ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่น นางคืออนุซุนที่หายตัวไปนาน ทันทีที่เท้าของอนุซุนแตะพื้น ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีก็ส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที
“เยี่ยโยวเหยา มีศพพิษ” ซูจิ่นซีรีบร้องเตือน
หลังจากสิ้นเสียงของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวนางไว้แน่น พลางเอนตัวไปทางหลังม้า จากตำแหน่งนี้ ซูจิ่นซีเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีศพพิษตัวหนึ่งโจมตีมาจากทางด้านบน ดวงตาของมันดำมืดไร้สติ ตัวสีเขียวสว่างเหมือนเคลือบแสงสีเขียวไว้อีกชั้น ฟันและเล็บมือแหลมคมดั่งตะขอ
นอกจากนั้น พิษที่อยู่บนตัวศพพิษตัวนี้มีมากกว่าศพพิษตัวอื่นที่กำลังเข้าใกล้พวกเขา
ซูจิ่นซีอดตกใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไรที่กระบี่ปลายอ่อนที่ซ่อนอยู่ข้างเอวของเยี่ยโยวเหยาเกิดเสียงคำรามขึ้นมา เยี่ยโยวเหยาชักกระบี่ปลายอ่อนออกมา ฟันใส่ศพพิษด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่า กระบี่ที่ฟันลงไปเหมือนฟันถูกโคลน ไม่สามารถทำอันใดศพพิษได้เลย
ศพพิษไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นอย คงกระพันยิ่งนัก
“เยี่ยโยวเหยา ท่านปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันมีวิธีรับมือกับพวกมัน” ซูจิ่นซีพูดขึ้น
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทว่าเขายังไม่ปล่อยตัวซูจิ่นซี แต่ในจังหวะที่ศพพิษใช้กรงเล็บโจมตีอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาก็เหินตัวหลบและพาซูจิ่นซีลงมาบนพื้น
หลังจากที่พวกเขาลงมายืนบนพื้น ก็เห็นว่าม้าที่ขี่มาถูกศพพิษฉีกร่างจนแหลกละเอียด
เลือดสาดเจิ่งนองไปทั่ว
ซูจิ่นซีตกใจกับภาพที่เห็นจนแทบจะอาเจียนออกมา ช่างเป็นภาพการนองเลือดที่สยองที่สุด
เลือดนองกระจัดกระจาย ศพพิษตัวนั้นหันมาโจมตีพวกเขาอีกครั้ง ทางด้านหลังยังมีศพพิษอีกหลายสิบตัว ระบบถอนพิษตรวจสอบพบว่า พิษที่อยู่บนตัวศพพิษเหล่านี้ร้ายกาจกว่าศพพิษที่วัดพุทธฝ่าหลายสิบเท่า
ทว่าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ไม่แม้แต่ขมวดคิ้วแสดงท่าทีวิตก
“เยี่ยโยวเหยา พาหม่อมฉันเหินขึ้นไป” ซูจิ่นซีตะโกน
เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซีไว้แน่น และพาซูจิ่นซีเหินขึ้นไปบนอากาศขณะที่ศพพิษโจมตีมาทางพวกเขา ในขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีก็สาดผงพิษใส่จนศพพิษตัวนั้นหยุดนิ่งไปในทันที
“ยังมีทางนั้นอีก! ” ซูจิ่นซีหันไปมองทางซ้ายมือ ทางนั้นยังมีศพพิษอีกจำนวนมากที่เดินมาหาพวกเขาด้วยท่าทางดุดัน
ซูจิ่นซีกำลังจะหยิบผงยาออกจากระบบถอนพิษ ทว่านางกลับขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา พวกเราต้องหาวิธี ผงยาของหม่อมฉันเหลือไม่มาก ทว่าศพพิษมีจำนวนมากมาย ใช้ไม่พอเป็นแน่”
“เจ้ารับมือได้เท่าใดก็เท่านั้น ส่วนที่เหลือข้าจัดการเอง”
ซูจิ่นซีมองตาเยี่ยโยวเหยาด้วยความภาคภูมิใจ “พาหม่อมฉันไป”
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเข้าไปใกล้ศพพิษเหล่านั้น ซูจิ่นซีสาดผงยาอย่างต่อเนื่อง อาการของศพพิษตาสีเขียวเหล่านั้นเป็นเหมือนตัวก่อนหน้านี้ ทั้งหมดต่างหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว
อนุซุนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ด้วยใบหน้าลำพองใจ จู่ๆ ใบหน้าพลันแข็งทื่อ ดวงตาปรากฏความหวาดกลัว
ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับศพพิษได้ เมื่อศพพิษโจมตีก็ไร้ผู้ต้านทาน และพวกมันยังอยู่ยงคงกระพัน คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะสามารถจัดการกับศพพิษเหล่านี้ได้จริงๆ
นางทำได้อย่างไร?
อนุซุนถามตนเอง เพราะนางไม่มีความสามารถเช่นนี้
ซูจิ่นซีจัดการกับศพพิษไปกว่าครึ่ง นางเชิดหน้าอย่างลำพองใจ พลางมองไปทางอนุซุน แสดงท่าทีว่าข้าคือผู้ชนะ อนุซุนเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว แทบทรุดตัวลงกับพื้น
“ซูจิ่นซี ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ ไม่มีทาง! ไป! โจมตีเข้าไป! ฉีกร่างของพวกมัน!” อนุซุนออกคำสั่งด้วยท่าทีขึงขังโหดร้าย ศพพิษส่วนที่ยังไม่ถูกจัดการเนื่องจากซูจิ่นซีใช้ผงยาไปหมดแล้ว เดินเข้ามาหาพวกเขาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า พวกมันโจมตีโดยใช้เขี้ยวและเล็บมืออันแหลมคมเหมือนศพพิษตาสีเขียวตัวก่อนหน้านั้น
เยี่ยโยวเหยาฟันกระบี่เข้าใส่ศพพิษอีกครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์
“เยี่ยโยวเหยา ไร้ประโยชน์ มีดดาบล้วนทำอันใดศพพิษเหล่านี้ไม่ได้ ผงยาเหล่านี้ของหม่อมฉันทำได้เพียงยับยั้งศพพิษเหล่านี้ไว้ชั่วคราว หากเวลาผ่านไป พวกมันก็จะฟื้นขึ้นอีกครั้ง”
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีล่าถอยออกมา
ซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นพลางพูดว่า “ศพพิษเหล่านี้ อนุซุนไม่ได้เป็นผู้ควบคุมมัน ผู้ที่เป่าขลุ่ยเท่านั้นที่สามารถควบคุมพวกมันได้”
“ข้าไม่ได้ยินเสียงอันใด เจ้ารู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของผู้ที่เป่าขลุ่ยหรือไม่? ”
เสียงนั้นอยู่ไกลมาก ทั้งยังไกลกว่าเสียงขลุ่ยที่คอยควบคุมศพพิษเมื่อตอนที่อยู่วัดพุทธฝ่ามากนัก หากซูจิ่นซีไม่ได้ล่วงรู้ความลับในการควบคุมศพพิษ และไม่มีอาคมกำไลปี่อั้นช่วยเหลือ นางก็ไม่มีทางได้ยินเช่นกัน
“ได้เพคะ” ซูจิ่นซีพยักหน้า
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีถอยห่างออกมาให้ไกล และหยุดโจมตีศพพิษชั่วคราว
อนุซุนที่ยืนมองเหตุการณ์จากระยะไกล เกิดความลำพองใจขึ้นอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี พวกเจ้าคงกลัวมากใช่หรือไม่? ถูกต้องแล้วที่หวาดกลัว วันนี้แม้จะสังหารพวกเจ้าไม่ได้ อย่างไรก็ต้องสับแขนขาของเจ้าออกมาสักชิ้น ไป ฉีกร่างพวกมัน… ”
แม้ซูจิ่นซีจะเปิดอาคมกำไลปี่อั้นแล้ว ทว่าเสียงนั้นกลับกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ ดังสะท้อนไร้ทิศทาง เหมือนดังมาจากทั่วทุกสารทิศ เป็นเรื่องยากสำหรับซูจิ่นซีในการยืนยันตำแหน่งเสียงที่แน่ชัด
“เป็นเช่นไร? ” เยี่ยโยวเหยาถามขึ้น
ตอนนี้ศพพิษเข้ามาใกล้พวกเขาทุกที
“หม่อมฉันขอเวลาอีกหน่อย”
ซูจิ่นซีหลับตาทั้งสองข้างลง พลางรวบรวมสมาธิทั้งหมด เพื่อหาที่มาของเสียง
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ ทุกครั้งที่อนุซุนออกคำสั่งให้ศพพิษโจมตีพวกนาง ศพพิษจะมีพลังโจมตีมากยิ่งขึ้น
“จัดการกับอนุซุนก่อน” ซูจิ่นซีพูดขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเยี่ยโยวเหยา
หลังจากสิ้นเสียงซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็พาซูจิ่นซีพุ่งโจมตีไปทางอนุซุน
อนุซุนเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดีนัก นางกุมกระบี่ในมือแน่น คิดต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาอย่างสุดกำลัง
เดิมทีเยี่ยโยวเหยาไม่เห็นอนุซุนอยู่ในสายตา แต่คาดไม่ถึงว่า อนุซุนสามารถต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาได้มากกว่าสิบกระบวนท่า
วรยุทธ์ของนางร้ายกาจกว่าซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำในตอนนั้นมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังใช้พิษเป็นระยะ เยี่ยโยวเหยาต้องใช้ถึงยี่สิบกระบวนท่าจึงสามารถแทงกระบี่เข้าไปที่หัวใจของนางได้
“ทางนั้น! ”
หลังจากที่อนุซุนล้มลง อาคมกำไลปี่อั้นก็ได้ยินทิศทางของเสียงขลุ่ยอย่างชัดเจน
เสียงนั้นดังมาจากยอดเขาลูกหนึ่งทางด้านโน้น
ในขณะเดียวกัน จิ้นหนานเฟิงได้พานักฆ่าจำนวนหนึ่งจากวิหารวิญญาณมาช่วยเหลือ เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งให้จิ้นหนานเฟิงรับมือกับบรรดาศพพิษ ส่วนเขาจะรีบพาซูจิ่นซีไปจัดการกับผู้ที่เป่าขลุ่ยบนภูเขา
ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไร เสียงขลุ่ยยิ่งชัดเจนมากขึ้น แม้ไม่มีอาคมกำไลปี่อั้นคอยช่วยเหลือ ก็สามารถได้ยินเสียงขลุ่ยได้อย่างชัดเจน เยี่ยโยวเหยาจึงรีบพาซูจิ่นซีไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีมีอาคมกำไลปี่อั้นคอยช่วย ไม่นานก็พบผู้ที่เป่าขลุ่ย
แสงสว่างดั่งเปลวเพลิง ท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยสีแดง คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียวมรกต เสื้อคลุมที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างงดงามราวกับภาพวาดก็มิปาน เขายืนหันหลังให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา เสียงขลุ่ยไพเราะเสนาะหู
เยี่ยโยวเหยากำลังจะลงมือกับคนผู้นั้น จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ขัดขวางไว้
“เจ้าคือใคร? ”
เหตุใดนางถึงรู้สึกคุ้นกับด้านหลังของคนผู้นี้มาก?
เขาคือใครกันแน่?