เมื่อระบบถอนพิษตรวจสอบแล้วว่าสุราที่เว่ยเหม่ยเจียยื่นมาให้ไม่มีเล่ห์กลอันใด ซูจิ่นซีจึงรับมาดื่ม
“พิธีสมรสของน้องหญิงในตอนนั้น ข้ากับท่านอ๋องไปแคว้นหนานหลีเพื่อตามหาสมุนไพรนำมาช่วยเหลือประชาชน จึงไม่ได้ไปร่วมงานสมรส น้องหญิงอย่าได้ตำหนิข้ากับท่านอ๋องได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีพูดได้อย่างฉลาดหลักแหลม นางหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาก เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เว่ยเหม่ยเจียจนตรอก
รอยยิ้มของเว่ยเหม่ยเจียที่เดิมทีราวกับวางแผนมาอย่างดีพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
“ไม่… ไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง? พี่สะใภ้วางใจได้ เหม่ยเจียไม่ได้ใจแคบเช่นนั้น! ”
อย่างไรก็ตาม หากตอนนั้นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยายังอยู่ที่เมืองตี้จิง แคว้นจงหนิง และไม่ได้ไปแคว้นหนานหลี พวกเขาก็ไม่มีทางไปร่วมงานสมรสของนาง
เมื่อเห็นซูจิ่นซีดื่มสุราที่เว่ยเหม่ยเจียยื่นให้ ไหวหยางจวิ้นจู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดแฝงเลศนัยว่า “ที่แท้ ลูกสะใภ้กับน้องสะใภ้ก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นคนนอก และหลงคิดไปเองว่าสนิทสนมกัน”
“เสด็จแม่ ท่านอย่าคิดเช่นนั้น เสด็จพี่ดื่มไม่ไหวแล้วจริงๆ เพคะ”
เว่ยเหม่ยเจียกับไหวหยางจวิ้นจู่พูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยซูจิ่นซีมีหรือจะมองไม่ออก
“หึ ในเมื่อท่านอ๋องดื่มไม่ไหวแล้ว เช่นนั้นพระชายาโยวอ๋อง ท่านก็ดื่มอีกสักจอกเป็นไร? ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่า เมื่อนางจิ้งจอกหิวโหยสองตนเดินเข้ามา ไม่มีทางจะเป็นเรื่องดีไปได้
ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีค่อยๆ หรี่ลง นางมองไหวหยางจวิ้นจู่ด้วยใบหน้าขึงขัง
“วันนี้ท่านอ๋องดื่มสุรามากมายเพียงใด ทุกคนต่างประจักษ์ด้วยสายตา พระชายาโยวอ๋อง หากท่านไม่เชี่ยวชาญการดื่มสุรา เช่นนี้จะคู่ควรกับโยวอ๋องได้อย่างไร? ”
ดวงตาขึงขังของซูจิ่นซีจ้องมองไหวหยางจวิ้นจู่โดยไม่พูดอันใด
ไหวหยางจวิ้นจู่พูดด้วยเสียงอันดังอีกครั้งว่า “พระชายาโยวอ๋อง มิสู้พวกเรามาเล่นเกมกันเป็นเช่นไร? วันนี้ภายในงานมีสตรีจำนวนมาก! มีผู้ใดต้องการท้าทายพระชายาโยวอ๋องสักครั้งหรือไม่? ไม่ใช่เกมอื่นใด พวกเราเพียงแข่งดื่มสุรากันเท่านั้น โยวอ๋องคอแข็งถึงเพียงนี้ พระชายาโยวอ๋องต้องไม่ด้อยไปกว่ากันแน่นอน พวกเจ้าต้องตั้งใจให้ดีเล่า! ”
เดิมทีสิ่งที่ทุกคนได้เห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักวั่นโซ่ววันนี้ และอำนาจบารมีของเยี่ยโยวเหยา ข้อเสนอของไหวหยางจวิ้นจู่นั้น ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอตัวอย่างแน่นอน
แม้จะไม่มีเจตนาอื่นใด ทว่าพวกนางยังคงหวาดกลัวเยี่ยโยวเหยาอยู่บ้าง
ทว่าในราชสำนักยังมีคนของฮ่องเต้!
และยังมีผู้ที่ภายในใจรู้สึกเจ็บแค้นเยี่ยโยวเหยา
“หม่อมฉันเองเพคะ! ”
“หม่อมฉันด้วยเพคะ! ”
“หม่อมฉันด้วยเพคะ! ”
ผู้ที่ลุกขึ้นยืนทั้งหมดสามคน ไม่ใช่ใครอื่นใด ทว่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพเห่อหลาน เห่อหลานหมิ่นและเห่อหลานจู ที่เยี่ยโยวเหยาบีบบังคับให้ฮ่องเต้เป็นผู้ลงมือด้วยพระองค์เอง และยังมีบุตรสาวของแม่ทัพอวี่เหวินที่อยู่ฝ่ายฮ่องเต้ อวี่เหวินหลัน
พวกนางแต่ละคนเติบโตมาในค่ายทหารกับบิดาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นเรื่องดื่มสุราต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“รวมองค์หญิงเช่นข้าอีกหนึ่งคนด้วย! ” หวาหรงจวิ้นจู่ก็ลุกขึ้นยืนกับเขาด้วยเช่นกัน
“โอ้ ไม่ มีทั้งหมดสี่คนเลยหรือ? เป็นเช่นนี้ไม่ดีกระมัง? ” ไหวหยางจวิ้นจู่แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ “พวกเจ้าจะผลัดกันออกมาแข่งขันหรือจะออกมาพร้อมกัน? อย่าทำให้พระชายาโยวอ๋องต้องดื่มจนล้มพับไปเสียเล่า! ”
“หึ น่าขัน ความสามารถเช่นเสด็จอาโยวอ๋องของข้า วันนี้ทุกท่านต่างประจักษ์ด้วยสายตา ซูจิ่นซี หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะสตรีเพียงสี่นางได้ เจ้าคิดว่าเจ้ายังเหมาะสมกับเสด็จอาโยวอ๋องของข้าอีกหรือ? ” หวาหรงจวิ้นจู่ชิงพูดขึ้นเป็นคนแรก
จากนั้นเห่อหลานหมิ่นก็ส่งเสียงในลำคอและพูดว่า “พระชายาโยวอ๋อง ท่านคงไม่อ่อนหัดจริงๆ ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่า นอกจากท่านจะขจัดพิษได้แล้ว ท่านก็ทำอันใดไม่เป็นเลย! ”
“อันใดกัน? แม้แต่วรยุทธ์ก็ไม่เป็นหรือ? เช่นนั้นทักษะการดื่มสุราคงจะไม่เท่าไรกระมัง? ” เห่อหลานจูพูดขึ้น
“ซูจิ่นซี หากท่านไม่ต้องการแข่งขัน เพียงเอ่ยออกมาคำเดียวเท่านั้น ทุกคนจะได้ไม่ต้องพูดจายั่วยุก่อกวนท่าน หากถึงเวลานั้นท่านดื่มจนล้มพับไปจริงๆ จะทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเรารังแกท่านได้”
คนเหล่านี้พูดสอดประสานเหมือนนัดแนะกันมา ไม่เหลือช่องว่างให้ซูจิ่นซีโต้กลับเลย!
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใด ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ
ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจ เห่อหลานหมิ่น เห่อหลานจู และอวี่เหวินหลันที่ท้าทายซูจิ่นซีพากันเม้มริมฝีปาก ใบหน้าซีดขาว เนื้อตัวสั่นเทา
หากไม่มีเสียงดนตรีบรรเลง ภายในตำหนักว่านโซ่วคงเงียบสงัดเป็นแน่
เยี่ยโยวเหยาเผยใบหน้าเย็นชา เขากำลังจะเอ่ยปาก กลับไม่คิดว่าหวาหรงจวิ้นจู่จะพูดแทรกขึ้นมาอย่างกล้าหาญ “เสด็จอาโยวอ๋อง ท่านคงไม่คิดปกปิดจุดอ่อนใช่หรือไม่? ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะเอาอกเอาใจน้าสะใภ้ พวกเราทำเช่นนี้เพื่อทดสอบนาง ดูว่าน้าสะใภ้เหมาะสมกับเสด็จอาหรือไม่ก็เท่านั้น”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า? ” เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาเย็นยะเยือกจนน่าตกใจ
หวาหรงจวิ้นจู่ตกตะลึง ทว่านางยังรวบรวมความกล้าพูดอีกครั้งว่า “เสด็จอาโยวอ๋อง ท่านทรงทราบหรือไม่ ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซี สตรีนางนี้สมรสกับท่าน นางทำให้ท่านได้รับความอับอายมากน้อยเพียงใด? เสด็จอาทรงทราบหรือไม่ ทั่วทั้งแคว้นจงหนิง หรือแม้กระทั่งใต้หล้า มีสตรีมากมายที่เก่งกาจกว่าซูจิ่นซีร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า ทุกคนต่างยกย่องสรรเสริญท่าน ชื่นชอบท่าน นางไร้ความสามารถเช่นนี้ มีดีที่ใดหรือ? นางถือดีอันใดถึงได้รับความรักและความเอ็นดูจากเสด็จอา? ”
สิ่งที่หวาหรงจวิ้นจู่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของเว่ยเหม่ยเจียและฮั่วอวี้เจียวทั้งสิ้น คำพูดนี้กระแทกเข้าไปในจิตใจของพวกนาง แววตาของพวกนางพลันเปล่งประกาย
โดยเฉพาะฮั่วอวี้เจียว นางในเวลานี้ต้องการลุกขึ้นยืนเคียงข้างเว่ยเหม่ยเจียกับพรรคพวกเพื่อบดขยี้ซูจิ่นซี ทว่านางไม่สามารถทำได้ เพราะสถานะของนางในตอนนี้คือ พระคู่หมั้นของไท่จื่อ หากนางลุกขึ้นมาร่วมด้วยคงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก นางทำได้เพียงมองพวกเขาด้วยสายตาริษยา และนั่งอยู่ข้างกายไท่จื่ออย่างสงบตามฐานะของตน
“หึๆ หวาหรง…เด็กคนนี้ ดูสิเจ้าพูดอันใด จะกล่าวเช่นไร พระชายาโยวอ๋องก็เป็นน้าสะใภ้ของเจ้า! เจ้านี่นะ เก็บซ่อนความคิดในใจไม่ได้เลยจริงๆ ความจริงอันใดล้วนพูดออกมาเสียหมด เช่นนี้จะทำให้เสด็จอาของเจ้าขุ่นเคืองได้นะ”
ไหวหยางจวิ้นจู่พูดสำทับหวาหรงจวิ้นจู่ แม้ภายนอกจะดูเหมือนนางกำลังตำหนิหวาหรงจวิ้นจู่ ทว่าประเด็นสำคัญกลับเน้นย้ำว่า สิ่งที่หวาหรงจวิ้นจู่พูดออกมานั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น
แววตาของเยี่ยโยวเหยาแฝงไปด้วยไอสังหาร ทั้งยังดุดันขึ้นเรื่อยๆ …
“ไม่ว่าซูจิ่นซีจะเป็นเช่นไร ทว่าตั้งแต่ที่ฝ่าบาทมีพระราชโองการประทานพิธีสมรสให้ข้า นางก็คือพระชายาของข้า นางจะเป็นเช่นไรข้าไม่ใส่ใจ ขอเพียงนางอยู่ข้างกายข้าก็เพียงพอแล้ว… ”
เยี่ยโยวเหยาไม่สามารถลงมือกับสตรีไม่กี่นางนี้ได้ เขาทำได้เพียงควบคุมอารมณ์โกรธไว้
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้ไหวหยางจวิ้นจู่ เห่อหลานสองพี่น้อง และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจคำพูดของเยี่ยโยวเหยาเท่าใดนัก ทว่าผู้ที่อ่อนไหวและชื่นชอบเยี่ยโยวเหยาอย่างเว่ยเหม่ยเจียกับฮั่วอวี้เจียวต่างรับรู้ได้ในทันที
โยวอ๋อง เขาพูดว่า เขาไม่สนใจว่าซูจิ่นซีจะเป็นเช่นไร แม้ซูจิ่นซีจะเคยเป็นคนไร้ประโยชน์ เคยเป็นคนโง่เง่า เขาก็ล้วนไม่ใส่ใจอย่างนั้นหรือ?
เขาพูดว่า ขอเพียงมีซูจิ่นซีอยู่ข้างกายเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว นี่เป็นวาจาที่อ่อนหวานอะไรเช่นนี้? นี่เป็นวาจาที่ด้อยค่าตนเองหรือไม่?
โยวอ๋องเป็นถึงราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ ฐานะสูงส่งของเขาสามารถกดดันพระราชอำนาจของฮ่องเต้ได้ เหตุใดเขาถึงวิงวอนเยี่ยงคนไร้ค่าและคาดหวังให้มีสตรีนางหนึ่งอยู่ข้างกาย? ในใต้หล้านี้มีสตรีมากมายที่ทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง…
คำพูดเหล่านี้ ไม่เพียงผู้อื่นที่ได้ยินแล้วเข้าใจในทันที ซูจิ่นซีไม่ใช่คนโง่ นางย่อมรับรู้ได้
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางพบว่าท่าทางของเยี่ยโยวเหยายังคงสูงส่ง อำนาจของเขาสูงศักดิ์น่ายำเกรง เกียรติของเขาไม่สามารถล่วงเกินได้
ที่เขาทำเช่นนี้เพราะความต่ำต้อยของนาง เขาถึงต้องอดทนต่อคำถามและคำลบหลู่ของเหล่าสตรี
เขาเป็นผู้ที่นอกจากฮ่องเต้แล้วจะไม่ยอมก้มศีรษะให้กับผู้ใด ทว่าเป็นเพราะนาง เขาถึงต้องอดทนต่อสิ่งเหล่านี้…
ใจของนางจะสงบลงได้อย่างไร?
เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะปฏิเสธคำท้าทายของหวาหรงจวิ้นจู่กับพรรคพวก ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ภายในใจของนางกลับมุ่งมั่น นางประสานมือเข้ากับมือของเยี่ยโยวเหยา พลางเผยใบหน้าผ่อนคลายเพื่อปลอบใจเขา
จากนั้น ซูจิ่นซีก็หันไปพูดกับหวาหรงจวิ้นจู่และพรรคพวกว่า “ข้ารับคำท้าของพวกท่าน! ”