บทที่ 15 นี่เป็นครั้งสุดท้าย
บทที่ 15 นี่เป็นครั้งสุดท้าย
มู่ซืออวี่สระผมให้ลู่จื่ออวิ๋นจนเหงื่อออกไปแล้วรอบหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไว้อย่างดีก็เปียกชุ่มไปหมด นางจึงต้องอาบน้ำด้วย
“เสี่ยวอวิ๋น น้ำนี่ไม่ร้อนแล้ว เจ้าเอาฟืนไปเติมที่เตาหน่อย” เพิ่งจะเทน้ำรดผมให้เปียกก็พบว่าน้ำไม่ร้อนแล้ว นางจึงเรียกลู่จื่ออวิ๋น
ลู่เซวียนแย้งขึ้นว่า “นางยังเด็กอยู่ เจ้าให้นางไปต้มน้ำร้อน หากมันลวกนางขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ท่านอา ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำได้”
ลู่จื่ออวิ๋นมีความสุขที่ได้ยินมู่ซืออวี่สั่ง เจ้าตัวน้อยดีใจจนแก้มขึ้นริ้วแดงระเรื่อ แววตาเต็มไปด้วยประกายสดใส
ลู่อี้หยิบฟืนที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดู
“เสี่ยวอวิ๋น เดี๋ยวอาจุดไฟเอง” ลู่เซวียนยันร่างกายของตนขึ้นแล้วเดินไปหา
“ท่านอา ท่านกระหายน้ำหรือ? จุดไฟไม่ได้ยากเลยเจ้าค่ะ ข้าทำได้”
ลู่จื่ออวิ๋นใช้แขนเสื้อเช็ดแก้มจนเผยใบหน้าแดงระเรื่อ นางไม่ทันสังเกต ยังคงเติมฟืนลงในเตาเช่นเดิม
“ไม่ใช่ว่านางมักจะรังแกข่มเหงเจ้ารึ เรื่องแบบนี้ยังเรียกให้เจ้าทำ เหตุใดเจ้ายังดูมีความสุขอยู่เล่า?” ลู่เซวียนไม่เข้าใจ
เด็กคนนี้นิสัยดีเกินไปแล้ว
แววตาของลู่จื่ออวิ๋นเปล่งประกายสว่างสดใสราวกับดวงดาวอันพร่างพราวก็ไม่ปาน
“เมื่อก่อนนางเคยเรียกข้าว่ายัยตัวเหม็น คนขี้แพ้ ไอ้สารเลว แต่ตอนนี้นางเรียกข้าว่าเสี่ยวอวิ๋น นางสระผม อาบน้ำ และยังถักผมให้ข้าด้วย ท่านอา ท่านแม่เริ่มชอบข้าแล้วใช่หรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นมองไปที่ลู่เซวียนอย่างคาดหวัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตานี้ ก้อนหินที่ปิดกั้นหัวใจของเขาก็พังทลาย ชายหนุ่มเริ่มแสบจมูก น้ำตาอุ่น ๆ เอ่อคลอรอบดวงตา
เขาเกลียดผู้หญิงที่อยู่ด้านนอกนี้มาก
ลู่อี้เดินมาจากทางด้านหลัง หยิบหินเหล็กไฟและเหล็กกล้าขึ้นมาเพื่อจะสอนลู่จื่ออวิ๋น “นี่คือวิธีจุดไฟที่ถูกต้อง”
“ท่านพี่” ลู่เซวียนเรียกลู่อี้ “ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเล่นกลอุบายอะไร ตอนนี้นางดีกับเสี่ยวอวิ๋นมาก หากทำร้ายเสี่ยวอวิ๋นขึ้นมาอีก นางจะทนได้หรือ?”
“ไม่เป็นไร” สายตาของลู่อี้ดูไม่แยแส “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
เขาจะให้โอกาสมู่ซืออวี่เป็นครั้งสุดท้าย หากนางสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นได้ เขาจะยอมให้นางเป็นแม่ของเด็ก ๆ ต่อไป แต่หากว่ายังคงทำร้ายเด็ก ๆ อยู่ เขาจะไล่ไสหัวนางออกไป อย่าให้ได้มาพบเจอกับพวกเขาอีก
ฉะนั้น นี่ก็คือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะถูกทำร้าย
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ฟังดูไม่เหมือนกับเสียงของลู่จื่ออวิ๋น มู่ซืออวี่ที่กำลังสระผมอยู่อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง นางเห็นร่างสูงของลู่อี้เดินมาพร้อมกับถังน้ำร้อน
“ท่าน…” มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร “ขอบคุณ”
ลู่อี้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นำน้ำร้อนเทใส่ลงไปในถังเดิมของมัน จากนั้นก็เดินออกมา
มู่ซืออวี่ถอนหายใจ
กลิ่นอายของผู้ชายคนนั้นดูแข็งแกร่งเกินไป แค่เข้ามาใกล้ ๆ ก็ทำให้นางประหม่าได้แล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นก้าวเท้าเล็ก ๆ เข้ามาแล้วส่งน้ำมันแต่งผมให้ “ท่านพ่อเคยให้ข้าไปซื้อ ยังเหลืออยู่นิดหน่อย ข้าให้ท่านใช้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” มู่ซืออวี่พูดพลางหัวเราะ “ผมของข้าเยอะเช่นนี้ ขวดเล็ก ๆ แบบนี้ใช้ไม่พอหรอก ทั้งยังต้องเก็บไว้ให้เจ้าใช้อีก ผมของเสี่ยวอวิ๋นนุ่มแบบนี้ หลังจากที่สระผมเสร็จแล้วต้องทำให้ทั้งหอมทั้งสลวยนะ”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มเขินอาย
ลู่ฉาวอวี่กลับมาพร้อมกับผักป่าบนหลัง บนหน้าปรากฏรอยเขียวคล้ำ บดบังใบหน้าอันหล่อเหลาไปเสียหมด
“ฉาวอวี่ เจ้าไปตบตีทะเลาะวิวาทกับใครมา?” ลู่เซวียนจับไหล่เด็กน้อยไว้ขณะที่ถาม “ใครต่อยเจ้า?”
ลู่ฉาวอวี่ปริปากพูดออกมาด้วยความอึดอัดใจ “ข้าหกล้มขอรับ”
“แผลแบบนี้เรียกว่าหกล้มรึ ด้านบนยังมีรอยนิ้วมืออยู่เลย” ลู่เซวียนไม่เชื่อ
“ข้าบอกว่าหกล้มก็คือหกล้ม อย่ามากความไปเลยขอรับ”
ลู่ฉาวอวี่ผลักฝ่ามือของลู่เซวียนออกแล้ววางกระจาดลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนเอง
เมื่อมู่ซืออวี่สระผมเสร็จ นางก็เช็ดผมพร้อมกับมองตามแผ่นหลังของลู่ฉาวอวี่อย่างครุ่นคิด
“เจ้ามองอะไร เด็กดี ๆ ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เจ้ามีความสุขรึ?”
ลู่เซวียนโกรธเมื่อเห็นมู่ซืออวี่ แม้ว่าตอนนี้นางจะสงบลงแล้ว แต่เขาก็คิดว่านางแค่เสแสร้ง ทั้งยังรู้สึกว่าน่ารำคาญอีกต่างหาก
มู่ซืออวี่ได้แต่นิ่งเงียบ “…”
คนวัยนี้ไม่เพียงแค่ป่วยร่างกาย แต่จิตใจยังป่วยอีกด้วยหรือ นางไม่ได้ทำอะไรก็ยังดูถูกนาง จากมุมมองของนางนั้น เขาดูเหมือนกับคนที่อยู่เหนือสุดของพวกวายร้ายไม่มีผิด
“ท่านพี่…” ลู่จื่ออวิ๋นถือยาทาไปเคาะประตูห้องของลู่ฉาวอวี่ “ท่านพี่ ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
ลู่ฉาวอวี่ปฏิบัติต่อใครทุกคนด้วยความเย็นชา แต่หากเป็นน้องสาวคนนี้ เขาจะแปรเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนโยน เขาสามารถปฏิเสธได้ทุกคน แต่ไม่อาจปฏิเสธลู่จื่ออวิ๋นได้
แล้วก็เป็นไปตามนั้น ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูแล้วยื่นมือออกมาหยิบยาทาจากลู่จื่ออวิ๋นก่อนจะพูดว่า “ข้าทาเอง”
“เจ้าทาเองไม่ได้หรอก หรือจะให้ข้าทาให้?” มู่ซืออวี่โผล่ออกมาจากด้านหลัง นางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ลู่ฉาวอวี่ “ถึงจะแหกปากร้อง ข้าก็จะไม่หัวเราะเจ้าหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
“ใครจะร้องกัน ข้าไม่ร้อง” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองมาที่นาง
“เจ้าไม่ให้เข้าไปเพราะกังวลว่าพวกข้าจะได้ยินเสียงร้องของเจ้าสิท่า ไอ้หยา ข้าเข้าใจ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นแค่เด็ก กลัวเจ็บสินะ อยากจะแอบร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียว ข้าเข้าใจหมดนั่นแหละ” มู่ซืออวี่แสดงสีหน้าว่า ‘ข้าเข้าใจ’
“เหลวไหล” ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูแล้วเดินออกมาในที่สุด
ลู่เซวียนอ้าปากค้าง
ผู้หญิงใจร้ายคนนี้รู้วิธีหลอกล่อเด็กด้วยรึ?
ลู่อี้ที่กำลังมองอยู่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
พวกเขาแต่งงานมาก็หลายปีแล้ว แม้ว่าจะไม่คุยกับนาง แต่นางดูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ รอยยิ้มและบทสนทนาในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ และขี้อายควรจะมี
ภายในห้อง ลู่ฉาวอวี่นั่งลงพร้อมทั้งหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายก็ยอมให้มู่ซืออวี่ทายาลงบนใบหน้าแต่โดยดี
“เด็กสมัยนี้ไร้ประโยชน์จริง ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหกล้มลงตรงไหน บางที่นั้นนอกจากจะเจ็บแล้วมองไม่เห็นแผล ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรอก” มู่ซืออวี่ทายาพลางหันไปถามลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ “เสี่ยวอวิ๋น เจ้ารู้หรือไม่ว่าตรงไหนที่มองเห็นการบาดเจ็บได้น้อยที่สุดเวลาหกล้ม? แม้แต่ท่านหมอก็มองไม่เห็น ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ลู่จื่ออวิ๋นส่ายหัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น “การหกล้มก็ต้องมีแผลสิเจ้าคะ การหกล้มไม่สามารถระมัดระวังได้ ทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วย”
“การหกล้มของคนทั่วไปไม่อาจควบคุมได้หรอก แต่การหกล้มของท่านพี่เจ้าควบคุมได้ คราวหน้าเจ้าจะล้มที่นี่…” มู่ซืออวี่สะกิดจุดฝังเข็มหลายจุดของลู่จื่ออวิ๋น “ที่นี่ด้วย ไม่เจ็บอย่างแน่นอน”
แววตาของลู่ฉาวอวี่เปล่งประกายไปด้วยแสงอันพร่างพราว
เด็กชายครุ่นคิดตามที่มู่ซืออวี่พูด
ลู่เซวียนที่อยู่ด้านนอกฟังการสนทนาด้านใน และเมื่อเขาได้ยินมู่ซืออวี่หลอกล่อลู่ฉาวอวี่ก็ถึงกับโกรธขึ้นมา เขากำลังจะเข้าไปห้ามแต่กลับถูกรั้งแขนไว้ เมื่อหันไปก็เห็นว่าเป็นลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
“ท่านพี่ จะให้ผู้หญิงคนนั้นสอนฉาวอวี่ให้เป็นคนเลวไม่ได้นะ”
“เขาเป็นผู้ชาย” ลู่อี้พูดขึ้นมาเบา ๆ “เด็กผู้ชายที่ไหนสู้ไม่เป็นบ้าง”
หากพูดถึงนิสัยใจคอของลู่อี้ขึ้นมาอีกครั้งก็ทำให้เข้าใจได้ยิ่งขึ้น ลู่อี้จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ก่อนอย่างแน่นอน เมื่อมีความขัดแย้งกับผู้อื่น เก้าในสิบครั้งคืออีกฝ่ายหนึ่งลงมือกับเขาก่อน ที่เหลือนั้นหากอีกฝ่ายทำให้เขาขุ่นเคืองขึ้นมา เขาจึงจะลงมือเอง