ในฐานะสมาชิกของสำนักการแพทย์แผนจีนสมัยใหม่ ไม่ว่าจะอย่างไรซูจิ่นซีก็เคยสวมเครื่องแบบทหารมาก่อนเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการฝึกขั้นพื้นฐานของกองกำลังทหารป้องกันประเทศ ไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ ทว่าก็ไม่ได้ถึงกับว่าอ่อนแอเสียจนเกินไป ไม่มีทางเสียเปรียบหญิงชราตรงหน้านี้ได้แน่นอน
ซูจิ่นซีจับมือแม่นมไว้และจ้องมองอย่างโกรธเคือง “เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด? ”
“ทหาร! ซูจิ่นซีจะทุบตีคนแล้ว ซูจิ่นซีกำลังจะทุบตีคนที่วังวั่นโซ่วแล้ว! โรคโง่ของซูจิ่นซีกำเริบอีกแล้ว! ”
แม่นมไม่สามารถเอากำลังเข้าสู้เพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์อันใดต่อร่างกายของซูจิ่นซีได้เลย นางต่อสู้ดิ้นรนอยู่สองครั้งแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของซูจิ่นซีไปได้ ดังนั้นจึงเริ่มเปิดปากร้องตะโกนโวยวาย
แม่นมนางอื่นที่เหลืออยู่จึงทำการถกแขนเสื้อขึ้น เดินเข้าใกล้ซูจิ่นซีที่ละก้าวๆ ด้วยหน้าตาน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น ซูจิ่นซีสามารถรับมือกับคนคนเดียวได้ ทว่าไม่สามารถรับมือกับคนเป็นกลุ่มได้ไหวอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อคนที่เหลือกำลังจะเข้ามาใกล้ นางจึงพลิกมือตบหน้าแม่นมที่โหวกเหวกโวยวายไปหนึ่งทีอย่างรุนแรง
“ทาสที่เป็นเพียงสุนัขรับใช้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามโยวอ๋องก็เป็นอ๋องผู้เดียวที่ฮ่องเต้พระองค์องค์ก่อนพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ ข้าผู้นี้เป็นพระชายาที่ท่านอ๋องรับเข้ามาในจวนด้วยตนเอง ฐานะและคุณสมบัติก็มิอาจซักถามหรือสงสัยได้โดยง่าย ชื่อเสียงเรียงนามของข้าผู้นี้เป็นชื่อที่ทาสรับใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมาพูดซี้ซั้วก็ได้อย่างนั้นหรือ? ”
แม่นมนางนั้นคาดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าซูจิ่นซีจะกล้าลงมือต่อหน้าไทเฮาในวังวั่นโซ่ว นางถูกซูจิ่นซีตบเข้าที่หน้าจนเวียนหัวเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา
“ซูจิ่นซี เจ้ากล้ามาก เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร? ถึงกล้าดีอย่างนี้… ”
“ยังกล้าเรียก? ในเมื่อเจ้าไม่เคยเรียนว่าควรเรียกชื่อพระชายาอย่างไร วันนี้พระชายาอย่างข้าจะสอนเจ้าเอง”
“เพี๊ยะ! ” ซูจิ่นซีตบหน้าแม่นมอีกครั้ง จนหน้าหันไปมาหลายรอบแล้วล้มลงกับพื้น
คนที่เหลือก็เหมือนกับแม่นม ล้วนไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะลงมือ ทั้งยังหวาดกลัวจะพ่ายแพ้ให้กับน้ำมือของซูจิ่นซี พวกนางล้วนยืนอยู่ห่างจากซูจิ่นซีสองเมตรอย่างเงียบเชียบเพื่อรอโอกาส ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า
ไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะลงมือในวังวั่นโซ่วนี้เลย และไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะทรยศขัดคำสั่งไทเฮา สีหน้าของไทเฮามืดสนิท โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก พระองค์นั่งบนบัลลังก์มองดูทุกอย่างด้วยสายตาเย็นชา
“พวกข้ารับใช้ไม่ได้ความ แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้”
บรรดาแม่นมต่างสั่นสะท้านเมื่อถูกไทเฮาตำหนิ
จากบทเรียนของแม่นมคนก่อนหน้านี้ ไม่เกิดผลดีใดๆ เลยที่พวกนางจะประจันหน้ากับซูจิ่นซี
แม่นมหนึ่งในนั้นกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พวกเราเข้าไปพร้อมกัน! ”
รวมๆ ทั้งหมดมีเจ็ดคน เมื่อดูก็รู้แล้วว่าพวกนางเป็นนางกำนัลที่มีฝีมือในวัง เมื่อบุกเข้าพร้อมกัน ซูจิ่นซีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางอย่างแน่นอน ซูจิ่นซีทำได้เพียงระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม นางถูกประชิดเข้ามุมกำแพงทีละก้าวๆ เพียงแค่พลาดในชั่วพริบตาเดียว ซูจิ่นซีก็จะถูกพวกนางจับกุม แล้วก็หักแขนหักขา วันนี้จะตายเช่นไรก็ยังไม่รู้
น่ากลัวเหลือเกิน!
หญิงสาวกลับมาแข็งแกร่งกล้าหาญขึ้นอีกครั้งภายใต้สถานการณ์ที่หวาดกลัวเช่นนี้ นางหวาดกลัวจนแข้งขาเริ่มอ่อนแรง ใจสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา เหงื่อออกที่ฝ่ามือและแผ่นหลัง ทว่าต่อหน้ากลับกัดฟันแน่น กล้าหาญอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
“ไทเฮา ท่านคิดดีแล้วหรือเพคะ? ท่านส่งคนไปยังจวนโยวอ๋องเพื่อรับข้าเข้ามาในวังด้วยตัวของท่านเอง หากวันนี้ข้าตายที่นี่ ท่านวางแผนที่จะอธิบายกับโยวอ๋องของข้าว่าอย่างไรเพคะ? ”
ข้อต่อรองที่ใหญ่ที่สุดของซูจิ่นซีในวันนี้ คนที่เป็นที่พึ่งได้มากที่สุดนั่นก็คือเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นนางต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อนำไพ่ตายอย่างเยี่ยโยวเหยามาบัญชาการให้ได้มากที่สุด นางตั้งใจลงน้ำหนักว่า “ท่านอ๋องของข้า” ทั้งสี่คำนี้
ทว่าไม่คิดว่าไทเฮาจะชื่นชมสีเล็บอันหรูหราบนมือของตนเอง โดยไม่สนใจข้อต่อรองของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
“ในวังมีผู้ที่มีอุบายมากมาย หลายปีมานี้พวกนางล้วนทุ่มเทความรักให้กับโยวอ๋องแต่กลับไม่สำเร็จ มีสตรีนับไม่ถ้วนที่ต่างริษยาซูจิ่นซีจนกลายเป็นปีศาจ ซูจิ่นซี เจ้าตายแน่ ยังจะมีผู้ใดสามารถพิสูจน์ให้โยวอ๋องเห็นว่าตัวข้าเป็นคนฆ่าเจ้า? ”
จิตใจอำมหิต วิธีการช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก
ซูจิ่นซีได้เปิดประสบการณ์แล้ว ‘ราชวังเป็นสถานที่ที่กินคนแล้วไม่คายนี่เอง’
สมองของนางคิดอย่างรวดเร็วถึงแผนการรับมือ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เจ้าหัวเราะอะไรของเจ้า? ”
รอยยิ้มที่ชั่วร้ายของซูจิ่นซีทำให้ไทเฮารู้สึกราวกับว่าแม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่เย็นชายังต้องล่าถอยให้ ใจของพระองค์สั่นเทาโดยไม่มีเหตุผล
“ไทเฮา แน่นอนว่าข้าหัวเราะเยาะคนโง่เขลาเช่นท่าน! ท่านมีเป็นพันๆ วิธีที่จะทำให้ข้าตาย ทว่ามีเหตุผลเดียวที่จะฆ่าข้า ท่านคิดว่าการลงมือฆ่าข้าที่วังวั่นโซ่วในวันนี้ หลังจากนั้นจะโยนความผิดให้ผู้อื่นเป็นตัวตายตัวแทนท่าน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกความจริงกับโยวอ๋องได้ใช่หรือไม่? โยวอ๋องเป็นคนเช่นไร? ท่านประเมินเขาต่ำเกินไปแล้วกระมัง? ”
โยวอ๋องผู้บ้าคลั่ง มีวิธีการป่าเถื่อน ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นไทเฮา แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็ยังหวาดกลัวโยวอ๋องไม่น้อยเลย
คำพูดของซูจิ่นซีเป็นการเตือนไทเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย อันที่จริงไทเฮาก็กลัวเขาอยู่แล้ว ทว่าก็เกลียดชังซูจิ่นซียิ่งนัก คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถรักษาขาของเฉินไท่เฟยหญิงสารเลวนั่นให้หายได้
ต้องรู้ก่อนว่า ครั้งนั้นเพื่อที่จะได้เป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อที่จะจัดการกับเฉินไท่เฟยหญิงสารเลวนั้นได้ เพื่อที่จะทำให้ลูกชายของตนเองได้นั่งบนบัลลังก์ นางใช้สติปัญญาไปไม่น้อย
ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเฉินไท่เฟยจะมีแผนการซ่อนอยู่ลึกๆ ทว่าเนื่องจากขาที่พิการทั้งสองข้าง ทำให้นางก้าวเดินไม่ถนัด นางจึงไม่สามารถก้าวข้ามคลื่นลูกใหญ่ [1] ไปได้ ดังนั้นจึงเป็นการรักษาไว้ซึ่งสมดุลภายนอกระหว่างวังวั่นโซ่วกับหนานย่วน
ทว่าซูจิ่นซีรักษาขาของเฉินไท่เฟยให้หายดีแล้ว ไทเฮาเกลียดที่สุด! ฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจถึงความโกรธแค้นในใจนาง วันนี้นางจะต้องกำจัดซูจิ่นซีให้ได้
สำหรับโยวอ๋องนั้น… รอฆ่าซูจิ่นซีเสร็จแล้ว นางค่อยหาวิธีทำให้เขาสงบ นางไม่เชื่ออยู่แล้วว่าโยวอ๋องจะเย็นชาและไร้ความรู้สึก จากที่ไม่เคยเข้าใจว่าการอ่อนโยนทะนุถนอมต่อสตรีคือสิ่งใด ทว่าเพื่อสตรีเพียงผู้เดียว เขาจะสามารถปฏิบัติกับไทเฮาอย่างไร
“พวกไร้ค่า เหตุใดจึงยังไม่รีบลงมืออีก! ”
ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม่นมทั้งเจ็ดคอยจ้องหาโอกาสเข้าหาซูจิ่นซีช้าๆ อีกครั้งอย่างคนโฉดชั่ว “แคว่ก” หนึ่งในแม่นมนั้นฉีกหงหลิงออกมาจากแขนของนางหนึ่งผืน บนหงหลิงใช้เข็มปักลายอย่างละเอียดบางๆ ติดแน่นอยู่บนเส้นขีดแดง มันส่งแสงระยิบระยับไปทั่วทำให้วังที่มืดสลัวสว่างสุกใสเป็นประกายอย่างมาก
ซูจิ่นซีทราบดีว่าสิ่งนั้นมีไว้สำหรับทำสิ่งใด เพียงแค่เอามารัดรอบคอของคน เข็มก็จะปักเข้าที่คออย่างแน่นอน ตายได้ในชั่วพริบตา
โตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีรู้ว่าที่แท้เข็มเย็บผ้าก็น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่น ตามองนักฆ่าทั้งเจ็ดที่ยิ่งเข้าใกล้ตนเองมากขึ้น ผีทวงชีวิตทั้งเจ็ดนับวันก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่า ทันใดนั้น…
“ปู้ด… ปู้ดปู้ด… ปู้ดปู้ดปู้ด… ”
“ป้าด… ป้าดป้าด… ป้าดป้าดป้าด… ”
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ลมเริ่มแรงแล้ว?
ฟ้าร้องแล้ว?
ไม่! ไม่! ไม่!
เป็นแม่นมทั้งเจ็ดคนนั่นเอง!
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทันทีที่กำลังจะลงมือจัดการกับซูจิ่นซี หลังจากที่พวกนางผายลม คาดไม่ถึงว่าแต่ละคนก็ต่างพากันอุจจาระราด
“โอ้ย เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ”
“โอ้ย… ”
“โอ้ย โอ้ย… ”
“โอ้ย โอ้ย โอ้ย… ”
แม่นมทั้งเจ็ดวิ่งกระจัดกระจายหน้าตั้งในห้องโถง ดูยุ่งเหยิงวุ่นวาย พวกนางผายลมและปัสสาวะราดไปตามๆ กันเป็นระลอก
ไทเฮารักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง และยังมีนิสัยรักความสะอาดที่มากเกินไปด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นจะมีตระกูลผู้ดีคนใดที่ทนให้เหล่าข้ารับใช้ทำอย่างนี้ต่อหน้าตนเองได้ นางรับไม่ได้เป็นที่สุด
“โอ้ย พวกเจ้ากำลังทำอันใด? พวกเจ้า… พวกเจ้าช่างน่าขยะแขยงเสียจริง เหม็นจะตายอยู่แล้ว… ”
“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ! โอ้ย… ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว… ”
“ปู้ด… ป้าด… ”
“ออกไป ออกไป ออกไปให้พ้นจากตัวข้า รีบออกไป… ทหาร เรียกคนมาลากตัวออกไปสังหาร สังหารให้หมด! ”
ไทเฮายกมือปิดจมูก หลบซ่อนอยู่หลังเก้าอี้ ขยะแขยงเป็นอย่างมาก
พระองค์ออกคำสั่งเสียงเย็น เหล่าองครักษ์กว่าสิบนายที่แข็งแรงและทรงอำนาจก้าวเข้าประตูมา ถึงแม้ว่าหน้าของแต่ละนายจะเต็มไปด้วยความรังเกียจและสะอิดสะเอียน ทว่าก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะปิดจมูก พวกเขาลากแม่นมทั้งเจ็ดออกไปอย่างคล่องแคล่ว
เสียงผายลม เสียงจากการกลั้นอุจจาระไม่อยู่และเสียงวิงวอนร้องขอความเมตตาดังระงมไปทั่ว
ไทเฮาไม่อาจทนเหม็นกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนในห้องโถงได้ จึงไม่สนใจเรื่องที่จะฆ่าซูจิ่นซี พระองค์หมุนตัวเข้าไปห้องด้านในทันที
ซูจิ่นซีปิดปากปิดจมูกแน่นยืนอยู่ตรงมุมห้อง นางมองไปรอบๆ โดยไม่มีผู้ใดสนใจและเดินออกไปนอกประตูที่อยู่ใกล้อย่างระมัดระวัง
เดิมทีซูจิ่นซีนึกว่าจะย่องออกไปจากวังได้ ทั้งยังสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น ทว่า…
……