ทั้งสามคนกลับมานั่งที่เดิมก่อนหน้านี้
ซูจิ่นซีรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
เถ้าแก่แนะนำกำไลข้อมือนี้ด้วยรายละเอียดสั้นๆ รู้เพียงว่ากำไลข้อมือถูกส่งผ่านมาจากวังหลังของอาณาจักรฉินที่ยิ่งใหญ่ และมันก็มาถึงมือของเถ้าแก่ตลาดมืดโดยบังเอิญ ทว่ารายละเอียดที่ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของนั้นยังคงไม่รู้ประวัติที่แน่ชัด
“การประมูลราคาของกำไลข้อมือเส้นนี้ไม่เหมือนกับของสองสิ่งก่อนหน้า ทว่าเป็นแบบกำหนดราคา” เถ้าแก่พูด
“เหตุใดของสิ่งนี้จึงใช้วิธีกำหนดราคา? ”
“กฎของการประมูลก่อนหน้านี้คือ ผู้ใดให้ราคาสูงสุดก็จะได้ของสิ่งนั้นไป ทว่าการกำหนดราคาประมูล ก็คือราคาของสิ่งนั้นได้กำหนดไว้ก่อนการประมูลแล้ว”
“นี่มันวิธีการประมูลอันใดกัน? ”
“ใช่! นี่ยังเรียกว่าการประมูลอีกหรือ? เช่นนั้นทำไมไม่เอาไปวางขายตามตลาดเล่า! ”
ท่ามกลางความสงสัยและความขัดแย้งของผู้คน เถ้าแก่ยังคงใจเย็นและยิ้มอย่างเป็นมิตร “ที่ทุกท่านพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทว่าในเมื่อกำไลข้อมือนี้มาอยู่ในการประมูลที่ตลาดมืดของข้า ก็ต้องทำตามที่การประมูลตลาดมืดของพวกเราออกกฎมา ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดแล้วว่ากำไลข้อมือปี่อั้นนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนกำไลปกติทั่วไป! ”
“ใช่สิ เจ้าเคยพูดแล้วก็จริงอยู่ เพียงแต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการกำหนดราคาประมูลที่เจ้ากล่าวถึงอย่างไร? ”
“เถ้าแก่ ท่านพูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า! อย่าอ้อมค้อมนักเลย กำไลข้อมือวงนี้มีคุณสมบัติพิเศษใดที่ไม่เหมือนกำไลปกติทั่วไป ข้ามองดูมันก็แค่กำไลทองแดงวงหนึ่งไม่ใช่หรือ? เพียงแค่มีดอกปี่อั้นที่สลักไว้ด้านบนให้ดูมีความพิเศษนิดหน่อย หรือว่ามันจะกลายเป็นดอกปี่อั้นที่เบ่งบานได้จริงบนถนนหวงเฉวียน [1] หรือไม่? ”
“ไม่ไม่ไม่! ” เถ้าแก่ส่ายหัว “ลักษณะพิเศษที่ว่าก็คือ กำไลข้อมือนี้มีจิตวิญญาณและมันสามารถรับรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของมัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใส่ได้? ”
อะไรนะ?
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? คาดไม่ถึงว่ากำไลข้อมือสามารถจดจำเจ้าของได้?
ไม่เคยได้ยินเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนเลย!
ที่งานประมูลมีสตรีมากมาย พวกนางล้วนไม่ทราบว่าจะต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อทดลองสวมใส่กำไลบนข้อมือของตนเอง
“ทุกท่าน สิ่งของชิ้นที่สาม กำหนดราคาการประมูลไว้แล้วเริ่มได้ กำไลข้อมือปี่อั้นนี้กำหนดราคาที่หนึ่งล้านตำลึง ในสนามตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนสามารถขึ้นมาด้านบนเวทีเพื่อลองสวมได้ ขอเพียงกำไลนี้ยอมรับผู้ใดเป็นเจ้าของ มันก็จะตกเป็นของคนผู้นั้น สำหรับผู้ที่ไม่สามารถจ่ายหนึ่งล้านตำลึงได้ สามารถออกจากโรงประมูลได้เลย”
เถ้าแก่ประกาศเริ่มการประมูลของชิ้นที่สามอีกครั้งและพูดจาอย่างชัดเจน
กำไลธรรมดาวงหนึ่งล้วนมองไม่ออกว่ามีความพิเศษที่ใด และยังเป็นเพียงกำไลทองแดง ทว่ากลับเรียกเงินถึงหนึ่งล้านตำลึง หลายคนก็คิดว่าไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้แม้จะถูกดึงดูดด้วยกำไลข้อมือนั้น ทว่าก็ไม่สามารถหาเงินได้มากถึงหนึ่งล้านตำลึง ทันใดนั้นผู้คนในสนามประมูลมากกว่าครึ่งก็จากไป
สุดท้ายจึงเหลือคนอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสาม แต่ละคนขึ้นไปที่เวทีเพื่อลองสวมกำไลตามลำดับการแนะนำของเจ้าหน้าที่การประมูล ทว่าแต่ละคนล้วนต้องก้มหัวคอตกด้วยความขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่ากำไลข้อมือไม่ยอมรับ
“เถ้าแก่ อย่างไรก็ตามท่านควรบอกก่อนว่ากำไลข้อมือวงนี้มีวิธีใดที่สามารถยอมรับเจ้าของได้! พวกเราลองไปทีละคนเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดที่ตรงมาตรฐานสักคน แล้วผู้ใดจะทราบว่ากำไลข้อมือวงนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษเช่นการยอมรับเจ้าของได้จริง ไม่ใช่ว่าท่านพูดจาไร้สาระกระมัง? ”
บางคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากกำไลข้อมือ ก็พูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“พวกเจ้าสามารถมาที่ตลาดมืดได้ก็ต้องรู้กฎของที่นี่เช่นกัน โดยเฉพาะสนามประมูลของข้า ที่ความจริงใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากเจ้าไม่เชื่อคนเฒ่าอย่างข้า ก็สามารถออกไปตอนนี้ได้เลย”
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
บุรุษผู้นั้นถอนหายใจอย่างเย็นชาแล้วโบกมือจากไป ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนตามเขาไป ยิ่งเหลือคนน้อยเข้าไปอีก
รอจนวินาทีสุดท้าย ทุกคนที่ขึ้นไปทดลองสวมกำไลบนเวทีก็ล้วนประสบกับความล้มเหลว ผู้คนจึงเริ่มสงสัยว่าเถ้าแก่ผู้นี้คงจะเป็นพวกที่หลอกลวงผู้อื่น ทว่ารูปลักษณ์ที่จริงจังของเขาไม่ได้ดูเหมือนเสแสร้งนี่!
“ทุกท่าน ยังมีผู้ใดต้องการขึ้นมาลองอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว วันนี้สิ่งของชิ้นที่สามนี้ก็เท่ากับว่าการประมูลล้มเหลว และข้าผู้เป็นเจ้าของโรงประมูลจะรับของล้ำค่านี้กลับคืน หากทำให้ทุกท่านได้รับความเสียหาย เมื่อถึงเวลานั้นโรงประมูลของข้าจะชดใช้ให้กับทุกท่านเอง”
ตามกฎของโรงประมูลตลาดมืด หากมีการประกาศว่าสินค้าที่ประมูลถูกเรียกคืน โรงประมูลจะต้องชดเชยให้กับแขกที่เข้าร่วมการประมูล
“คุณชายของข้าอยากลองสวม! ”
จู่ๆ ฉินเทียนก็ตะโกนออกมา
ทุกคนต่างมองไปทางเยี่ยโยวเหยา
เมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามของเยี่ยโยวเหยาและรัศมีที่ดึงดูดใจนั้น พวกเขาต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
นี่มิใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ซื้อจื่อจูในราคาห้าล้านสองแสนตำลึงเมื่อสักครู่นี้หรอกหรือ? หรือว่าเขาก็ต้องการกำไลปี่อั้นวงนี้?
ถ้ารวมกันแล้วก็เป็นหกล้านสองแสนตำลึง!
เขาเป็นผู้ใดกัน!
มีเงินมากถึงเพียงนี้?
ภายใต้สายตาของทุกคนต่างมองไปยังเยี่ยโยวเหยาที่กำลังก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างเย็นชา
นับตั้งแต่ที่กำไลข้อมือปี่อั้นสามารถดึงดูดความสนใจของเยี่ยโยวเหยาได้สำเร็จและเมื่อเยี่ยโยวเหยาตัดสินใจที่จะครอบครองกำไลข้อมือนี้ให้ได้ ซูจิ่นซีก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก นางเฝ้าแต่คิดสงสัยเกี่ยวกับเหตุผลที่เยี่ยโยวเหยาต้องการกำไลข้อมือนี้ จนไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดในการประมูลครั้งนี้เลย ทว่าเมื่อครู่ที่ฉินเทียนตะโกนว่าเยี่ยโยวเหยาอยากจะลองกำไลข้อมือวงนั้น นางก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและมองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินขึ้นไปบนเวที โดยที่นางไม่อาจคลาดสายตาจากร่างของเขาเลย
ซูจิ่นซีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า วันนี้สายตาที่นางมองเยี่ยโยวเหยานั้นมีความกล้าหาญเพียงใด ก่อนหน้านั้นนางไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เพราะความรู้สึกผิดและความอับอายกับเรื่องที่นางทำในสวนหลังจวนสกุลซู ทำให้เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา นางจึงไม่เคยกล้าที่จะมองเขาโดยตรงได้เลย
“คุณชายท่านนี้ เชิญ! ”
เถ้าแก่ยื่นกำไลข้อมือปี่อั้นให้เยี่ยโยวเหยาด้วยความเคารพ
เยี่ยโยวเหยารับกำไลข้อมือมา ทว่าไม่ได้ลองสวม แต่เขากลับทำเพียงยืนถือกำไลแล้วมองดูอยู่นาน
นานจนเถ้าแก่ส่งเสียงกระตุ้นไปหลายครั้ง ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน
และนานจนคนด้านล่างเริ่มที่จะประท้วงแล้ว
“กำลังมองอันใดอยู่เล่า? สวมสิ! เจ้าจะต้องลองสวมกำไลจึงจะสามารถรู้ได้ว่ามันยอมรับหรือไม่! ”
“สวมสิ! ยังจะลองอยู่หรือไม่? ”
“ไม่ลองก็ลงมา! เสียเวลาคนอื่นเขา”
……
นานจนซูจิ่นซีเริ่มที่จะเป็นห่วงแล้ว
ทันใดนั้น…
เยี่ยโยวเหยาก็สวมกำไลลงบนข้อมือของเขา
เวลาที่กะทันหันนี้ไม่มีผู้ใดคาดคิดไว้เลย ทุกคนต่างก็คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ลองสวมแล้วเสียอีก
“สวมแล้วใช่หรือไม่? ”
“กำไลยอมรับหรือไม่? ”
จากระยะสายตาของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย และเมื่อมองไปทางผู้คนก็บังเอิญถูกเยี่ยโยวเหยาบังไว้พอดี กอปรกับกำไลข้อมือนั้น หากมันยอมรับแล้ว ทุกคนจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นความอยากรู้ของทุกคนก็เพิ่มขึ้น พวกเขาต่างยืนขึ้น เงยศีรษะและชูคอเพื่อมองดูบนข้อมือของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีก็อยากรู้เช่นกัน
“ยังไม่ยอมพูดอีก! ”
“คนผู้นั้นเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เกิดมาก็หน้าตาดีสง่างาม มองไปแล้วก็ดูเป็นผู้ที่มีฐานะ เหตุใดถึงไม่ยอมพูดกันเล่า? เป็นใบ้หรือไม่? ”
ทุกคนไม่สามารถหาคำตอบได้ และพวกเขาเริ่มจะเร่งเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง
“บังอาจ! ”
ทันใดนั้นฉินเทียนก็รีบเดินไปทางคนที่บอกว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นใบ้และคว้าคอของเขา คนผู้นั้นอ้อนวอนในทันที “คุณชายท่านนี้ โปรดยั้งมือ โปรดยั้งมือ ข้าเอ่ยวาจาไร้สาระไปเอง โปรดยั้งมือ! ”
“นับว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอด! ”
ฉินเทียนโยนชายผู้นั้นออกไป
หากเป็นเวลาปกติ คนผู้นั้นจะต้องตายแล้ว ทว่าวันนี้ ที่นี่เป็นตลาดมืด และตลาดมืดก็มีกฎของมันเช่นกัน หากผู้ใดถูกฆ่าหรือทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้เลือดที่นี่ ผู้นั้นก็จะเป็นศัตรูกับคนของตลาดมืดทั้งหมด ถือว่ามีโทษมากจนกระทั่งสามารถถูกคนของตลาดมืดตามฆ่าได้เลยทีเดียว
ไม่ใช่ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่สามารถแตะต้องตลาดมืดได้ ทว่าเมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้แล้ว การจะแก้ไขปัญหานั้นเป็นไปได้ยาก ฉินเทียนไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเยี่ยโยวเหยา
ช่วงขณะหนึ่งที่ความสนใจของผู้คนถูกรบกวนด้วยสถานการณ์เมื่อครู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนพลาดโอกาสที่จะได้เห็นว่าเกิดอันใดขึ้นบนเวที เมื่อพวกเขามองดูอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาก็ได้ถอดกำไลข้อมือออกและมอบคืนให้เถ้าแก่แล้ว
“เถ้าแก่! กำไรยอมรับแล้วหรือไม่? ”
ผู้คนล้วนอยากรู้อยากเห็นเสมอ