สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1411 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1311

“เป็นอุบัติเหตุหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้” เย่ชูหวินเหลือบมองอ้าวเสว่แวบหนึ่ง
อ้าวเสว่ยิ้มแหยไม่พูดไม่จา ตอนนี้ได้แต่ภาวนาอย่าให้ชายหนุ่มสองคนนี้จับผิดอะไรได้เลย
““เฮ้ ผมจะขึ้นไปดูตัวล็อคข้างบนสักหน่อย” เย่เนี่ยนโม่หันไปที่บนชั้นวางเพื่อจะปีนขึ้นไป อ้าวเสว่จิตใจกระสับกระส่าย ถ้าหากว่าเย่เนี่ยนโม่ไปถึงที่ราวไต่ จะดูออกไหมว่าเงื่อนนั้นเคยถูกคนแกะออกมาก่อน
“แย่แล้ว!ทางมหาวิทยาลัยจะลงโทษยียี!” ไห่โจ๋ซวนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนจากข้างๆ
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วหันไปสบตากับเย่ชูหวิน แล้วก็รีบวิ่งไปที่ห้องสำนักงาน ไห่โจ๋ซวนที่ตามหลังสองคนนั้น ได้ทำท่าทำทางส่งสัญญาณให้กับอ้าวเสว่ อ้าวเสว่รับทราบ ขอเพียงแค่รื้อราวไต่ทิ้งไปก่อนที่เย่ชูหวินกับเย่เนี่ยนโม่จะกลับมา ก็ไม่สามารถมีใครจับผิดได้แล้ว
ที่ห้องสำนักงานอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่ตบเข้าที่โต๊ะอย่างเสียงดัง:คนที่ได้รับบาดเจ็บครั้งนี้เป็นถึงประธานบริษัทเย่ซื่อเชียวนะ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อ ทำให้กิจกรรมกร่อยไปหมด นักศึกษาติงยียีไหนคุณบอกมาสิว่าควรจะทำอย่างไร!”
ติงยียีก้มศีรษะโค้งคำนับ:“ขอโทษค่ะ หนูผิดไปแล้ว” ทั้งแขนซ้ายและแขนขวาถูกดึงจับขึ้นพร้อมกัน
“ถ้าอยากจะขอโทษ ก็เก็บแรงไว้ขอโทษผมดีกว่า” เย่เนี่ยนโม่กล่าวเบาๆ อาจารย์ใหญ่ที่อยู่ข้างๆหันมามองเย่เนี่ยนโม่ด้วยความงงงวย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเย่เนี่ยนโม่คือคุณชายน้อยแห่งบริษัทเย่ซื่อ ไม่กล้าที่จะมีเรื่องด้วย จึงหันหน้าไปมองทางเย่ชูหวิน
“คุณนักศึกษาท่านนี้! เข้ามาที่ห้องอาจารย์ใหญ่ทำไมไม่รู้จักเคาะประตู อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกคุณเป็นใคร!” อาจารย์ใหญ่เห็นเย่ชูหวินไม่พูด น้ำเสียงจึงได้ดังขึ้น
แววตาเย่ชูหวินที่มองอาจารย์ใหญ่ดูเย็นชากว่าปกติถึงร้อยเท่า เมื่อเข้ามาเห็นแล้วท่าทีของเขาที่ดุใส่ติงยียีกับปฏิกิริยาที่มีต่อเย่เนี่ยนโม่ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก จึงดึงติงยียีแล้วก็เดินตรงออกไปที่ประตู
ติงยียีหันหลังอยากจะเดินตามเย่ชูหวิน แต่เหมือนแขนด้านซ้ายถูกกระชากตึงขึ้น จึงต้องชะงักเท้า เย่ชูหวินที่จูงจับติงยียีไว้ได้หันกลับไปมองเย่เนี่ยนโม่
“ปัญหาต้องได้รับการแก้ไข” เย่เนี่ยนโม่เข้าใจดีว่าครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุในงานกีฬา ถ้าหากว่าไม่ทำการแก้ไข เมื่อเรื่องกระจายไปถึงข้างนอกย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงของติงยียี จึงมองดูอาจารย์แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็ถามขึ้น:“อาจารย์ใหญ่ครับ ขออนุญาตถามว่าวิธีการแก้ไขปัญหาครั้งนี้คืออะไรครับ ทางฝั่งผมก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว”
ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่ที่เดิมทีเย็นยะเยือกถึงได้ดีขึ้น แล้วหยิบกฎของมหาวิทยาลัยออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นกล่าวขึ้น:“ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรง แต่ก็ได้ส่งผมกระทบที่ไม่ดีต่องานกีฬา มหาวิทยาลัยของพวกเราเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองตงเจียง ผมจะประกาศลงโทษติงยียี ติดประกาศประจานให้ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย!”
เมื่อเย่ชูหวินฟังจบก็ได้ก้าวเดินมาด้านหน้า มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้ออาจารย์ใหญ่ แววตาจ้องประชิดเข้าใกล้อย่างเยือกเย็น:“พูดใหม่ดิ”
เย่เนี่ยนโม่รีบเดินเข้ามาดึงมือเย่ชูหวินออก แล้วตวาดขึ้นเบาๆ:“นายยังอยากจะให้ติงยียีเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้อยู่ไหม! นายกลายเป็นคนใจร้อนตั้งแต่เมื่อไร!”
เย่ชูหวินปล่อยมืออย่างเดือดดาล อยากหันไปจับติงยียีที่ไม่พูดไม่จา แต่ติงยียีได้หลบไปข้างๆ สีหน้าเย่ชูหวินจึงได้หมองหม่นลง ติงยียีก้าวข้างหน้าสองสามก้าวแล้วกล่าวขึ้น:“ครั้งนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับมหาวิทยาลัยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะต้องยอมรับผลที่ตามมา”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะแก้ไขไม่ได้ในวันนี้ จึงทำได้เพียงหารือกันใหม่ในภายหลัง เย่เนี่ยนโม่ยื่นมืออยากจะจับข้อมือติงยียีเหมือนเมื่อสักครู่แล้วจากไป
ทันทีที่มือยื่นออกไป ติงยียีได้หันตัวเดินไปที่ข้างๆเย่ชูหวินแล้ว จากนั้นใช้มือนั้นดึงแขนเสื้อของเย่ชูหวินไว้ เธอระทึกใจมากแค่ไหนที่สามารถพูดคำพูดเมื่อสักครู่ออกมาได้ ตอนนี้จึงต้องพึ่งเย่ชูหวินเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองสักหน่อย
สายตาของเย่ชูหวินอ่อนโยนขึ้นนื่องจากการกระทำของติงยียี เหลือบตาใส่อาจารย์ใหญ่อย่างเย็นชา แล้วพาติงยียีจากไป
“ในเมื่อนักศึกษาติงยอมรับเองว่าตัวเองผิด อย่างนั้นผมคิดว่าการตัดสินใจนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา” เสียงของอาจารย์ใหญ่ยังคงดังกึกก้องอยู่ที่ใบหู เย่เนี่ยนโม่มองดูมือขวาของตัวเองที่ยังไม่ได้ชักดึงกลับ เมื่อสักครู่ที่ติงยียีหันตัวเดินไปดึงเย่ซูหวินนั้น ความรู้สึกที่แปลกประหลาดในใจคืออะไรกันแน่
รอจนกระทั่งเย่เนี่ยนโม่ก็จากไป จางถังกับเหยนหมิงเย้าถึงได้เดินออกมาจากห้องเล็กที่อยู่ข้างๆ จางถังพูดอย่างไม่พอใจว่า:“พ่อ ทำไมพ่อถึงไม่จัดการเย่เนี่ยนโม่ไปด้วยเลยล่ะ เย่เนี่ยนโม่เป็นประธานสหภาพนักศึกษานะ!”
อาจารย์ใหญ่เองก็ไม่พอใจเช่นกัน ที่ลูกชายของตัวเองอยู่ในห้องเห็นพ่อถูกรังแกแต่กลับเฉยเมย เมื่อออกมาก็ไม่มีแม้แต่คำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยสักคำ เลี้ยงลูกชายคนนี้หวังพึ่งพายามแก่เฒ่า ดูแล้วยังไม่รู้เลยว่าใครจะพึ่งพาใคร
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห อาจารย์ใหญ่ตบหนังสือบนโต๊ะเสียงดังปัง:“หุบปาก รู้ไหมว่าเย่เนี่ยนโม่นั้นเป็นใคร! วันๆรู้จักแต่ซิ่งรถหลงผู้หญิง ถ้ามีเรื่องกับเขา พ่อของแกคงก็ต้องออกแรงหนักขึ้นถ้าต้องการเป็นอาจารย์ใหญ่ไอ้ลูกเวร!”
พ่อโกรธขึ้นแล้ว จางถังก็เลยปอดแหกตาม และน้ำเสียงก็เบาลง:“ช่างเหอะ แกล้งติงยียีก็เหมือนกัน พ่ออย่าเปล่อยติงยียีไปเด็ดขาดนะ! ผมเคยเปิดดูข้อมูลของเธอ ทางบ้านของเธอเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น”
เหยนหมิงเย้าฟังเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองอยู่ข้างๆ เมื่อเดินออกจากห้องสำนักงานมาพร้อมกับจางถังก็ได้โทรศัพท์หาอ้าวเสว่ บอกเล่าในสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่ที่เกี่ยวกับผลสรุปการลงโทษติงยียี :“ทำไมคุณจึงอยากจะรู้ผลการลงโทษของติงยียีล่ะ”
อ้าวเสว่กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า:“เธอเป็นเพื่อนของฉัน เป็นธรรมดาที่ฉันจะต้องเป็นห่วงเธอ” เหยนหมิงเย้าได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน ตอนเด็กๆเขารู้สึกว่าอ้าวเสว่นั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเย่อหยิ่งก้าวร้าว แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นคนจิตใจดีแล้ว
เมื่อวางสายโทรศัพท์ลง อ้าวเสว่เดินช้าๆไปมาอยู่ในห้อง แค่ลงประกาศประจานเท่านั้นเองเหรอ การลงโทษเช่นนี้ช่างเบาเกินไป จะต้องยังมีวิธีอย่างอื่นอีก! เนี่ยนโม่คุณต้องการช่วยเธอ ฉันก็จะทำลายเธอ!
เมื่อเลิกเรียน ติงยียีรีบวิ่งออกจากประตูมหาวิทยาลัยเพื่อไปขึ้นรถบัส รถบัสที่แน่นขนัดแออัดทำให้ติงยียีหายใจไม่ออก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเย่เนี่ยนโม่ขับรถผ่านไปด้วยความเร็วโดยมีอ้าเสว่นั่งอยู่ข้างๆ
เมื่อถึงโรงพยาบาล ติงยียีได้เดินไปมาอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วย ต้องการจะเข้าไปเพื่อขอให้คุณเย่ให้อภัย ได้ยินอ้าวเสว่ที่ไม่รู้พูดอะไรอยู่ในห้องผู้ป่วย แล้วคุณน้าเชี่ยก็หัวเราะอย่างขึ้นมีความสุข เข้าไปตอนนี้น่าจะได้มั้ง บรรยากาศดีขนาดนี้
ติงยียีได้ผลักประตูเข้ามา ห้องที่เดิมทีคึกคักกลับเงียบขึ้นทันทีอย่างน่าตกใจ อ้าวเสว่วิ่งเข้ามาจูงมือของติงยียีอย่างสนิทสนม ทำท่าทำทางราวกับเป็นเจ้าบ้าน:“ยียีเธอมาแล้วเหรอ ฉันจะไปล้างผลไม้ให้เธอนะ”
เซี่ยชีหรั่นดึงอ้าวเสว่ที่กำลังถือผลไม้จะออกไปจากประตู แล้วกล่าวบาๆ:“อ้าวเสว่ ยุ่งมาตั้งนานแล้วพักผ่อนบ้างเถอะ”
อ้าวเสว่ที่ถือผลไม้หันไปยิ้มให้กับติงยียีอย่างไร้เดียงสา ได้วางผลไม้กลับไปอย่างเชื่อฟังคำพูดของเซี่ยชีหรั่น เย่เนี่ยนโม่ดูออกว่ามารดานั้นจงใจตั้งแง่กับติงยียี จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ :“แม่ครับ”
ทันทีที่เสียงเปล่งออก สายตาของของคุณพ่อที่นอนอยู่บนเตียงก็ได้เพ่งมองมา เมื่ออยู่ข้างนอก คุณพ่อจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนพยศต่อคุณแม่เป็นอันขาด เย่เนี่ยนโม่จึงได้แต่หุบปากเงียบ
“ขออภัยค่ะ หนูมาเพื่อขอโทษค่ะ” ติงยียีวางผลไม้ที่ซื้อจากในโรงพยาบาลงบนโต๊ะ ก้มศีรษะแล้วเดินมาที่ด้านหน้าของคุณเย่
“นักศึกษายียี ฉันเคยบอกแล้วว่าให้เรื่องนี้จบลงเท่านี้ ครอบครัวของพวกเราบางทีต้องการจะคุยกันสักหน่อย” แววตาคู่งามของเซี่ยชีหรั่นจ้องมองติงยียีอย่างเงียบๆ ท่าทางการที่แสดงออกมานั้นยังคงอ่อนโยน แต่น้ำเสียงนั้นค่อนข้างดุดันเล็กน้อย
ติงยียีหันศีรษะไปอย่างเศร้าๆ เธอไม่ใช่หมาขี้เรื้อน คุณน้าเซี่ยพูดมาขนาดนี้ เธอจะมีหน้าอยู่ต่อไปอีกได้อย่างไร “กรุณานำตะกร้าผลไม้ไปด้วย” ได้ยินเสียงคุณน้าเซี่ยพูดอยู่ด้านหลัง ติงยียีจึงก้มหน้าหันหลังมาหยิบตะกร้าผลไม้แล้วจากไปอย่างอับอาย
“ติงยียี!” เย่เนี่ยนโม่รู้สึกว่าครั้งนี้คุณแม่นั้นทำเกินไปหรือเปล่า เมื่อสักครู่เห็นได้ชัดว่าติงยียีนั้นได้ถูกทำร้ายแล้ว สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า แขนนั้นได้ถูกรั้งดึงไว้
“เนี่ยนโม่ ฉันรู้สึกเจ็บกระเพาะ คุณไปเอายาเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม” อ้าวเสว่เขย่าแขนของเย่เนี่ยนโม่ไปมา แต่ในใจกลับเย็นเยียบ เมื่อสักครู่เย่เนี่ยนโม่ต้องการจะวิ่งตามติงยียีใช่ไหม ทั้งคู่เกี้ยวพาราสีกันต่อหน้าตัวเองเช่นนี้ ติงยียีเธอนี่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!
สองสามวันมานี้หากอ้าวเสว่มีเวลาว่างก็จะรีบมาที่ห้องผู้ป่วยทันที เมื่อเย่เนี่ยนโม่ได้ยินว่าอ้าวเสว่เจ็บกระเพาะ ก็ลืมติงยียีเสียสนิท กล่าวลากับมารดาแล้วก็พาอ้าวเสว่จากไปทันที
“ตอนนี้สามารถบอกได้หรือยังว่าทำไมเมื่อสักครู่ถึงอารมณ์เสีย” เย่เชินหลินยื่นมือไปกุมเซี่ยชีหรั่น นิ้วมือที่เรียวยาวนุ่มนิ่มของเซี่ยชีหรั่นค่อยๆหดขึ้น และยังคงสั่น เย่เชินหลินจึงนวดเบาๆที่มือของเซี่ยชีหรั่นแล้วพูดปลอบประโลม
เซี่ยชีหรั่นนั่งอยู่ข้างๆเย่เชินหลิน แล้วก้มหน้าลงมองมือที่จับอยู่ด้วยกันของทั้งคู่ จากนั้นกล่าวเบาๆ:“คุณจะต้องคิดว่าฉันเลวมากเลยใช่ไหม ที่รุนแรงกับเด็กคนหนึ่งเช่นนี้ แต่เมื่อฉันเห็นหน้าเธอก็จะทำนึกถึงโคมไฟที่ตกใส่คุณ ร่างของคุณเต็มไปด้วยเลือด ฉันไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าหากครั้งนี้คุณนั้นเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ แล้วฉันจะทำอย่างไร!”
เซี่ยชีหรั่นยิ่งพูดรู้สึกร่างกายก็ยิ่งเย็นเยือก อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้น ความกลัวสุดลึกของหัวใจเมื่อได้พูดออกมาก็ไม่ได้ทำให้จิตใจรู้สึกดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกแย่ลงเมื่อได้ยินขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าบื้อ!” เย่เชินหลินลุกขึ้นนั่งแล้วโอบเซี่ยชีหรั่นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วกระชับแขนกอดให้แน่นขึ้น ทำให้เซี่ยชีหรั่นรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง จากนั้นก็ก้มลงจูบลงที่ขวัญบนศีรษะของเซี่ยชีหรั่น :“ผมไม่มีทางจากคุณไปอย่างแน่นอน ต่อให้วันหนึ่งผมต้องจากไปก่อนจริงๆ ผมก็จะพาคุณไปด้วย ไม่มีทางปล่อยให้คุณต้องเดียวดายคนเดียว”
คำพูดที่หวานไพเราะคืออาวุธที่ดีในการขจัดความกลัว เซี่ยชีหรั่นยิ้มแล้วตบเบาๆเข้าที่ไหล่ของเย่เชินหลิน “ใครบอกจะไปกับคุณ!”
เห็นเซี่ยชีหรั่นอารมณ์ดีขึ้น เย่เชินหลินจึงได้เอ่ยปากกล่าวขึ้น:“เด็กสาวเมื่อสักครู่เป็นอะไรกับเย่เนี่ยนโม่” ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในแวดวงมาตั้งนาน เย่เชินหลิน เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน เนี่ยนโม่เป็นให้ความสนใจคนที่ชื่อติงยียีจริงๆ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่สงสัยคำพูดของเซี่ยชีหรั่นอย่างแน่นอน
“เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยจริงๆมั้ง ฉันคิดว่าเนี่ยนโม่ชอบอ้าวเสว่มากกว่า” การกระทำสองสามวันนี้ของอ้าวเส่วทำให้เซี่ยชีหรั่นรู้สึกว่าอ้าวเสว่นั้นเป็นคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีงดงาม ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วอ้าวเสว่ลงเอยกับเนี่ยนโม่จริงๆ จะต้องสามารถดูแลเนี่ยนโม่ได้เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน
เย่เชินหลินฟังจบแล้ว ก็เกิดนึกแผนขึ้นในใจ เนี่ยนโม่มีจุดอ่อนที่ส่งผลไม่ดีต่อชีวิต นั่นก็คือเมื่อใดที่ให้ความสนใจแล้วก็จะทุ่มเททุกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ยากที่จะสามารถอยู่รอดในสังคมที่หลอกลวงได้ จึงมีเพียงสิ่งเดียวคือทำให้เขากลายเป็นหมาป่า!
เมื่อติงยียีออกจากหน้าประตูโรงพยาบาล ก็ได้ยื่นผลไม้ให้กับขอทานที่อยู่นั่งตรงนั้นด้วยสายตาที่จ้องมองตัวเองอย่างตาละห้อยน้ำลายสอย จึงได้โน้มตัวลง ขอทานที่เดิมทีนั่งอยู่ได้ลุกพรวดขึ้น คว้ากระเป๋าที่อยู่ในแขนองติงยียีแล้วทำท่าจะวิ่งหนี ยังวิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกตีเสียก่อน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset