“โมโหรึ! ” คนผู้นั้นยกมือขึ้นขวางมือของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาภายใต้หน้ากากเย็นชาของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าพลันหรี่ลง เขาเอียงตัวใช้ข้อศอกพิงร่างชายผู้นั้น และทิ้งน้ำหนักของตนทั้งหมดไว้บนร่างของเขา
“ข้าว่านะ เจ้าฉี! หากป้ายหยกสกุลจงชิ้นนั้นเป็นของแม่นางพิษน้อยผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นแม่นางพิษน้อยคงเป็นลูกนอกคอกที่บิดาของเจ้าไข่ไว้นอกบ้าน ใช่หรือไม่? ”
“ระวังปากของเจ้าด้วย! ” ดวงตาของชายผู้นั้นเผยความตกตะลึงในทันที
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าชำเลืองตามอง เขาไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ตกลงกันแล้ว หากแม่นางพิษน้อยผู้นั้นเป็นน้องสาวของเจ้าจริงๆ ข้าขอจองไว้ก่อน หุบเขาเทพโอสถของข้ายังขาดฮูหยินเจ้าของหุบเขาพอดี นางเป็นของข้า”
“นางแต่งงานแล้ว! ”
“เยี่ยมสิ! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าคัดค้าน “แต่งงานแล้วก็ดี ข้าชื่นชอบคนรู้งาน ใครใช้ให้ข้าชื่นชอบนางเล่า! ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางหันไปมองเส้นทางที่โยวอ๋องจากไป เขาพูดด้วยความมั่นใจว่า “อืม! ใช่ ชั่วชีวิตนี้ของข้าต้องเป็นนาง! ”
บุรุษสวมเสื้อแพรสีขาวนวลจันทร์ผู้ปิดบังใบหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า “ข้าเปิดห้องพักที่หอโคมเขียว [1] แคว้นจงหนิงไว้ห้องหนึ่ง ชื่อว่าหอซูนวี่ หญิงงามในหอแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่นมาก เช่นนั้น… คืนนี้เจ้าจะลองไปดูที่นั่นหรือไม่? ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าชำเลืองตามองอีกครั้ง เขายืนตัวตรง และหันหลังเตรียมจะเดินจากไป “ไม่ไปแล้ว ต่อไปจะไม่ไปแล้ว ข้าเลิกแล้ว”
“เลิกแล้วหรือ? ” บุรุษผู้นั้นแสดงใบหน้าประหลาดใจ ยังคิดว่าตนเองฟังผิด
คิดไม่ถึงว่าจอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะส่งเสียงที่แสดงถึงความมุ่งมั่น “ใช่ เลิกแล้ว แต่นี้ต่อไปข้าจะเลิกเสเพลแล้ว! ”
ร่างของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าหายไปภายใต้แสงจันทร์ บุรุษผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด
คงได้ยินไม่ผิด ใช่หรือไม่?
จอมวายร้ายแห่งหุบเขาเทพโอสถผู้มีนิสัยเจ้าชู้เสเพล จะไม่เข้าหอโคมเขียวแล้ว…
เขาเปลี่ยนไปแล้วหรือ?
หรือว่าพระจันทร์ในคืนนี้จะขึ้นทางทิศใต้?
หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขยับตัวเหินไปตามเส้นทางที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหายตัวไป
วิชาตัวเบาของบุรุษผู้นี้ แม้จะด้อยกว่าจิ่วหรงเล็กน้อย ทว่าไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยาเลย
เยี่ยโยวเหยาเพิ่งกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง ยังไม่ทันได้เข้าไปที่เรือนชิงโยว เขาก็พบกับจิ้นหนานเฟิง
“เรื่องที่ให้จัดการเป็นเช่นไร? ”
“นี่คือของที่สร้างขึ้นตามคำบอกของท่านอ๋องก่อนหน้านี้ ท่านอ๋อง ท่านลองดู เป็นเช่นไรขอรับ? ” จิ้นหนานเฟิงยื่นหีบแพรปักไหมทองที่ทำจากไม้หนานมู่ให้กับเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเปิดออกดู ด้านในมีหยกกิเลนชิ้นหนึ่ง รูปแบบเหมือนหยกกิเลนสองชิ้นนั้นของซูจิ่นซีไม่ผิดเพี้ยน
ทว่านี่ไม่ใช่ก้อนหยกหนึ่งในสองของซูจิ่นซี แต่เป็นก้อนหยกที่เยี่ยโยวเหยาสั่งให้จิ้นหนานเฟิงว่าจ้างช่างฝีมือดีให้ทำขึ้น เสียเวลาไปนานมาก กว่าจะทำขึ้นมาได้สำเร็จ
เยี่ยโยวเหยาหยิบก้อนหยกขึ้นมาวางบนมือและตรวจดูอย่างละเอียด หากไม่ใช่เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าก้อนหยกชิ้นนี้ทำเลียนแบบขึ้นมาอย่างประณีต คนอื่นไม่มีทางดูออกเลยว่ามันเป็นของปลอม
“เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายให้บุคคลที่สามล่วงรู้”
เยี่ยโยวเหยาเก็บก้อนหยกกลับเข้าไปในหีบ หลังจากกำชับจิ้นหนานเฟิงด้วยเสียงเย็นชา เขาก็นำหีบใบนั้นติดตัวไปที่เรือนชิงโยวด้วย
“ขอรับ ท่านอ๋อง! ”
ซูจิ่นซีกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่เรือนอวิ๋นไค แม่นมฮวากับลวี่หลียังไม่นอน พวกนางยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินบ่าวรับใช้ภายในเรือนส่งเสียงคำนับ ซูจิ่นซีก็รู้ว่าเยี่ยโยวเหยากลับมาแล้ว นางจึงรีบออกมาต้อนรับ
“บ่าวคำนับท่านอ๋อง! ”
“บ่าวคำนับท่านอ๋อง! ”
“พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด! ”
“เพคะ! ”
หลังจากที่แม่นมฮวากับลวี่หลีออกไป เยี่ยโยวเหยาก็ถือหีบแพรเข้ามาในเรือนอวิ๋นไค
ซูจิ่นซีลุกขึ้น “เยี่ยโยวเหยา ท่านกลับมาแล้วหรือ? ”
“อืม! ”
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามา สายตาฉับไวของซูจิ่นซีพลันเหลือบไปเห็นหีบใบหนึ่งในมือของเยี่ยโยวเหยา “นี่คือสิ่งใดหรือเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาเปิดหีบ พลางยื่นให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมองดูสิ่งของในหีบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “หยกกิเลนหรือเพคะ? ”
ซูจิ่นซีหยิบก้อนหยกขึ้นมาวางบนมือ นางมองดูอย่างละเอียด หลังจากยืนยันชัดเจนว่าเป็นก้อนหยกชิ้นนั้นที่นางเคยเห็นครั้งก่อน ซูจิ่นซีจึงวางกลับไปในหีบ
“ยังมีของสิ่งนี้! ”
เยี่ยโยวเหยาหยิบป้ายหยกสกุลจงชิ้นนั้นที่ได้มาจากฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง มอบให้ซูจิ่นซี
เมื่อซูจิ่นซีเห็นป้ายหยก นางยิ่งดีใจเป็นอย่างมาก
“เยี่ยโยวเหยา ไม่คิดว่าท่านจะตามหาป้ายหยกกลับมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กล่าวอันใดให้มากความ เขารินน้ำชายกขึ้นมาดื่ม พลางมองท่าทางมีความสุขของซูจิ่นซี อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมาเช่นกัน
ซูจิ่นซี ขอเพียงชั่วชีวิตของเจ้าไร้ซึ่งความวิตกกังวล ข้ายินยอมแบกรับมันไว้ทั้งหมด
“เยี่ยโยวเหยา ท่านนำป้ายหยกชิ้นนี้กลับมาได้อย่างไรเพคะ? ” ซูจิ่นซีหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมาสอบถาม
“องครักษ์เงาแอบเข้าไปค้นหาในหุบเขาร้อยบุปผา! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ซูจิ่นซีไม่มีท่าทีสงสัยอันใด
“ท่านรู้จักสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลีมากน้อยเพียงใด? ข้าสงสัยว่าหยกชิ้นนี้จะบ่งบอกถึงสถานะของมารดาข้า นางอาจมีความเกี่ยวข้องกับสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี”
“ข้าไม่รู้”
“อ๋อ! ” ในแววตาของซูจิ่นซีปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย
“ซูจิ่นซี เรื่องพวกนี้สำคัญกับเจ้ามากหรือ? ”
ทันใดนั้นสีหน้าของเยี่ยโยวเหยาพลันเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งจนยากเข้าใจ มองไม่ออกว่าในใจของเขาคิดอันใดอยู่?
“เพคะ? ”
ซูจิ่นซีดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเยี่ยโยวเหยา
“ข้าหมายความว่า การล่วงรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเอง มีความสำคัญมากจริงหรือ? แม้ความจริงหลังจากทุกอย่างเปิดเผยออกมาจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงก็ตาม”
ซูจิ่นซีตกตะลึงในทันที แม้นางไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยโยวเหยาถึงพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ทว่านางไม่เคยคำนึงถึงเรื่องพวกนี้เลย
“เยี่ยโยวเหยา… ” จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใด
เยี่ยโยวเหยาโอบซูจิ่นซีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขากลับคืนสู่อารมณ์สุขุมอีกครั้ง และไม่ได้พูดอันใดอีก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็คลายอ้อมแขนจากการโอบกอดซูจิ่นซี “นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิด! กลางคืนอากาศเย็น หากนอนแล้วรู้สึกไม่สบายนัก เจ้าสามารถเรียกแม่นมฮวากับลวี่หลีมาคอยเฝ้าได้”
เยี่ยโยวเหยาไม่รอให้ซูจิ่นซีเอ่ยปากพูด เขาเดินออกไปทันที
“เยี่ยโยวเหยา! ” ซูจิ่นซีร้องเรียก
เยี่ยโยวเหยาหยุดเดิน ทว่าไม่ได้หันหลังกลับมา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่มีสิ่งใดที่โกหกข้าใช่หรือไม่? ” จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ถามขึ้น
แววตาของเยี่ยโยวเหยาเปล่งประกาย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “รีบพักผ่อนเถิด! ”
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้ถามคำถามเช่นนี้ “เยี่ยโยวเหยา ภายใต้สถานการณ์ที่เราทั้งสองฝ่ายยังไม่เปิดใจต่อกันทั้งหมด ข้ายอมให้ท่านปกปิดเรื่องราวได้ ทว่าไม่ยอมให้ท่านมีเรื่องโกหกข้า หากท่านกล้าโกหกหลอกลวงข้า ข้าจะตอบสนองท่านเป็นร้อยเท่า พันเท่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยโยวเหยาพลันสะดุ้งเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
อย่างไรก็ตาม เขายังพูดขึ้นว่า “ภายในห้องค่อนข้างเย็น ให้แม่นมฮวาเข้ามาเพิ่มถ่านสักหน่อย เรือนอวิ๋นไคหันหน้าไปทางทิศเหนือ ฤดูร้อนเย็นสบาย ฤดูหนาวอบอุ่นทว่าหนาวเย็น หากเจ้าไม่ชิน เจ้าจะย้ายไปพักตำหนักฝูอวิ๋นกับข้าก็ได้”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็หันไปมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าสงบนิ่ง จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกไป
โดยไม่คาดคิด ไม่รู้ว่าแม่นมฮวามายืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใด คำพูดของเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่ นางได้ยินเข้าพอดี
แม่นมฮวาแย้มยิ้มดีใจ “ความคิดนี้ดีมากเพคะ! ท่านอ๋อง แม้เรือนอวิ๋นไคแห่งนี้จะดี แต่ไม่ว่าบ่าวจะใช้ถ่านมากสักเท่าไรก็ไม่ทำให้อุ่นขึ้นเลยเพคะ บ่าวเห็นด้วยที่ให้พระชายาย้ายไปพำนักที่ตำหนักฝูอวิ๋น เช่นนี้ การจะทำเรื่องอันใดล้วนสะดวกมากกว่า ทั้งยังดีต่อร่างกายภายในของพระชายาด้วย พระชายาจะได้ตั้งครรภ์ให้ท่านอ๋องไวๆ เพคะ”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย รอยยิ้มของแม่นมฮวายิ่งดูมีเลศนัย
……
เชิงอรรถ
[1] หอโคมเขียว ในอดีตหมายถึงบ้านเรือนที่หรูหราและสวยงาม บางครั้งถูกใช้เป็นชื่อสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวย ต่อมาใช้สื่อในความหมายว่าเป็นหอคณิกาที่มีหญิงสาวจำนวนมากคอยบริการแขกเหรื่อ