สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 250 เขาคือใคร?

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่น นางคืออนุซุนที่หายตัวไปนาน ทันทีที่เท้าของอนุซุนแตะพื้น ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีก็ส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที

“เยี่ยโยวเหยา มีศพพิษ” ซูจิ่นซีรีบร้องเตือน

หลังจากสิ้นเสียงของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวนางไว้แน่น พลางเอนตัวไปทางหลังม้า จากตำแหน่งนี้ ซูจิ่นซีเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีศพพิษตัวหนึ่งโจมตีมาจากทางด้านบน ดวงตาของมันดำมืดไร้สติ ตัวสีเขียวสว่างเหมือนเคลือบแสงสีเขียวไว้อีกชั้น ฟันและเล็บมือแหลมคมดั่งตะขอ

นอกจากนั้น พิษที่อยู่บนตัวศพพิษตัวนี้มีมากกว่าศพพิษตัวอื่นที่กำลังเข้าใกล้พวกเขา

ซูจิ่นซีอดตกใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไรที่กระบี่ปลายอ่อนที่ซ่อนอยู่ข้างเอวของเยี่ยโยวเหยาเกิดเสียงคำรามขึ้นมา เยี่ยโยวเหยาชักกระบี่ปลายอ่อนออกมา ฟันใส่ศพพิษด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่า กระบี่ที่ฟันลงไปเหมือนฟันถูกโคลน ไม่สามารถทำอันใดศพพิษได้เลย

ศพพิษไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นอย คงกระพันยิ่งนัก

“เยี่ยโยวเหยา ท่านปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันมีวิธีรับมือกับพวกมัน” ซูจิ่นซีพูดขึ้น

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทว่าเขายังไม่ปล่อยตัวซูจิ่นซี แต่ในจังหวะที่ศพพิษใช้กรงเล็บโจมตีอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาก็เหินตัวหลบและพาซูจิ่นซีลงมาบนพื้น

หลังจากที่พวกเขาลงมายืนบนพื้น ก็เห็นว่าม้าที่ขี่มาถูกศพพิษฉีกร่างจนแหลกละเอียด

เลือดสาดเจิ่งนองไปทั่ว

ซูจิ่นซีตกใจกับภาพที่เห็นจนแทบจะอาเจียนออกมา ช่างเป็นภาพการนองเลือดที่สยองที่สุด

เลือดนองกระจัดกระจาย ศพพิษตัวนั้นหันมาโจมตีพวกเขาอีกครั้ง ทางด้านหลังยังมีศพพิษอีกหลายสิบตัว ระบบถอนพิษตรวจสอบพบว่า พิษที่อยู่บนตัวศพพิษเหล่านี้ร้ายกาจกว่าศพพิษที่วัดพุทธฝ่าหลายสิบเท่า

ทว่าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ไม่แม้แต่ขมวดคิ้วแสดงท่าทีวิตก

“เยี่ยโยวเหยา พาหม่อมฉันเหินขึ้นไป” ซูจิ่นซีตะโกน

เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซีไว้แน่น และพาซูจิ่นซีเหินขึ้นไปบนอากาศขณะที่ศพพิษโจมตีมาทางพวกเขา ในขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีก็สาดผงพิษใส่จนศพพิษตัวนั้นหยุดนิ่งไปในทันที

“ยังมีทางนั้นอีก! ” ซูจิ่นซีหันไปมองทางซ้ายมือ ทางนั้นยังมีศพพิษอีกจำนวนมากที่เดินมาหาพวกเขาด้วยท่าทางดุดัน

ซูจิ่นซีกำลังจะหยิบผงยาออกจากระบบถอนพิษ ทว่านางกลับขมวดคิ้วอีกครั้ง

“เยี่ยโยวเหยา พวกเราต้องหาวิธี ผงยาของหม่อมฉันเหลือไม่มาก ทว่าศพพิษมีจำนวนมากมาย ใช้ไม่พอเป็นแน่”

“เจ้ารับมือได้เท่าใดก็เท่านั้น ส่วนที่เหลือข้าจัดการเอง”

ซูจิ่นซีมองตาเยี่ยโยวเหยาด้วยความภาคภูมิใจ “พาหม่อมฉันไป”

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเข้าไปใกล้ศพพิษเหล่านั้น ซูจิ่นซีสาดผงยาอย่างต่อเนื่อง อาการของศพพิษตาสีเขียวเหล่านั้นเป็นเหมือนตัวก่อนหน้านี้ ทั้งหมดต่างหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว

อนุซุนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ด้วยใบหน้าลำพองใจ จู่ๆ ใบหน้าพลันแข็งทื่อ ดวงตาปรากฏความหวาดกลัว

ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับศพพิษได้ เมื่อศพพิษโจมตีก็ไร้ผู้ต้านทาน และพวกมันยังอยู่ยงคงกระพัน คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะสามารถจัดการกับศพพิษเหล่านี้ได้จริงๆ

นางทำได้อย่างไร?

อนุซุนถามตนเอง เพราะนางไม่มีความสามารถเช่นนี้

ซูจิ่นซีจัดการกับศพพิษไปกว่าครึ่ง นางเชิดหน้าอย่างลำพองใจ พลางมองไปทางอนุซุน แสดงท่าทีว่าข้าคือผู้ชนะ อนุซุนเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว แทบทรุดตัวลงกับพื้น

“ซูจิ่นซี ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ ไม่มีทาง! ไป! โจมตีเข้าไป! ฉีกร่างของพวกมัน!” อนุซุนออกคำสั่งด้วยท่าทีขึงขังโหดร้าย ศพพิษส่วนที่ยังไม่ถูกจัดการเนื่องจากซูจิ่นซีใช้ผงยาไปหมดแล้ว เดินเข้ามาหาพวกเขาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า พวกมันโจมตีโดยใช้เขี้ยวและเล็บมืออันแหลมคมเหมือนศพพิษตาสีเขียวตัวก่อนหน้านั้น

เยี่ยโยวเหยาฟันกระบี่เข้าใส่ศพพิษอีกครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์

“เยี่ยโยวเหยา ไร้ประโยชน์ มีดดาบล้วนทำอันใดศพพิษเหล่านี้ไม่ได้ ผงยาเหล่านี้ของหม่อมฉันทำได้เพียงยับยั้งศพพิษเหล่านี้ไว้ชั่วคราว หากเวลาผ่านไป พวกมันก็จะฟื้นขึ้นอีกครั้ง”

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีล่าถอยออกมา

ซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้นพลางพูดว่า “ศพพิษเหล่านี้ อนุซุนไม่ได้เป็นผู้ควบคุมมัน ผู้ที่เป่าขลุ่ยเท่านั้นที่สามารถควบคุมพวกมันได้”

“ข้าไม่ได้ยินเสียงอันใด เจ้ารู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของผู้ที่เป่าขลุ่ยหรือไม่? ”

เสียงนั้นอยู่ไกลมาก ทั้งยังไกลกว่าเสียงขลุ่ยที่คอยควบคุมศพพิษเมื่อตอนที่อยู่วัดพุทธฝ่ามากนัก หากซูจิ่นซีไม่ได้ล่วงรู้ความลับในการควบคุมศพพิษ และไม่มีอาคมกำไลปี่อั้นช่วยเหลือ นางก็ไม่มีทางได้ยินเช่นกัน

“ได้เพคะ” ซูจิ่นซีพยักหน้า

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีถอยห่างออกมาให้ไกล และหยุดโจมตีศพพิษชั่วคราว

อนุซุนที่ยืนมองเหตุการณ์จากระยะไกล เกิดความลำพองใจขึ้นอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี พวกเจ้าคงกลัวมากใช่หรือไม่? ถูกต้องแล้วที่หวาดกลัว วันนี้แม้จะสังหารพวกเจ้าไม่ได้ อย่างไรก็ต้องสับแขนขาของเจ้าออกมาสักชิ้น ไป ฉีกร่างพวกมัน… ”

แม้ซูจิ่นซีจะเปิดอาคมกำไลปี่อั้นแล้ว ทว่าเสียงนั้นกลับกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ ดังสะท้อนไร้ทิศทาง เหมือนดังมาจากทั่วทุกสารทิศ เป็นเรื่องยากสำหรับซูจิ่นซีในการยืนยันตำแหน่งเสียงที่แน่ชัด

“เป็นเช่นไร? ” เยี่ยโยวเหยาถามขึ้น

ตอนนี้ศพพิษเข้ามาใกล้พวกเขาทุกที

“หม่อมฉันขอเวลาอีกหน่อย”

ซูจิ่นซีหลับตาทั้งสองข้างลง พลางรวบรวมสมาธิทั้งหมด เพื่อหาที่มาของเสียง

จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ ทุกครั้งที่อนุซุนออกคำสั่งให้ศพพิษโจมตีพวกนาง ศพพิษจะมีพลังโจมตีมากยิ่งขึ้น

“จัดการกับอนุซุนก่อน” ซูจิ่นซีพูดขึ้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเยี่ยโยวเหยา

หลังจากสิ้นเสียงซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็พาซูจิ่นซีพุ่งโจมตีไปทางอนุซุน

อนุซุนเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดีนัก นางกุมกระบี่ในมือแน่น คิดต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาอย่างสุดกำลัง

เดิมทีเยี่ยโยวเหยาไม่เห็นอนุซุนอยู่ในสายตา แต่คาดไม่ถึงว่า อนุซุนสามารถต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาได้มากกว่าสิบกระบวนท่า

วรยุทธ์ของนางร้ายกาจกว่าซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำในตอนนั้นมากนัก

ยิ่งไปกว่านั้น นางยังใช้พิษเป็นระยะ เยี่ยโยวเหยาต้องใช้ถึงยี่สิบกระบวนท่าจึงสามารถแทงกระบี่เข้าไปที่หัวใจของนางได้

“ทางนั้น! ”

หลังจากที่อนุซุนล้มลง อาคมกำไลปี่อั้นก็ได้ยินทิศทางของเสียงขลุ่ยอย่างชัดเจน

เสียงนั้นดังมาจากยอดเขาลูกหนึ่งทางด้านโน้น

ในขณะเดียวกัน จิ้นหนานเฟิงได้พานักฆ่าจำนวนหนึ่งจากวิหารวิญญาณมาช่วยเหลือ เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งให้จิ้นหนานเฟิงรับมือกับบรรดาศพพิษ ส่วนเขาจะรีบพาซูจิ่นซีไปจัดการกับผู้ที่เป่าขลุ่ยบนภูเขา

ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไร เสียงขลุ่ยยิ่งชัดเจนมากขึ้น แม้ไม่มีอาคมกำไลปี่อั้นคอยช่วยเหลือ ก็สามารถได้ยินเสียงขลุ่ยได้อย่างชัดเจน เยี่ยโยวเหยาจึงรีบพาซูจิ่นซีไปอย่างรวดเร็ว

ซูจิ่นซีมีอาคมกำไลปี่อั้นคอยช่วย ไม่นานก็พบผู้ที่เป่าขลุ่ย

แสงสว่างดั่งเปลวเพลิง ท้องฟ้าอีกครึ่งหนึ่งถูกย้อมไปด้วยสีแดง คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียวมรกต เสื้อคลุมที่พลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างงดงามราวกับภาพวาดก็มิปาน เขายืนหันหลังให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา เสียงขลุ่ยไพเราะเสนาะหู

เยี่ยโยวเหยากำลังจะลงมือกับคนผู้นั้น จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ขัดขวางไว้

“เจ้าคือใคร? ”

เหตุใดนางถึงรู้สึกคุ้นกับด้านหลังของคนผู้นี้มาก?

เขาคือใครกันแน่?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset