สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 192 เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าผิดตรงไหน?

บทที่ 192 เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าผิดตรงไหน?

ณ สำนักศึกษาเหวินชาง เด็กชายสามคนวัยราว ๆ สิบปียืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ลู่ฉาวอวี่ที่ตัวเล็กกว่ายืนหน้าอึมครึมอยู่ข้าง ๆ มู่เจิ้งหานยืนถัดจากลู่ฉาวอวี่ จมูกของเขาฟกช้ำ ใบหน้าบวมตุ่ยดูไม่ได้

ผางซื่อที่ซื่อสัตย์จริงใจเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ต้องโทษข้าที่ไม่เข็มงวดกับพวกเขา”

“ผางซื่อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านออกไปก่อนเถอะ”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์เหวิน”

เหวินอวี่เซวียนยืนอยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ มองพวกเขานิ่ง ๆ

“เหตุใดต้องต่อยตีกัน?”

ไม่มีเด็กคนไหนเปิดปาก

“เจิ้งหาน เจ้าบอกข้ามา” เหวินอวี่เซวียนเรียกมู่เจิ้งหาน

มู่เจิ้งหานตาแดงก่ำ อธิบายทุกสิ่งอย่างโดยละเอียด

เด็กเหล่านี้ล้วนอาศัยอยู่ในเมือง พวกเขาต้องไปกลับบ้านทุกวันย่อมได้ยินเรื่องเหลวไหลมาจากข้างนอก เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่ก็พูดจาหยาบคายใส่

ลู่ฉาวอวี่เรียนเก่งแต่นิสัยเย็นชา หลาย ๆ คนเกลียดเขาเป็นทุนเดิม ตอนนี้จึงถือโอกาสทำให้เขาอับอายโดยการพูดจาแย่ ๆ ใส่เขา

เห็นได้ชัดจากท่าทีของเด็กเหล่านั้นว่ามู่เจิ้งหานเพียงแต่ยกประเด็นสำคัญขึ้นมา ไม่ได้กล่าวเกินความเป็นจริงแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าสามคน นับแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ใช่ศิษย์ของสำนักศึกษาเหวินชางของข้าอีก” เหวินอวี่เซวียนเอ่ยนิ่ง ๆ “กลับไปเก็บข้าวของแล้วกลับไปเถอะ!”

“ท่านอาจารย์” ทั้งสามคนตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “นี่เป็นสิ่งที่คนข้างนอกเขาพูดกัน พวกเราไม่ผิดนะขอรับ”

“ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหวินชาง ไม่อนุญาตให้ต่อยตีกัน ไม่อนุญาตให้ว่าร้ายสหายร่วมเรียน ไม่อนุญาตให้เข่นฆ่ากัน ถึงแม้ต่อไปออกจากสำนักศึกษาเหวินชางแล้ว พวกเจ้าก็ยังต้องรักษากฎนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ต้องพูดว่าเป็นศิษย์ของข้า วันนี้พวกเจ้าล้วนทำผิดร้ายแรง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็นศิษย์ของข้าอีกต่อไป”

“เช่นนั้นเขาเล่า? ตั้งแต่ลู่ฉาวอวี่คนนี้มา ใจของท่านอาจารย์ก็เริ่มโอนเอนไป ในเมื่อไล่พวกเราไป เหตุใดไม่ไล่เขาไปด้วย?”

ลู่ฉาวอวี่ได้ยินเช่นนั้นก็มองเหวินอวี่เซวียนอย่างกระวนกระวายใจ

เหวินอวี่เซวียนเอ่ยอย่างสงบ “ในฐานะลูกชาย หากมารดาของเขาถูกคนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ แล้วยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เช่นนั้นเขาก็ไม่คู่ควรเป็นลูกศิษย์ของข้า อย่างไรเสียที่ต้องทำโทษก็ต้องทำโทษ พวกเจ้าสองคนถูกทำโทษให้ไปทำความสะอาดห้องน้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือน”

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ยุติธรรม”

“ท่านอาจารย์ ท่านได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้งเถอะ พวกเราไม่กล้าทำอีกแล้ว”

สีหน้าของเหวินอวี่เซวียนราบเรียบ ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ข่าวลือว่าร้ายจะยุติลงได้เพราะผู้มีปัญญา ดูจากทัศนคติของพวกเจ้า ถึงแม้พวกเจ้าจะเล่าเรียนจนครบถ้วนกระบวนความก็ไม่อาจเป็นขุนนางที่ชาญฉลาด จะทุกข์ร้อนไปเพื่ออะไร กลับไปเถอะ!”

สำนักศึกษาเหวินชางมีศิษย์มากมาย เด็กเหล่านี้แอบโผล่หัวออกมามองดู เมื่อได้รู้ผลลัพธ์ก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่อาจารย์กล่าวว่า ‘สหายร่วมเรียนไม่เข่นฆ่ากัน’ ไม่ใช่คำพูดเรื่อยเปื่อยอย่างแน่นอน

เด็กเกเรเหล่านั้นไม่ยินยอมจากไป

แต่ไม่นานนัก เมื่อครอบครัวของพวกเขาได้ยินข่าวคราวก็รีบรุดมา หลังจากพยายามอ้อนวอนขอร้องเหวินอวี่เซวียนอย่างหนักก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ สุดท้ายจึงต้องพาพวกเขากลับไป

“ฉาวอวี่ เจิ้งหาน มาใส่ยาเร็ว” ผางซื่อเข้ามาพร้อมกับท่านหมอ

ในห้องตำรา เหวินอวี่เซวียนมองดูหนังสือบันทึกตรงหน้าเขา

หนังสือบันทึกนี้แสดงผลการเล่าเรียนของลู่ฉาวอวี่ไม่กี่เดือนมานี้

นี่เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดจริงเชียว แต่น่าเสียดายที่บรรยากาศรอบตัวมืดมนเกินไป

ตรงกันข้าม ถึงแม้มู่เจิ้งหานจะไม่ฉลาดมากพอ แต่เขาก็เป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม เด็กอย่างนี้จะต้องกลายมาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ อุทิศชีวิตเพื่อราษฎรแน่

ก๊อก ๆ

“เข้ามา” เหวินอวี่เซวียนปิดหนังสือบันทึก

ลู่ฉาวอวี่เดินก้มหน้าเข้ามา ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเหวินอวี่เซวียน

“ไม่ยอมรับการลงโทษของข้าหรือ?”

เมื่อเห็นอีกฝ่าย เหวินอวี่เซวียนก็เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

ลู่ฉาวอวี่คุกเข่าลง โขกหัวคำนับเหวินอวี่เซวียน “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่คืนความยุติธรรมให้ศิษย์”

เหวินอวี่เซวียนเลิกคิ้ว สายตาของเขาฉายความประหลาดใจ

ถึงแม้เวลาที่พวกเขารู้จักกันจะไม่นานนัก ทว่าเขาก็มองจิตใจของลู่ฉาวอวี่ออก เด็กคนนี้ดื้อดึง ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง นอกจากมู่เจิ้งหานที่เป็นน้าแท้ ๆ ของเขาแล้วก็ไม่แยแสคนอื่นแม้แต่น้อย

เดิมทีคิดว่าเขาจะไม่พอใจ นึกไม่ถึงว่าจะมากล่าวขอบคุณ

“ถึงแม้จะพอให้อภัยได้ แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เจ้าทำผิดกฎของสำนักศึกษา ไม่อาจมีครั้งต่อไปอีก หากมีครั้งหน้า ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ข้าก็ไม่อาจเก็บเจ้าไว้ได้”

“ศิษย์อยากกลับไปดูคนที่บ้านขอรับ” ลู่ฉาวอวี่ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขอลาหยุด “ท่านอาจารย์ได้โปรดอนุญาต”

“ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน”

“ขอบคุณท่านอาจารย์”

เหวินอวี่เซวียนมองตามหลังลู่ฉาวอวี่จนหายไปจากสายตา หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะก็เปิดหนังสือบันทึกอีกครั้ง แล้วเขียนคำใหม่ลงไปแทนคำที่ถูกขีดฆ่า

กตัญญูรู้คุณ หัวใจเด็กยังสามารถปรับปรุงได้ ไม่เลว…

ณ บ้านตระกูลลู่

มู่ซืออวี่มองไปข้างนอก ทว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของลู่อี้

ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว หากยังไม่กลับมาอีก วันนี้เกรงว่าคงไม่กลับมาแล้ว

ทว่าพอนางเพิ่งให้อาหารไก่เสร็จ กำลังจะกลับเข้าบ้านไปเตรียมอาหารเย็น เสียงของเกือกม้าก็ดังขึ้น นางรีบหันหน้ากลับไป จับจ้องรถม้าทีกำลังเคลื่อนเข้ามาในบ้าน จือเชียนส่งยิ้มทักทายเป็นคนแรก

“ฮูหยิน พวกเรากลับมาแล้วขอรับ”

หลังจากจือเชียนลงจากรถม้า เขาก็รีบเอาที่รองเหยียบออกมาทันที

ลู่อี้เดินลงมา จากนั้นก็จูงลู่ฉาวอวี่ลงมาจากรถม้า

“เหตุใดฉาวอวี่จึงกลับมาแล้ว? ยังไม่ถึงเวลา…” เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของลู่ฉาวอวี่ มู่ซืออวี่พลันเงียบเสียงลง

ลู่ฉาวอวี่ลอบมองนาง เห็นนางเข้าไปในครัวก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่อนคลายหรือต้องรู้สึกเครียด

ลู่อี้เข้าไปในครัวก็เห็นมู่ซืออวี่หน้านิ่วคิ้วขมวด จึงม้วนชายแขนเสื้อขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อยากให้ข้าทำอะไรหรือเปล่า?”

“อ้อ วันนี้กินเปี๋ยงเปี๋ยงเมี่ยน*[1] กันเถอะ”

“เปี๋ยงเปี๋ยงเมี่ยนคืออะไร?”

มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ “อีกเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง ฉาวอวี่ตีกับเด็กในสำนักศึกษามาหรือ? เขาไม่ได้ถูกรังแกใช่หรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูโล่งใจทันทีที่ได้ยินบทสนทนาด้านใน

ที่แท้นางก็เป็นห่วงเขา…

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ลู่เซวียนก็เป็นผู้ล้างจาน

วันนี้มู่ซืออวี่ไม่มีอารมณ์จะหยิบจับงานบ้านจริง ๆ เมื่อคิดถึงบาดแผลของลู่ฉาวอวี่ นางก็ลังเลใจอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายจึงเดินไปเคาะประตู

“ใครหรือ?”

“แม่เจ้าเอง”

“อ้อ”

มู่ซืออวี่เปิดประตูออก เห็นลู่ฉาวอวี่กำลังเล่นกระดานต่อภาพ นางจึงเดินเข้าไปหา

นางเป็นคนทำกระดานต่อภาพให้ แต่ไม่เคยเห็นเขาเล่นมาก่อน นึกว่าเด็กคนนี้จะไม่ชอบมันเสียอีก ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างชอบเล่นทีเดียว

“ผู้ใดรังแกเจ้า? น้าของเจ้าไม่ช่วยหรือ?”

“ช่วยแล้ว เขาก็โดนตีเช่นกัน”

ลู่ฉาวอวี่หยุดต่อแผ่นภาพ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองนาง “ท่านอยากด่าข้าก็ด่าข้าเถอะ”

“เจ้าชนะหรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

มู่ซืออวี่เห็นเขาไม่ตอบก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “น้าของเจ้าชนะหรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

มู่ซืออวี่เห็นเขาเป็นอย่างนี้ก็เริ่มโกรธขึ้นมา “ต่อยตีแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ไม่ชนะหรือ ถึงจะไม่ชนะ เจ้าไม่รู้จักวิ่งหนีหรือไร หน้าตาปูดบวมเช่นนี้ หากเสียโฉมขึ้นมาจะทำอย่างไร”

ลู่จือเชียนที่แอบฟังอยู่ข้างนอกมุมปากกระตุก

วิธีคิดของฮูหยินพวกเขาช่างพิลึกพิลั่นจริง ๆ

“อีกเดี๋ยวหากเจ้ากลับมาพัก เจ้าไปเรียนวิชาตัวเบาจากจือเชียน เรียนวรยุทธ์จากลุงเซี่ยด้วย เด็กผู้ชายแม้กระทั่งต่อยตียังไม่ชนะ หากภายหน้ามีคนรังแกน้องสาวเจ้า เจ้าจะปกป้องนางได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าจะไปหาท่านหมอจู ซื้อยามารักษาแผลเจ้าเสียหน่อย”

“ผางซื่อทายาให้ข้าแล้ว” ลู่ฉาวอวี่รั้งนางไว้ “ต่อไปข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้”

“นี่สิถึงจะถูก” มู่ซืออวี่ย้ำเช่นนี้มาเสมอ “ไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าจะเก่งกล้าเพียงใดก็ต้องมีวันที่เขาแก่เฒ่า พอเขาแก่แล้วยังปกป้องเจ้าได้หรือ เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นสิ”

ลู่อี้ “…”

ดูเหมือนในสายตาของฮูหยิน เขายัง ‘แข็งแกร่ง’ ไม่พอ!

[1] เปี๋ยงเปี๋ยงเมี่ยน คือบะหมี่ที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลฉ่านซี เส้นบะหมี่หนายาวเหมือนเข็มขัด มักผลิตขึ้นเองด้วยมือ คำว่า เปี๋ยงเปี๋ยง ออกเสียงคล้ายเสียงเส้นบะหมี่กระทบโต๊ะที่ใช้นวดเส้นบะหมี่

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย
Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายเรื่องย่อ: 'มู่ซืออวี่ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกตัวร้ายแบบนี้ เห็นทีจะต้องร้ายตามบทถึงจะมีชีวิตรอด แต่ลูกชายคนโตของนางกลับจับผิดได้ตั้งแต่วันแรก หากไม่อยู่ในบทเดิม เกรงว่าผู้คนจะคิดว่าวิญญาณสิงสู่ ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ มู่ซืออวี่จึงต้องเริ่มภารกิจแกล้งร้ายให้ครอบครัวตัวร้ายตายใจ จะว่าไป ลูกน้อยของนางก็ช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใครจะไปใจร้ายใส่เด็กสองคนนี้ลง มู่ซืออวี่ตัดสินใจแล้วว่า ใครที่กล้าแกล้งวายร้ายตัวน้อยของนาง จะต้องโดนสั่งสอนเสียให้เข็ด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset