นับวันยิ่งใกล้เส้นตายเข้ามาเรื่อยๆ ทางด้านซูจิ่นซีก็ยังไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าอันใดเลย นอกจากที่ซูจิ่นซีได้เข้าไปในวังครั้งหนึ่ง หลังจากที่นางได้พบฮองเฮาแล้ว เมื่อกลับมาก็ปิดประตูไม่ออกไปที่ใด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“พระชายาโยวอ๋องคงไม่ใช่ว่าสืบเรื่องราวอันใดไม่ได้เลย จึงหลบอยู่ในจวนไม่กล้าพบผู้คนกระมัง? ”
“นั่นสิ! ไม่ว่าอย่างไร นางก็ควรอธิบายให้ทุกคนฟังบ้าง! พวกเราล้วนเดิมพันข้างนางด้วยเงินจำนวนมาก นางไม่ควรทำให้พวกเราผิดหวังนะ! ”
“ข้าว่านะ! ทุกคนมองซูจิ่นซีผิดแล้วล่ะ เดิมทีนางก็เป็นเพียงคนโง่เขลา ผู้ใดจะรู้ว่าตอนนี้สมองของนางหายดีหรือไม่ ไม่แน่ว่า ตอนนั้นนางเกิดป่วยเข้าพอดี เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ นางจึงได้พูดจาไร้สาระ ตอบมั่วซั่วก็เป็นได้”
“พระชายาโยวอ๋องคงไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาด คอยแต่หดหัวอยู่ในกระดองจริงๆ หรอกกระมัง? ”
“ใช่! นางคงไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาด หดหัวอยู่ในกระดองจริงๆ ใช่หรือไม่? ”
“ไป พวกเราไปจวนโยวอ๋องเพื่อหาคำอธิบาย! ”
“ใช่ ไปกันเถิด! ”
บ่อนพนันทั้งหมดได้ยุติการเดิมพันไว้หนึ่งวันก่อนวันกำหนดเส้นตาย
ผลการเดิมพันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งนัก อัตราส่วนก็แตกต่างกันมาก
ผู้คนเกือบเจ็ดสิบต่อหนึ่งร้อยเปลี่ยนแปลงการเดิมพันเป็น ซูจิ่นซีสืบหาตัวฆาตกรไม่พบ มีเพียงสามสิบต่อหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่เดิมพันว่าซูจิ่นซีสามารถสืบหาตัวฆาตกรได้
การเดิมพันระหว่างฮั่วอวี้เจียวและซูจิ่นซีนั้นยิ่งน่าเหลือเชื่อกว่า อัตราส่วนการเดิมพันระหว่างฮั่วอวี้เจียวเป็นฝ่ายชนะและซูจิ่นซีเป็นฝ่ายชนะ คือสี่ต่อหนึ่ง
ช่วงเช้าตรู่ หน้าประตูจวนโยวอ๋องมีผู้คนมายืนรอมากมาย บนถนนด้านหน้าจวนโยวอ๋องก็เบียดแน่นไปด้วยผู้คนจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็แทรกซึมผ่านเข้าไปไม่ได้ พวกเขาตะโกนให้ซูจิ่นซีออกมาเพื่อให้คำอธิบายกับทุกคน
แม่นมฮวายืนอยู่ที่ประตูมองออกไปรอบๆ และกลับไปที่เรือนชิงโยวด้วยความโกรธ
“หึ สมองของคนพวกนี้เป็นอันใดกัน ไม่มีตากันเลยหรือ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเอ่ยว่าพระชายาของพวกเราจะเป็นฝ่ายแพ้ ถุย! ล้วนมีตาหามีแววไม่ ต่อไปมีลูกก็ล้วนไม่มีรูก้น”
“พรื้ด… ”
ทหารองครักษ์ชั้นผู้น้อยที่ประตูเรือนชิงโยวทั้งหมดล้วนมีบุคลิกเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งที่แม่นมฮวาพูดนั้นน่าขันเสียจนไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้
“หัวเราะอันใดกัน? ระวังองครักษ์หลินมาเห็นจะจัดการพวกเจ้า”
ทหารองครักษ์รีบเงียบเสียงลงทันทีแล้วกลับมายืนอย่างเคร่งขรึม
ทว่าพวกเขายังอดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“แม่นมฮวา ท่านอยู่ใกล้ชิดกับพระชายา สถานการณ์ของพระชายาเป็นอย่างไรบ้างเล่า? นี่ก็วันสุดท้ายแล้วนะ”
“ทำไม? เจ้าก็ลงเดิมพันเช่นกันอย่างนั้นหรือ? ”
แม่นมฮวาเป็นผู้มีประสบการณ์ เมื่อทหารองครักษ์น้อยพูด นางก็เดาได้เกือบทั้งหมดแล้ว
“แหะๆ ”
ทหารองครักษ์น้อยหัวเราะอย่างเกรงใจ
“ลงเดิมพันฝั่งใดไปเล่า? เดิมพันอันใด? ”
แม่นมฮวาถาม
“คือว่าเรื่องนี้… ”
“…”
แม่นมฮวาขมวดคิ้ว
ทหารองครักษ์น้อยลังเลอยู่นานกว่าจะพูดออกมา
“เดิมพันเรื่องคุณหนูฮั่วกับพระชายา ข้าลงเดิมพันว่าคุณหนูฮั่วชนะ”
“เจ้าคนนี้นี่มันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา! ”
แม่นมฮวาเตะไปที่ก้นของทหารองครักษ์น้อย
ทหารองครักษ์น้อยไม่ได้หลบหนี เมื่อรับเท้าที่แม่นมฮวาเตะมาก็รู้สึกน้อยใจและทำปากมุ่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้จะมาโทษข้าไม่ได้เช่นกัน! ข้าเพียงยืนดูทุกคนลงเดิมพัน เขาลงกันเช่นไรข้าก็ลงเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น แม่นมฮวา…ยังมีเรื่องที่ท่านไม่ทราบกระมัง? ” ทหารองครักษ์ตัวน้อยจงใจขยับเข้าไปใกล้แม่นมฮวาและกระซิบข้างหูเบาๆ “ไท่จื่อท่านก็ลงเดิมพันเช่นกัน อีกทั้งยังเดิมพันไปที่คุณหนูฮั่วชนะ วางเงินเดิมพันถึงสองแสนตำลึงเชียวนะ! ”
“กระไรนะ? ”
แม่นมฮวาตะโกนลั่น
ทหารองครักษ์น้อยตกใจจนรีบหันศีรษะกลับไป ทว่าก็ยังไม่ทันเวลาอยู่ดี แม่นมฮวาตบลงไปบนศีรษะของเขา
“เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งไม่ควรวางเดิมพันข้างฮั่วอวี้เจียว”
ไท่จื่อผู้นี้เป็นคนอย่างไรกัน?
เขาเคยมีเรื่องกับพระชายามาก่อนนี่!
หากจะพูดให้ละเอียดกว่านี้ ก็คือเป็นคู่แข่งทางความรักกับท่านอ๋องของพวกเรา
สายตาของแม่นมฮวาที่มองทหารองครักษ์น้อยนั้นช่างเฉียบคมยิ่งกว่าการมองของจารชนเสียอีก
ทหารองครักษ์น้อยเบ้ปาก ทำได้เพียงยืนสงบอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เจนโลกตรงหน้าอีกแม้แต่ประโยคเดียว
“ไม่ได้การ เรื่องนี้ข้าจะต้องไปบอกท่านอ๋องให้จงได้! ”
แม่นมฮวาหันศีรษะกลับมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นผิดปกติจากเรื่องนี้ไม่น้อย
ไท่จื่อยื่นมือเข้ามาในเรื่องนี้เช่นกัน อีกทั้งยังมองว่าฮั่วอวี้เจียวจะเป็นฝ่ายชนะอีกด้วย อย่าว่ากระนั้นเลย เพื่อเอาใจฮั่วอวี้เจียว ไท่จื่อจึงได้ทำอันใดบางอย่างเพื่อเป็นการขัดขวางพระชายาหรืออาจกระทำอันใดที่ไม่ดี
วันนี้เยี่ยโยวเหยาอยู่ในจวน เมื่อทหารองครักษ์รายงานคำพูดของแม่นมฮวาเสร็จ นัยน์ตาลึกของเยี่ยโยวเหยาก็หรี่ลงอย่างน่ากลัวขึ้นมาในทันที เต็มไปด้วยความมืดมนและอันตรายอย่างยิ่ง
แม้แต่ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“เรียกฉินเทียนมา! ”
เยี่ยโยวเหยากล่าว
วันนี้คือเส้นตายสำหรับการสืบคดีนี้ และยังเป็นวันที่ฮองเฮาจะเสด็จไปยังวัดพุทธฝ่าเพื่อสวดขอพร ซูจิ่นซีเป็นหนึ่งในฐานะผู้ติดตาม นางได้เริ่มเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
การได้ร่วมเดินทางกับฮองเฮาถือเป็นโอกาสสำคัญ ดังนั้นทั้งการแต่งตัวและรูปลักษณ์จึงสำคัญเป็นอย่างมาก ลวี่หลีที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงไม่เข้าใจ แม่นมที่แต่งตัวให้ซูจิ่นซีนั้นเป็นคู่หูเก่าแก่ของแม่นมฮวาซึ่งนางตั้งใจเชิญมาเป็นพิเศษ แม่นมผู้นั้นคอยแต่งองค์ทรงเครื่องให้ซูจิ่นซีตั้งแต่เช้าแล้ว
“ลวี่หลี มงกุฎนี้หนักยิ่งนัก! ยังมีกระโปรงนี่อีก เหตุใดจึงยาวถึงเพียงนี้ สวมตัวที่สั้นกว่านี้หน่อยได้หรือไม่? แล้วยังจะรองเท้านี่อีก รัดเท้ามากเกินไปแล้ว ข้าเดินไม่ได้เลย”
ซูจิ่นซีพูดบ่นขณะที่เดินลงมาชั้นล่าง
“คุณหนู ท่านอดทนหน่อยนะเพคะ! เพียงแค่วันนี้เท่านั้น เหล่าแม่นมแต่งหน้าให้ท่านอย่างเรียบง่าย ตามขั้นยศของท่านแล้ว ยังมีปิ่นอีกสองสามอันที่ยังไม่ได้เสียบเข้าไปอีกนะเพคะ! ติดตามฮองเฮาออกไปเช่นนี้ จะสะเพร่าไม่ได้นะเพคะ! ”
ให้ตายเถิด! เครื่องแต่งกายบนตัวนี่ ช่างอลังการมากยิ่งกว่าวันแต่งงานวันนั้นเสียอีก
แม้ขั้นตอนจะยุ่งยาก ทว่าเมื่อสวมลงบนร่างกายของซูจิ่นซีแล้วกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเสริมความสง่างามและความสูงส่งของนางให้มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว
แม่นมฮวาพึ่งจะเดินมาถึงประตูเรือนอวิ๋นไค เมื่อนางเห็นซูจิ่นซีก็ตกตะลึงในทันที ใช้เวลาครู่ใหญ่จึงกลับมาตอบสนองได้ แม่นมฮวาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและหัวเราะเบาๆ
เวลานั้นทั่วทั้งเรือนชิงโยวราวกับมีสีสันแวววาวสว่างสดใสไม่น้อยเลยทีเดียว
“โยวเหยา? โยวเหยา? ”
หน้าต่างของตำหนักฝูอวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปิดออก หากมองจากด้านในสามารถเห็นฉากด้านหน้าประตูเรือนอวิ๋นไคได้อย่างชัดเจน
เยี่ยโยวเหยายืนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตกตะลึงเป็นเวลานาน แม้แต่ฉินเทียนเดินเข้าประตูมาแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว ฉินเทียนต้องตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง เยี่ยโยวเหยาจึงมีสติกลับคืนมา
“มองอันใดเล่า? มองเสียเคลิ้มถึงเพียงนั้น? ”
สายตาของเยี่ยโยวเหยาเย็นเยือก มุมคิ้วแสดงออกถึงอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาวางหนังสือในมือลง ก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำชา
ฉินเทียนเหลือบมองไปทางที่เยี่ยโยวเหยาพึ่งมองออกไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง แล้วจึงเดินตามเยี่ยโยวเหยาออกไป
“พระชายา พวกเราออกทางประตูหลังกันเถิดเพคะ! ”
แม่นมฮวาเดินเข้ามาขวางหน้าซูจิ่นซีแล้วเอ่ยขึ้น
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ “มีประตูใหญ่ไม่ไป เหตุใดต้องไปที่ประตูหลังด้วยเล่า? ”
หรือว่าประตูหน้ามีหมาป่ากัน?
ซูจิ่นซีจำได้ว่าในยุคโบราณข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีสถานะและตำแหน่งคือการห้ามผ่านประตูหลัง เนื่องจากประตูหลังถูกสงวนไว้สำหรับผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยหรือคนรับใช้เท่านั้น
แม่นมฮวาไม่สามารถอธิบายถึงสถานการณ์ทางประตูใหญ่ได้ จึงรีบหาข้อแก้ตัว
“พ่อบ้านได้นำรถม้าไปจอดไว้ที่ประตูหลังแล้ว พระชายา ประตูทางด้านหลังมีระยะทางใกล้กับประตูวังมากกว่าเพคะ”
ซูจิ่นซีเป็นผู้ที่ฉลาดเฉียบแหลม นางรู้ว่าแม่นมฮวากำลังปิดบังบางอย่างกับนาง นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร? ที่ประตูใหญ่จะต้องมีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางยิ่งต้องการไปดูว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“ให้พ่อบ้านนำรถม้ามาที่ประตูใหญ่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ไม่ได้ไกลกว่ากันมากเท่าไร ข้ารอหน่อยก็ได้ วันนี้ออกนอกจวนก็เพื่อการใหญ่ คนมากมายล้วนจับตามองอยู่นะ! หากข้าออกทางประตูหลัง ผู้คนจะกล่าวกันว่าอย่างไร? ”
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็ไม่รอให้แม่นมฮวาตอบกลับ นางเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ทันที
แม่นมฮวาเห็นว่าคำพูดของตนเองกลับตาลปัตรเสียแล้ว จึงร้อนรนราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อน
จะทำอย่างไรกันเล่าทีนี้?
มีคนมากมายรออยู่หน้าประตูใหญ่ พวกเขาทั้งหมดต่างมาหาพระชายาเพื่อฟังคำอธิบาย
หากพระชายาเดินออกไปเช่นนี้ แล้วบังเอิญปะทะเข้ากับพวกเขาพอดี คงเดินออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน!