ทว่าในท้ายที่สุดซูจิ่นซีก็ไม่ได้ทำอันใดเลย
หลังจากที่เฝ้ารอให้เงาของเยี่ยโยวเหยาหายไป นางก็ระงับความโกรธไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ วางรายการเครื่องปรุงยาลงบนโต๊ะ และหันหลังกลับออกจากตำหนักฝูอวิ๋น
“พระชายา แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยเสวยยาของท่านแล้วอาเจียนเป็นโลหิตไม่หยุดเลย ท่านคิดหาวิธีจัดการเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
พอซูจิ่นซีออกมาจากประตู พ่อบ้านก็รีบมาที่หน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋นทันที
สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปในทันที ล้วนไม่พูดสิ่งใด ก้าวเท้ายาวโดยไม่ยั้งฝีเท้าวิ่งออกไปจากเรือนชิงโยว
แม่นมฮวากับลวี่หลีที่รออยู่ที่ประตูตลอดก็รีบตามไป
พ่อบ้านตกใจเมื่อได้รับสาส์นนี้ เดิมทีเขามาเพื่อรายงานเรื่องนี้ให้เยี่ยโยวเหยาได้รับทราบ ไม่คิดว่าจะได้พบกับซูจิ่นซีที่อยู่หน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋น ดังนั้นจึงถือโอกาสบอกซูจิ่นซีด้วยเลย
พ่อบ้านมองไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซูจิ่นซีที่ประตูเรือนชิงโยวแล้ว ได้แต่ส่ายหัวด้วยความกังวล หลังจากที่รอทหารอารักขารายงานจึงสามารถเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น
พอซูจิ่นซีวิ่งมาถึงที่หน้าประตูจวนโยวอ๋อง แม่นมฮวาและลวี่หลีก็ตามนางมาด้วย ซูจิ่นซีขึ้นไปบนรถม้าที่แม่นมฮวาเตรียมเอาไว้ ทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังหนานย่วน ระหว่างทางซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเมื่อเสวยยาพูเอ๋อร์หมิ่นนั่นแล้ว เหตุใดจึงทำให้คนอาเจียนเป็นโลหิตได้
“ซูจิ่นซี เจ้าให้ยาอะไรกับเสด็จป้าของข้ากันแน่? เจ้าช่างเป็นฆาตกรที่โหดเหี้ยม เจ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีกหรือ หัวใจของเจ้าทำด้วยสิ่งใดกัน? ”
ทันทีที่ซูจิ่นซีก้าวเข้าไปในประตู เว่ยเหม่ยเจียก็ร้องไห้ต่อว่าด่าทอออกมา
ซูจิ่นซีไม่สนใจเว่ยเหม่ยเจียโดยสิ้นเชิง มุ่งตรงเข้าไปในห้องด้านในของเฉินไท่เฟยเพื่อตรวจชีพจรของนาง
เนื่องด้วยเฉินไท่เฟยอยู่ในอาการที่แย่จากการอาเจียนเป็นโลหิตมากจนเกินไป ใบหน้าของนางจึงซีดราวกับกระดาษ พื้นและเตียงเต็มไปด้วยโลหิต
“ซูจิ่นซี เลิกแสดงได้แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าก็คือขยะทางการแพทย์ที่ไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับการรักษาแม้แต่น้อย ทว่ายังแสร้งเป็นหมอและวินิจฉัยชีพจร เจ้าไม่มีความสามารถนั้นโดยสิ้นเชิง หากว่าเสด็จป้าเป็นกระไรไปละก็ ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
“ซูจิ่นซี เจ้าคนสารเลว เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ไสหัวออกไป! ”
“หุบปากแล้วไสหัวออกไป! ”
การแสดงออกของซูจิ่นซีนั้นจริงจังมาก นางตวาดเสียงเย็นและไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง นางตัดสินใจหยิบเข็มเงินในถุงยาออกมาด้วยความเร็วที่แข่งกับเวลา และเริ่มฝังเข็มให้กับเฉินไท่เฟย
เว่ยเหม่ยเจียไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะเป็นลูกพลับที่อ่อนนุ่ม ทว่าคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะดุนางจนทำให้นางตัวสั่นด้วยความตกใจ
เดิมทีเว่ยเหม่ยเจียตกใจกลัวเพราะอาการของเฉินไท่เฟยที่อาเจียนเป็นโลหิต กอปรกับซูจิ่นซีที่ตวาดนางเมื่อครู่ ทำให้น้ำตานางไหลอาบลงมา
ทันใดนั้นเว่ยเหม่ยเจียก็ก้าวไปข้างหน้าคว้าแขนของซูจิ่นซีที่ถือเข็มเงินอยู่
“ซูจิ่นซี เจ้าคนสารเลว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? รอเสด็จป้าหายแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์นี้โดยสิ้นเชิง ข้าบอกให้เจ้าไสหัวออกไป ออกไป ”
ในเวลานี้ อาการป่วยของเฉินไท่เฟยอันตรายมาก ในฐานะหมอ ซูจิ่นซีไม่สามารถรอช้าได้เลย ประกอบกับสถานการณ์ที่วิกฤตเช่นนี้ สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือสมาชิกในครอบครัวที่จงใจหาเรื่องก่อกวนอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี นางสลัดมือของเว่ยเหม่ยเจียทิ้ง
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนออกไปให้หมด! ”
ทุกคน?
ไม่กี่คนที่อยู่ตรงนั้น ต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับเยี่ยโยวเหยาที่เพิ่งเดินเข้าประตูมา พวกเขาล้วนต้อนรับเยี่ยโยวเหยาแทบไม่ทัน
ในบรรดาทุกคนทั้งหมดก็รวมท่านอ๋องด้วยใช่หรือไม่?
พระชายาอ๋องผู้นี้ช่างกล้าเหลือเกิน
พวกนางมองไปยังซูจิ่นซีอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่ซูจิ่นซีที่กำลังฝังเข็มให้กับเฉินไท่เฟยอย่างรวดเร็วและสงบ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของโลกภายนอกไม่สามารถเข้ามาในโสตประสาทของนางได้เลย
“ในทุกคนของเจ้าก็รวมข้าด้วยใช่หรือไม่? ”
เสียงที่เย็นชาและโกรธเกรี้ยวของเยี่ยโยวเหยาพูดขึ้น
“หากไม่อยากเห็นเฉินไท่เฟยต้องสวรรคตก็ออกไปให้หมด! แล้วปิดประตูด้วย”
ซูจิ่นซีไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย นางสอดเข็มเงินเข้าไปในจุดฝังเข็มหลักของเฉินไท่เฟยอย่างชำนาญ
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเบิกกว้างขึ้นทันที มือของเขาที่ไพล่อยู่ข้างหลังค่อยๆ กำแน่น ผู้คนต่างก็รู้สึกถึงรังสีสังหารในร่างของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นเทาหมอบลงกับพื้นทีละคนๆ
แม้แต่เว่ยเหม่ยเจียยังตกใจจนหน้าซีด ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมาสักประโยค
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน รังสีสังหารรอบกายของเยี่ยโยวเหยาก็ค่อยๆ ลดลง เขาไม่ได้ลงโทษสิ่งใดต่อซูจิ่นซีที่ไม่ให้เกียรติเขาในที่สาธารณะ ทำเพียงหันหลังกลับและเดินออกไปอย่าง ‘เชื่อฟัง’
ทุกคนล้วนมองไปที่เงาด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาอย่างคาดไม่ถึง ทว่าก็ไม่กล้าที่จะล่าช้าแม้แต่น้อย ต่างลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
น้ำตาบนใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียราวกับไข่มุกที่แตกสลาย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของเฉินไท่เฟยหรือว่าอิจฉาที่เยี่ยโยวเหยาให้ความอดทนกับซูจิ่นซีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม้แต่นางก็ยังไม่กล้าฝันที่จะร้องขออภัยต่อเรื่องที่เกินความคาดหมายเช่นนี้
“ซูจิ่นซี ทางที่ดีเจ้าควรภาวนาขอให้เสด็จป้าไม่เป็นไรดีกว่า มิเช่นนั้น อย่าโทษข้าแล้วกัน ในเมืองตี้จิงแห่งนี้มีผู้ที่ต้องการชีวิตเจ้าไม่น้อยเลย! ”
เมื่อนางพูดจบก็ออกจากประตูไปด้วยท่าทีที่โกรธจัด “ปัง” เสียงประตูปิดลง
ซูจิ่นซีขังตนเองและเฉินไท่เฟยไว้ด้านในนานกว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ออกมา ทุกคนต่างก็เฝ้ารออยู่ด้านนอก
เมื่อพบว่าเฉินไท่เฟยอาเจียนเป็นโลหิต เว่ยเหม่ยเจียก็ได้ให้คนไปตามหมอหลวงในวังมา ทว่าทันทีที่ได้ฟังว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีผู้เป็นที่โปรดปรานของโยวอ๋องช่วงนี้ หมอหลวงก็บ่ายเบี่ยง กลัวว่าจะเป็นปัญหา เกรงว่าจะเดือดร้อน ไม่มีผู้ใดยอมมาสักคน ในท้ายที่สุดแล้วหมอหลวงฉู่ที่คอยวินิจฉัยให้เฉินไท่เฟยมาตลอดก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ จำต้องมา
“หมอหลวงฉู่ เหตุใดท่านจึงเพิ่งมาเล่า? ”
พอเข้ามาที่ประตูก็ถูกเว่ยเหม่ยเจียถามขึ้นทันที
“พระสนมในวังป่วยกะทันหันขอรับ ดังนั้นจึงล่าช้า ขอประทานอภัยท่านอ๋องและคุณหนูเว่ยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้อาการของไท่เฟยเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ก่อนหน้านี้เสด็จป้าอาเจียนเป็นโลหิตตลอดเวลา หลังจากซูจิ่นซีมาก็ให้พวกข้าออกมาหมดเลย เหลือแค่นางผู้เดียวด้านในนั่น ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรพวกเราไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้”
เว่ยเหม่ยเจียร้องไห้ไปพูดไป
“ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ที่ไท่เฟยเสวยยาไม่เหมาะสมเข้าไปนั้นคือยาใด สามารถนำมาให้ข้าน้อยดูได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ หมอหลวงฉู่จึงไม่กล้าที่จะเอ่ยถามตรงๆ ว่าซูจิ่นซีสั่งยาใดให้เฉินไท่เฟยเสวย ทำได้เพียงสอบถามอย่างสงวนท่าที
เว่ยเหม่ยเจียชังน้ำหน้าซูจิ่นซีขึ้นใจ เฝ้าภาวนาว่าหมอหลวงฉู่จะวินิจฉัยออกมาว่าอาการของเฉินไท่เฟยเป็นเช่นนี้เพราะทานยาของซูจิ่นซีจึงรีบไปนำยาที่ซูจิ่นซีทิ้งไว้ให้เฉินไท่เฟยก่อนหน้านี้ แล้วนำมาให้หมอหลวงฉู่
หมอหลวงฉู่มองดูอยู่นาน ทว่ากลับมองเนื้อความไม่ออก
“คุณหนูเว่ย ท่านแน่ใจหรือว่ายานี้เป็นยาที่พระชายาอ๋องมอบให้กับเฉินไท่เฟยนะขอรับ? ”
“หมอหลวงฉู่ เสด็จป้าอาเจียนเป็นโลหิตสาเหตุเพราะยานี่หรือไม่? ตกลงยานี้มันคือยากระไร? ”
หมอหลวงฉู่มองดูยาเม็ดเล็กๆ ในมืออีกครั้งอย่างละเอียด บดแล้ววางลงบนปลายนิ้วใช้มือคลำ ดมกลิ่นและลิ้มรส สีหน้าของเขาดูจริงจัง ซักครู่เดียวก็ไม่ได้พูดกระไรออกมาแม้แต่น้อย
“ข้าบอกแล้วไง ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้จะมาจากครอบครัวแพทย์ ทว่าทุกคนล้วนรู้ว่านางไม่เคยได้เรียนรู้ทักษะการแพทย์ของสกุลซูมาก่อนเลย ผู้ที่ไม่เข้าใจการแพทย์จะสามารถมาวินิจฉัยสั่งยารักษาให้คนตามใจตนเองได้อย่างไรกัน! เสด็จพี่เพคะ ท่านรีบไปพาพี่สะใภ้ออกมาดีกว่า! นางอยู่ในนั้นตั้งนานแล้ว อาการของเสด็จป้าจะถูกทำให้ทรมานไปถึงไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้”
เวลานี้เว่ยเหม่ยเจียฟื้นคืนสติ ไม่บุ่มบ่ามเหมือนครั้งที่ไม่ยอมให้ซูจิ่นซีเข้าไปที่ประตูนั้นอีกต่อไป
“หือ? หมอหลวงฉู่ ท่านก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาเพิกเฉยต่อเว่ยเหม่ยเจียและย้อนถามหมอหลวงฉู่
แม้ว่าหมอหลวงฉู่จะเป็นหมอที่สำนักหมอหลวงมาหลายปีแล้ว ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาราชาผู้ชั่วร้ายแล้วก็เหมือนกับผู้อื่นที่รู้สึกขี้ขลาดขึ้นมา
“เรียนท่านอ๋อง ยาที่พระชายาใช้ข้าน้อยไม่เคยเห็นและไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตามหลักแล้วยาชนิดนี้ไม่สามารถให้ผู้ใดใช้ได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะไท่เฟยที่เป็นสตรีสูงศักดิ์”
“หมอหลวงฉู่ ท่านไม่เคยได้กลิ่นไม่เคยพบเห็น ก็ไม่ได้หมายความว่าบางสิ่งจะไม่มีอยู่จริง หรือว่าท่านมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ดี แล้วยังต้องการให้ผู้อื่นเป็นกบในกะลาเหมือนกับท่านอีกหรือ? ”
ทันทีที่คำพูดของหมอหลวงฉู่เอ่ยจบ เสียงแดกดันของซูจิ่นซีก็ดังมาจากห้องด้านใน
“แอ๊ด” เสียงประตูเปิดจากด้านใน ซูจิ่นซีศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางเดินออกมาด้วยดวงตาที่เหนื่อยล้า