บทที่ 357 เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก
บทที่ 357 เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก
“ข้ากลับมาเอาของ” อันอี้หางกล่าวจบ เขาก็เอ่ยกับอันอวี้ “พี่จะส่งเจ้ากลับ”
“ไม่ต้องล่ะ ท่านพี่” นางส่ายหัว “ข้ากลับเองได้”
อันอี้หางไปส่งน้องสาวที่ประตู แล้วกล่าวว่า “ภายหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าส่งคนมาเรียกข้าที่สำนักบัณฑิตก็พอ แล้วข้าจะมาเอง”
“เดี๋ยวท่านก็ต้องสอบขุนนางแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ข้าไม่อยากให้ท่านมาพะวง ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้ว”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องโหดร้ายอะไรอีก อันอวี้ก็ไม่สนใจแล้ว นางไม่ใช่แม่นางน้อยที่ถูกจูงจมูกง่าย ๆ อีกแล้ว
“น้องเขยดูแลเจ้าได้ดียิ่งนัก” อันอี้หางเอ่ย “พี่วางใจแล้ว”
หลังจากอันอวี้จากไป อันอี้หางก็กลับไปที่ห้องของอวี้ซื่อ เขากล่าวนิ่ง ๆ ว่า “ท่านแม่ ต่อไปหากท่านต้องการสิ่งใดก็ให้มาหาข้า ไม่ต้องไปรบกวนน้องสาวข้า นางแต่งออกไปแล้ว นางมีชีวิตของนางแล้ว”
“นางเป็นลูกสาวข้า ต่อไปจะไม่ติดต่อกับข้าแล้วหรือ?” คนเป็นแม่รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“หากท่านยังเป็นเช่นนี้ รังแต่จะทำให้นางหมดเยื่อใยเสี้ยวสุดท้ายกับครอบครัว นางเป็นลูกสาวของท่าน ไม่ใช่คนรับใช้ที่ท่านสั่งอะไรก็ต้องทำตาม”
…
อันอวี้กลับไปยังร้านสาวทอผ้า
ฟ่านอวี๋ประหลาดใจ “เหตุใดเจ้ากลับมาแล้วเล่า? อาการของแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นาง…” อันอวี้หลุบตาลง “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อาจารย์ ข้ามาสายไปพักหนึ่ง ดังนั้นวันนี้ข้าจะกลับช้าเสียหน่อย ข้าจะต้องตามทันอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฟ่านอวี๋เห็นอันอวี้มีเรื่องหนักใจก็อดที่จะกังวลไม่ได้
ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนเสื้อฟ่านอวี๋ “อาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ แม่ของน้าอันมักจะวุ่นวายอยู่เรื่อย ครั้งนี้นางอาจโกหกน้าอันตามเคย ไม่ต้องสนใจนางหรอกเจ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้ช่างลำบากจริง ๆ” ฟ่านอวี๋พูดขึ้น
“เดิมทีเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้มีท่านลุงเซี่ยที่รักนางแล้ว นางไม่เป็นทุกข์แม้แต่น้อย” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“เจ้านี่นะ อายุยังน้อย เหตุใดจึงมีความคิดมากมายเช่นนี้” ฟ่านอวี๋บีบแก้มของลู่จื่ออวิ๋น “งานที่ได้รับมอบหมายวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง? นำมาให้ข้าดูซิ”
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะคิกคักแล้ววิ่งกลับไปยังกรอบผ้าที่ตนกำลังปักอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์” ฮั่วอวิ๋นซิ่วในฐานะศิษย์คนโตของฟ่านอวี๋ นางติดตามฟ่านอวี๋ไปยังที่ต่าง ๆ มามากมาย
แน่นอนว่านางรับรู้หลาย ๆ เรื่องของอาจารย์
ในมืออวิ๋นซิ่วตอนนี้ถือผ้าสองพับไว้
“นี่เป็นผ้าที่ท่านอาจารย์เหวินให้มาเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์เหวินกล่าวว่า เขามีสหายที่ทำการค้าเกี่ยวกับผ้า ไม่นานมานี้จึงได้รับผ้าหายากมาหลายพับ นี่เป็นตัวอย่างที่เขานำมาให้อาจารย์ดูเจ้าค่ะ”
ฟ่านอวี๋รับมาด้วยรอยยิ้ม ความอ่อนโยนปรากฏในแววตาของนาง
“ขอบคุณเขาหรือยัง?”
“ขอบคุณแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม”
นางลูบผ้าเหล่านั้นอย่างทะนุถนอม
ฮั่วอวิ๋นซิ่วมองฟ่านอวี๋อย่างเป็นกังวล
ในฐานะคนนอก ฮั่วอวิ๋นซิ่วรู้สึกว่าไม่ควรค่าที่ฟ่านอวี๋จะทำเช่นนี้
เหตุใดนางต้องมาเสียเวลาหลายปีให้กับบุรุษที่ไม่รู้จักความรักระหว่างชายหญิงเช่นเขา เห็นได้ชัดว่านางสามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้ ไม่ใช่ชีวิตที่มองไม่เห็นอนาคตเช่นนี้
การสอบฤดูใบไม้ร่วงเดือนแปดเวียนมาถึง ลู่เซวียนและอันอี้หางต่างก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าสอบ
เพื่อที่จะได้ดูแลลู่เซวียนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลู่อี้จึงให้จือเชียนคอยติดตามน้องชายเขาเพื่อดูแลเรื่องที่จำเป็นทั่วไป
ฉู่หลิงมองลู่เซวียนขึ้นไปบนรถม้าและรีบยัดยันต์แผ่นหนึ่งใส่มือเขา “ข้าไปที่วัดเพื่อขอสิ่งนี้มาเชียวนะ เจ้าพกติดตัวเอาไว้”
“ขอบคุณสหายฉู่” ลู่เซวียนกล่าว “ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็อย่าไปสนใจคนในสำนักบัณฑิตเหล่านั้นเล่า”
“ข้ารู้แล้วน่า” ฉู่หลิงเอ่ยรับ “ข้าไม่ได้โง่นะ คนที่พูดจาเรื่องเจ้าเสีย ๆ หาย ๆ ตอนนี้ก็มีไม่มากแล้ว ขอแค่เพียงพวกเขาไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะไม่วุ่นวาย ข้าว่าง่ายใช่หรือไม่?”
อันอี้หางและลู่เซวียนเดินทางไปด้วยกัน
อวี้ซื่อดึงอันอี้หางไปกล่าวกำชับเรื่องต่าง ๆ ราวหนึ่งพันเรื่องได้
เซี่ยคุนและอันอวี้ก็อยู่ข้าง ๆ เช่นกัน
หลังจากรถม้าของพวกเขาเคลื่อนออกไป อวี้ซื่อหันกลับมาก็พบว่าเซี่ยคุนได้พาอันอวี้กลับไปแล้ว
สีหน้าของอวี้ซื่อแดงก่ำด้วยความโกรธ “ลูกสาวพอแต่งออกไปแล้วก็เหมือนสาดน้ำทิ้ง มีลูกสาวมีแต่ขาดทุน คำกล่าวนี้ไม่ผิดจริง ๆ นี่ดีนะที่ข้ายังมีลูกชาย”
อันอวี้ที่นั่งอยู่ในรถม้ามองอวี้ซื่อยืนบ่นพึมพำ ถึงแม้นางจะไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยสิ่งใด แต่แค่สีหน้าก็พอเดาได้ว่าไม่ใช่ถ้อยคำที่ดีนัก
“อยากกลับไปหรือ?” เซี่ยคุนเอ่ยถาม “อยากให้คนขับย้อนกลับไปหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น” คนถูกถามส่ายหัว นางกอดแขนของเซี่ยคุนเอาไว้ “หมู่นี้ท่านยุ่งยิ่งนัก ไม่ได้กลับมาบ้านนานแล้ว”
เซี่ยคุนคว้ามือของอันอวี้ เขาใช้นิ้วเกลี่ยหลังมือนางเบา ๆ “ข้ากลับมา เพียงแต่กลับมาดึกเกินไปจึงไม่อยากรบกวนเจ้า ข้าจึงไปนอนอยู่ห้องข้าง ๆ และออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เจ้าจึงไม่เห็น”
“เช่นนั้นคืนนี้กลับมานอนที่ห้องเถอะ ข้าไม่กลัวเสียงดัง” เขาไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว พอนางอยู่บ้านที่ไม่มีคน จิตใจจึงโหวงเหวง
เซี่ยคุนยอมรับปาก
เขาให้เวลาอันอวี้คิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรามามากพอแล้ว ในเมื่อนางไม่เสียใจ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ปล่อยนางให้หลุดมืออีก
“อันอวี้”
“หืม”
“เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง? หากข้ากลับไปที่ห้อง เช่นนั้นเราทั้งคู่ก็จะไม่ใช่สามีภรรยาเพียงในนามอีกต่อไปแล้ว”
อันอวี้นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
นางเงยหน้ามองเซี่ยคุน
แววตาของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความปรารถนา สื่อให้เห็นว่าอีกฝ่ายอยากจะครอบครองนางมากเพียงใด
เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถม้าหยุดลง
“ฮูหยินเซี่ย ถึงร้านสาวทอผ้าแล้วขอรับ!” คนขับตะโกนเข้ามาจากข้างนอก
อันอวี้ดิ้นหลุดจากมือที่เกาะกุมของเซี่ยคุน นางโน้มตัวไปจุมพิตบนแก้มของเขา จากนั้นจึงพรวดพราดลงจากรถม้า
“ระวัง…” เมื่อเห็นอันอวี้กระโจนลงจากรถม้า เซี่ยคุนก็ตกใจ เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้านางไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ
ตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับกระต่ายน้อยตื่นกลัวที่หายตัวไปในพริบตา
เซี่ยคุนหัวเราะ
เขาแตะแก้มตนเองเบา ๆ ความยินดีฉายชัดอยู่ในแววตา
“อันอวี้ นี่เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วถามด้วยความกังวล “มีคนตามเจ้ามาหรือ?”
อันอวี้รีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่มี”
“เช่นนั้นเจ้า…”
“ศิษย์พี่หญิงฮั่ว ท่านไม่รู้กระมัง?” หญิงปักผ้าตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มกริ่มแล้วกล่าวว่า “นายท่านเซี่ยเพิ่งมาส่งนางเมื่อครู่นี้เอง”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงตื่นตกใจเช่นนี้เล่า?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วถามต่อ
“โธ่ ศิษย์พี่หญิงฮั่ว รอท่านมีคนที่ชอบก็จะรู้เอง”
“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเจ้ามีคนที่เจ้าชอบแล้วหรือ?” หญิงปักผ้าตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยกระเซ้าขึ้นมา
ดูเหมือนฮั่วอวิ๋นซิ่วจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว นางเอ่ยอย่างขบขัน “เอาล่ะ เลิกพูดจาเลอะเทอะได้แล้ว รีบทำงานเถอะ!”
ณ เรือนกรุ่นฝัน มู่ซืออวี่รับตั๋วเงินจำนวนสามร้อยตำลึงมา นางเอ่ยกับลู่เจินเจินที่นำเงินปันผลมาส่งให้ “เจ้ายังมีคำพูดใดที่ยังไม่ได้กล่าวอีกหรือไม่? พวกเราคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้แต่เจ้ากลับลังเลที่จะเอ่ย”
“ข้าหมั้นแล้ว”
“จริงหรือ? ครอบครัวไหน?” มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
“ครอบครัวที่มีร้านขายของชำอยู่ในเมือง” ลู่เจินเจินกล่าว “เขาชอบมาทานช่วนช่วนที่ร้านเรา ไม่นานเขาก็ตกหลุมรักข้า พ่อแม่ของข้าคิดว่าเขาก็ไม่เลว จึงรับปากไปแล้ว”
“เช่นนั้นยินดีด้วย” มู่ซืออวี่กล่าว “พริบตาเดียวพวกเจ้าก็เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ!”
“อืม” ลู่เจินเจินพยักหน้า “วันแต่งงานที่ถูกกำหนดไว้คืออีกครึ่งปี”
“ถึงตอนนั้นข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน” มู่ซืออวี่ระบายยิ้ม
หลังจากลู่เจินเจินกลับไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็วางงานในมือลงแล้วบอกจื่อซูกับจื่อเยวี่ยนว่า “วันนี้ข้าไม่ทำงานแล้ว พวกเราไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารสักหน่อยดีกว่า คืนนี้ข้าจะลงมือทำอาหารเอง”
“ฮูหยิน อะไรกระตุ้นท่านให้ลงครัวหรือเจ้าคะ?”
“เจินเจินจะแต่งงานแล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน หมู่นี้ข้ายุ่งอยู่แต่กับงาน ไม่ได้ใช้เวลากับลูกนานแล้ว ถึงแม้ว่าลูกแต่ละคนจะยุ่งก็เถอะ แต่อย่างไรก็ต้องใช้เวลาร่วมกับพวกเขาบ้าง ไม่เช่นนั้นไม่นานหากเด็ก ๆ เติบใหญ่และหวนกลับมาคิดถึงช่วงวัยเด็กของตนจะคิดว่าช่างจืดชืด ถ้าเป็นอย่างนั้นคงน่าเบื่อมากไม่ใช่หรือ?”