเอง

 

ในบริษัทเขาเองก็ต่อสู้กับคุณหนูเหวินทั้งทางตรงและทางอ้อม และยังเคยไปพบพ่อของคุณหนูเหวินเป็นการส่วนตัว บอกว่าคุณหนูเหวินยังเด็กเกินไป ให้พี่มอบตำแหน่งนี้ให้กับเขา แต่เขากลับถูกคุณเหวินปฏิเสธ

ในเวลาเดียวกัน คุณหนูเหวินเองก็เป็นคนมีความสามารถ มีประสบการณ์ในการทำงานกับบริษัท จนพูดได้ว่าเป็นที่ยอมรับของผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ

ถ้ามติจากการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งใหญ่ที่จะจัดขึ้นในครั้งหน้า ออกมาเป็นร้อยเปอร์เซ็น คุณหนูเหวินก็จะได้เป็นประธานคนใหม่ของบริษัททันที

เมื่ออารองเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปได้ยาก เขาจึงมีความคิดชั่วๆ

คืนก่อนที่คุณหนูเหวินจะเกิดอุบัติเหตุ เขาก็ดื่มเหล้านิดหน่อย และขู่คุณหนูเหวินในรถ

 

บอกว่าให้คุณหนูเหวินถอนตัวออกจากลงคะแนนครั้งนี้ซะ แล้วก็ไปแต่งงานเร็วๆ ส่วนตำแหน่งประธานก็มอบให้กับเขา

ไม่อย่างนั้น คุณหนูเหวินจะต้องชดใช้ เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดคำที่หยาบคายออกมา และคำพูดเหล่านี้ก็ยังเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย

ในสายตาของคนนอก นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างลุงกับหลานที่เลือดข้นกว่าน้ำ

แต่ตอนคุยกันส่วนตัว ทั้งสองคนกลับเหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีความรักของการเป็นญาติกันเลยสักนิด

เป็นธรรมดาที่คุณหนูเหวินจะไม่ให้เกียรติอา ตอนนั้นเธอเลยตบหน้าเขาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ขับรถออกไปทันที

 

แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น คืนต่อมา คุณหนูเหวินกลับรู้สึกผิดปกติ

ตอนที่เธอเข้ามาทำงาน กลับพบว่าที่โต๊ะทำงานของตัวเองมีหุ่นกระดาษสีเหลืองวางอยู่ และมันยังเขียนชื่อเธอเอาไว้ด้วย

คุณหนูเหวินจึงรู้สึกถึงลางร้าย ขณะที่เธอกำลังจะหยิบและโยนมันทิ้ง

แต่เมื่อเธอได้สัมผัสตัวหุ่น “พรึบ” ทันใดนั้นหุ่นกระดาษกลับไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า

แม้ว่าคุณหนูเหวินเองก็คิดว่ามันแปลก แต่งานกำลังยุ่งมาก แถมเธอยังเป็นพวกไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับอีกด้วย เนื่องจากได้รับการศึกษาในระดับสูง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจมันมากนัก

 

แต่ต่อมา ตอนที่เธอทำงานอยู่กลับรู้สึกไม่สบายใจสักที

เธอมักรู้สึกว่าในห้องทำงานของตัวเองมีลมเย็นพัดผ่านรอบตัว และยังรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องเธออยู่ หรือแม้แต่สัมผัสตัวเธอ

และยิ่งเมื่อถึงตอนเย็น ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

ดังนั้นคุณหนูเหวินจึงทำงานจนถึงตอนฟ้ามืด ก็ขับรถกลับบ้านทันที

แต่มาถึงครึ่งทางเท่านั้น ที่ข้างหูของเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชายดังขึ้น บางครั้งยังรู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนกำลังสัมผัสมือและเท้าของเธออยู่

แต่ในรถมีแค่เธอคนเดียว ดังนั้นมันจึงทำให้จิตใจของคุณหนูเหวินยิ่งตื่นกลัวเข้าไปใหญ่ ถึงจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนั้นเธอเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขนลุก ความเร็วของรถเองก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

 

ตอนที่มาถึงด้านหน้าทะเลสาบ ขณะที่ขับรถมาด้วยความเร็ว ทันใดนั้นกลางอากาศก็ปรากฎร่างของใครคนหนึ่ง

นี่ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนนี้ยังมีเลือดไหลนองไปทั่วร่าง ที่ใบหน้ายังมีหนอนเต็มไปหมด ร่างกายส่วนใหญ่เน่าเละ และยังหัวเราะใส่เธอด้วยเสียงแปลกๆ จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาจับที่แขนของเธอ

เดิมทีจิตใจของคุณหนูเหวินก็ตื่นกลัวอย่างสุดขีดอยู่แล้ว เมื่อเธอได้มาเห็นภาพนี้อย่างฉับพรัน

วินาทีนั้นคุณหนูเหวินกลัวจนกรีดร้องออกมา และยังหวาดผวาสุดๆ จึงทำให้คุณหนูเหวินสติแตก และสลบไปในทันที

รถเสียการควบคุม พุ่งเข้าชนรั้ว และจมลงไปในทะเลสาบ

นี่จึงนำไปสู่ความตายของคุณหนูเหวิน สำหรับเรื่องที่เกิดหลังจากคุณหนูเหวินตาย

 

เธอเองก็มีแค่ความทรงจำที่เลือนลางเท่านั้น เพราะพลังชั่วร้ายทำให้จิตใจยุ่งเหยิง ก็เหมือนกับซากศพที่เดินได้ ดังนั้นความทรงจำจึงเลือนลางและผิดเพี้ยน

แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมประทับใจก็คือ เธอเดินออกมาจากน้ำ จากนั้นก็ถูกผีชั่วตนนั้นพาไปบ้านอารองของเธอ จากนั้นก็เห็นอารองพูดคุยกับผีชั่วตนนั้นแป๊บนึง จากนั้นถึงได้ออกมา……

สำหรับเรื่องหลังจากนี้ เธอก็สูญเสียจิตวิญญาณ จนจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้

เพราะฉะนั้น คุณหนูเหวินจึงพูดอย่างมั่นใจ ว่าคนที่ทำร้ายเธอจะต้องเป็นอารองอย่างแน่นอน

เมื่อลองคิดดู เรื่องทั้งหมดต่างเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน

อารองของคุณหนูเหวินต้องการยึดอำนาจของบริษัท ถึงกับลงมือฆ่าหลานสาว เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง

 

แต่โชคดีที่ได้มาเจอกับพวกเรา ไม่อย่างนั้นคุณเหวินและภรรยาคงตายไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็ได้ยินอาจารย์ที่อยู่ข้างๆพูดว่า “คุณหนูเหวิน พวกเราเข้าใจ ที่มาที่ไปของเรื่องอย่างชัดเจนแล้ว”

“ผีชั่วที่ทำร้ายคุณ ผมจะคิดวิธีจัดการมันด้วยตัวเอง! ส่วนเรื่องสู้กับคน แย่งชิงอำนาจนั้น เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความสามารถของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา ดังนั้นสิ่งที่อารองทำ ผมจะให้คุณหนูเหวินเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset