สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1412 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1312

“วางกระเป๋าลง แล้วไสหัวไป” รูปร่างที่สูงใหญ่ของเย่ชูหวินขวางอยู่ด้านหน้าของขอทาน น้ำเสียงเย็นยะเยือก ไห่ฉิงฉิงวิ่งรีบวิ่งขึ้นมาด้านหน้า กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจขึ้น:“ชูหวิน ต่อไปอย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหาแบบนี้ ถ้าตัวเองถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร”
“เป็นผู้ชายก็ต้องก้าวออกมาข้างหน้าในยามอันตราย!”โม่เสี่ยวจุนที่ตามอยู่ด้านหลังสาวเท้าเข้ามาอย่างเร็วดุจดาวตก ไห่ฉิงฉิงถลึงตาใส่โม่เสี่ยวจุนอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง ก้าวออกมาข้างหน้าบ้าบออะไรนั่นปล่อยให้คนอื่นทำก็แล้วกัน ส่วนลูกชายของเขาจะต้องราบรื่นปลอดภัย!
โม่เสี่ยวจุนถูกภรรยาถลึงตาใส่ น้ำเสียงจึงอ่อนโยนลงทันใด ไห่ฉิงฉิงจำได้ว่าคนที่ถูกขโมยกระเป๋านั้นคือติงยียีผู้หญิงที่อยู่ในงานเลี้ยงเต้นรำของชูฉิง ครั้งก่อนเมื่อเธอออกจากงานเลี้ยงเหมือนลูกชายก็ได้วิ่งตามออกไป เมื่อสักครู่ลูกชายก็เหมือนจะรีบมาที่โรงพยาบาล หรือว่าลูกชายนั้นชอบผู้หญิงคนนี้ ไห่ฉิงฉิงรู้สึกตัวเองว่าจะต้องหาเวลาเพื่อถามสักหน่อยแล้ว
“พ่อครับแม่ครับ พวกท่านขึ้นไปก่อนนะครับ ผมมีธุระนิดหน่อย” แน่นอนว่าเย่ชูหวินนั้นดูออกถึงความสงสัยที่ซ่อนอยู่แววตาของมารดา แต่กลับไม่อยากจะพูดอะไร เรื่องบางเรื่องหากเกิดขึ้นจริงๆแล้วก็ถือว่าดีเหมือนกัน
ติงยียีถูกเย่ชูหวินจับมือไว้แล้วดึงดินออกไปด้านนอก เธอจึงได้รีบหันไปโค้งคำนับให้กับพ่อแม่ของเย่ชูหวินที่ยืนอยู่ข้างๆ:“ คุณลุง คุณป้าคะ หนูขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
ในร้านอาหารระดับไฮเอนด์ ติงยียีกำลังนั่งเผชิญหน้ากับสเต๊กที่อยู่ตรงหน้า สเต๊กที่อยู่ในมือนั้นเหมือนกับปลาโดะโจ ติงยียีหั่นจากด้ายซ้าย มันก็ลื่นไปด้านขวา ทำให้น่าโมโหชะมัด! จนมีดส้อมกระแทกกับจานเกิดเสียงดังขึ้น ติงยียีจึงชะงักมืออย่างเขินอาย มองหันซ้ายหันขวา โชคดีที่ตัวเองอยู่ตำแหน่งมุมห้อง และด้านหน้าก็มีแจกันขนาดใหญ่บังไว้
ติงยียีมองเย่ชูหวินที่เช็ดปากอย่างสง่างาม จากนั้นลุกขึ้นเดินมาที่ด้านข้างของตัวเอง เย่ชูหวินโน้มตัวลงเบาๆ ใช้มือซ้ายกับมือขวาแนบจับมือซ้ายมือขวาของติงยียี แล้วสอนติงยียีจับมีดส้อมมาหั่นเนื้อสเต๊กอย่างสง่างาม
ติงยียีรู้สึกเหมือนถูกโอบกอด ใบหน้าจึงอดไม่ได้ร้อนผ่าวขึ้น สักพักมือก็ถูกปล่อย เนื้อสเต๊กในจานได้ถูกหั่นเป็นเหลี่ยมๆอย่างเรียบร้อยสวยงาม
เย่ชูหวินนั่งกลับไปที่เดิม มองใบหน้าที่แดงก่ำของติงยียี ในใจรู้สึกว่าน่ารักสุดๆ ช่างเป็นผู้หญิงที่ไร้เดียงสามาก ไม่ปฏิเสธในเรื่องที่ตัวเองทำการปกป้องเธอ
“ขอโทษนะ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อย” โทรศัพท์ของเย่ชูหวินดังขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแล้วเดินเข้าไปในห้องสูบบุหรี่ สีหน้าดูจริงจัง:“ตอนนี้ผมอยู่กับเธอ ทางนู้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้วิจารย์กันทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว และยังคงลงโทษให้ออกจากมหาวิทยาลัย การลงโทษเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และตอนนี้ผมกำลังรีบที่นั่น” เดิมทีตัวเองนั้นให้เย่ชูหวินไปหาติงยียีเองเพื่อไม่ให้เธอกลับมาเร็ว แต่ว่าเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเย่ชูหวินที่บอกว่าผมอยู่กับเธอ ความรู้สึกแปลกๆในใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“เนี่ยนโม่ คุณไม่สบายเหรอ” อ้าวเสว่มองเนี่ยนโม่ที่เอามือจับอยู่ที่หน้าอกอย่างไม่รู้ตัวด้วยความเป็นห่วง เนี่ยนโม่ที่อยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจึงรีบออกมาอย่างรวดเร็ว บางทีแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนที่สาวเท้าก้าวเดินนั้นรวดเร็วขนาดไหน และดูไม่สนใจในเรื่องที่ตัวเองบอกกับเขาว่าเจ็บกระเพาะก่อนหน้านี้
“ไม่เป็นไร” เย่เนี่ยนโม่หันไปยิ้มให้กับอ้าวเสว่ อ้าวเสว่พูดปลอบประโลมเย่เนี่ยนโม่:“เนี่ยนโม่ ยียีเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ ครั้งนี้พวกเราจะต้องช่ายเธอผ่านอุปสรรคไปให้ได้!”
มองดูคู่ดวงตาที่แจ่มใสของอ้าวเสว่ เย่เนี่ยนโม่จึงเก็บความคิดและข่มความรู้สึกที่แปลกๆลงไป บ้านที่กำลังต่อเติม เมื่อต่อเติมเสร็จแล้วก็จะทำการเซอร์ไพรส์ให้กับอ้าวเสว่ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ชาตินี้เดินร่วมทางกับเธอผู้มีจิตใจดีก็ไม่เลวเช่นกัน
เย่เนี่ยนโม่พาอ้าวเสว่ตรงบุกเข้าไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ เมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่ อาจารย์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะคาดเดาไว้ตั้งแต่แรก ทำการยิ้มแล้วพยักหน้า:“นักศึกษาเนี่ยนโม่ นั่งสิ”
“อาจารย์ใหญ่ครับ ผมคิดว่าการลงโทษติดประกาศประจานทั่วทั้งมหาลัยสามารถไถ่ความผิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสุดท้ายพิธีการเปิดงานกีฬาก็ล่าช้าเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น” เย่เนี่ยนโม่กล่าว
“นักศึกษาเย่ นี่เป็นการตัดสินใจของกรรมาธิการ การลงโทษนักศึกษาติงยียีให้ออกจากมหาวิทยาลัยถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว ข้อนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” อาจารย์ใหญ่ทำท่าเก๊กแล้วกล่าวขึ้น
“อาจารย์ใหญ่!” เย่เนี่ยนโม่ตวาดแล้วลุกขึ้น เขารู้ว่าสภาพทางบ้านของติงยียีนั้น การได้ศึกษาเล่าเรียนถือเป็นทางออกหนทางสุดท้าย
อาจารย์ใหญ่โบกมือปัดมือไม่พูดจาใดๆต่ออีก อ้าวเสว่จึงรีบก้าวมาข้างหน้าพยุงแขนของเนี่ยนโม่ไว้:“พวกเราค่อยคิดหาวิธีกัใหม่นะ”
“นักศึกษาเย่ ฝากสวัสดีคุณพ่อด้วยนะ” อาจารย์ใหญ่แอบยิ้มกระหยิ่มแล้วกล่าวอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่ออกจากประตูไป จึงได้โทรศัพท์ขึ้น:“ประธานเย่ครับ ผมได้ทำตามความต้องการของท่านเรียบร้อยแล้วครับ อย่างนั้นเงินบริจาคให้กับมหาวิทยาลัย ครับๆๆ ทางผมจะรอข่าวจากทางท่านนะครับ”
เย่เนี่ยนโม่ส่งอ้าวเสว่กลับบ้าน หน้าประตูบ้าน อ้าวเสว่มองเย่เนี่ยนโม่ที่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ เป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่งตัวเองยืนอยู่ด้านหน้าเขา เขานั้นจะปฏิบัติกับตัวเองเหมือนที่ปฏิบัติกับคนแปลกหน้า
“เนี่ยนโม่ ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นห่วงยียีมากเลยนะ” อ้าวเสว่พูดติดตลก เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ :“ติงยียีเป็นเพื่อนของพวกเรา ความผิดของเธอในครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนี้”
เพื่อนเหรอ มุมปากอ้าวเสว่ยิ้มเยาะขึ้น เพื่อนที่มาดูบ้านเพื่อจะอยู่ด้วยกันอย่างนั้นเหรอ เนี่ยนโม่ นิยามคำว่าเพื่อนของคุณนั้นกว้างจัง
เมื่อส่งอ้าวเสว่เสร็จก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว เย่เนี่ยนโม่ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ขับผ่านตรอกซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ถูกฝูงสุนัขเห่าใส่จึงดึงดูดความสนใจ ติงยียีไม่ใช่พักที่นี่เหรอ
เย่เนี่ยนโม่ไม่รู้ว่าใจของตัวเองเป็นอะไรไป รถไม่สามารถขับเข้าไปในซอยได้ เย่เนี่ยนโม่จึงจอดรถแล้วค่อยๆเดินเข้าไป สุดท้ายไปหยุดอยู่หน้าบ้านที่เปิดไฟสว่างหลังหนึ่ง
รั้วบ้านได้ผุพังทลายลงแล้ว บนกำแพงยังมีตัวอักษรสีแดงคำว่ารื้อแปะติดไว้ แต่ในลานบ้านกลับจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการปลูกดอกไม้หลากหลายชนิดเต็มไปหมด
“abandon abandon” เสียงอ่านภาษาอังกฤษของติงยียีที่ดังมาจากในบ้าน เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้น มองเงาสะท้อนจากหลังผ้านม่านหน้าต่างทีเดินไปเดินมาอย่างไม่หยุดหย่อน จึงส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้น ติงยียี พรุ่งนี้ต้องอดทนให้ได้นะ!”
“อะไรนะ! ให้ออกจากมหาวิทยาลัย!” ติงยียีลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในห้องสมุดด้วยความตกใจ ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ ซ่งเมิ่นเจ๋จึงรีบดึงมือของติงยียีไปที่อื่น ระหว่างทาง คนรอบข้างต่างเงยหน้าขึ้นมามองติงยียี คำประกาศให้ออกจากมหาวิทยาลัยของติงยียีได้ติดประกาศไว้ที่บอร์ดการลงโทษของมหาวิทยาลัย
“ทำไม ฉันไม่สามารถเรียนต่อได้อีกแล้วเหรอ” ติงยียีพึมพำอย่างสิ้นหวัง ถ้าหากว่าตัวเองถูกไล่ออก แล้วจะบอกกับพ่อว่าอย่างไร พ่ออุตส่าห์ทุ่มเททุ่มแรงเพื่อหาเงินมาส่งตัวเองเรียนขนาดนั้น
ซ่งเมิ่นเจ๋เองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ในใจมืดมนไปหมด ทันใดนั้นจู่ๆก็มองติงยียีด้วยแววตาที่เป็นประกายแล้วกล่าวขึ้น:“ใช่แล้ว งานกีฬาวันนั้นคุณพ่อของเนี่ยนโม่อยู่ด้วยกันกับนายอำเภอไม่ใช่เหรอ เขาเป็นลูกชายของบริษัทเย่ซื่อ แค่เขาเอ่ยปากจะต้องช่วยได้อย่างแน่นอน”
ติงยียีส่ายหน้าอย่างลังเล เธอไม่อยากจะไปรบกวนเย่เนี่ยนโม่ นี่เป็นเรื่องของตัวเอง ตัวเองได้ทำร้ายคุณพ่อของเขาจนต้องนอนพักรักษาที่โรงพยาบาล เธอจะหน้าด้านไปขอความช่วยเหลือได้อย่างไร
ซ่งเมิ่นเจ๋เห็นติงยียีลังเล ตัวเองจึงแอบตัดสินใจช่วยติงยียีเอง เมื่อเลิกเรียนจึงได้ไปขวางเย่เนี่ยนโม่ที่ห้องภาษานานาชาติ
“เย่เนี่ยนโม่ จะขอให้คุณช่วยอะไรหน่อยได้ไหม ยียีถูกลงโทษให้ออกจากมหาวิทยาลัย ฉันคิดว่าคุณน่าจะมีทางช่วยได้” ซ่งเมิ่นเจ๋คิดว่าเรื่องนี้สำหรับเย่เนี่ยนโม่นั้นจิ๊บจ๊อยมาก แค่เอ่ยปากทุกอย่างก็จบแล้ว
เย่เนี่ยนโม่ที่กำลังจะออกจากประตูพร้อมกับอ้าวเสว่นั้น พอได้ยินจึงได้กล่าวขึ้น:“เรื่องนี้ผมไม่สามารถช่วยได้” เรื่องนี้ก็น่าแปลกจริงๆ ตัวเองได้ไปหาอาจารย์ใหญ่ถึงสองครั้ง อาจารย์ใหญ่ก็เอาแต่กัดติงยียีไว้ไม่ปล่อย จะให้ติงยียีออกจากมหาวิทยาลัยให้ได้
เย่เนี่ยนโม่มักจะไร้ความรู้สึกกับคนที่ไม่สนิท โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของซ่งเมิ่นเจ๋กับไห่โจ๋ซวนที่ทำให้น้องสาวของตัวเองต้องทุกข์เจ็บปวดทรมานขนาดนั้น จึงผงกหน้าให้กับซ่งเมิ่นเจ๋แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็จากไป
ซ่งเมิ่นเจ๋กัดฟันด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ถูกปฏิเสธดื้อๆแบบนี้ ช่างน่าอับอายจริงๆ อ้าวเสว่เดินมาที่ข้างๆซ่งเมิ่นเจ๋ จากนั้นทอดถอนใจแล้วกล่าวขึ้น:“เนี่ยนโม่ก็นี่ช่างกระไร เรื่องแค่นี้ก็ไม่ช่วยเหลือ เห้อ เมิ่นเจ๋ เธออย่าไปโกรธเนี่ยนโม่เลยนะ”
ซ่งเมิ่นเจ๋หันหลังแล้ววิ่ง คิดว่าเธอนั้นมองเย่เนี่ยนโม่ผิดไปก็แล้วกัน เรื่องง่ายๆที่แม้แต่เพื่อนธรรมดาทั่วไปก็ยังยื่นมือช่วย แต่เย่เนี่ยนโม่กลับทนดูติงยียีถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยไปต่อหน้าต่อตา!
ติงยียียังคงเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล พยาบาลที่เดินผ่านไปมามองดูหญิงสาวคนนี้ด้วยความมึนงงที่เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าไป
“เธอมาทำอะไรที่นี่” เสียงของเซี่ยชีหรั่นดังมาจากด้านหลังของติงยียี ติงยียีรีบหันหน้าไปแล้วกล่าวขึ้น:“สวัสดีค่ะ คุณน้าเซี่ย”
“เหมือนฉันเคยบอกว่าไม่ให้เธอมาที่นี่อีก” เซี่ยชีหรั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม น้ำเสียงที่แฝงด้วยความดุดัน
ติงยียีจึงหมดคำที่จะพูด เธอถูกคุณน้าเชี่ยไล่หลายครั้งแล้ว แต่ว่าในใจเธอนั้นรู้ที่ยังรู้สึกสึกผิด ตราบใดที่เธอยังไม่ได้รับการให้อภัย เธอก็จะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
“ในโลกใบนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้ ก็เหมือนกับใบไม้ที่ปลิดปลิวไง” เซี่ยชีหรั่นมองใบไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นสนามหญ้าแล้วกล่าวเบาๆ
“หนูต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ” ติงยียีโน้มคำนับ เซี่ยชีหรั่นจึงกลั้นใจแล้วกล่าวอย่างใจดำ:“ถ้าหากการขอโทษนั้นแล้วหาย อย่างนั้นบนโลกใบนี้ก็คงไม่มีความเสียใจที่มากมายเช่นนั้นแล้ว อยากจะขอโทษสู้ไปกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นให้สะอาดจะดีกว่า ถ้าหากว่าเธอสามารถกวาดให้สะอาดเรียบร้อยภายในคืนเดียว ฉันก็จะให้อภัยเธอ”
เซี่ยชีหรั่นแค่พูดไปอย่างนั้น แต่ติงยียีกลับจำใส่ใจไว้แล้ว กวาดใบไม้เหรอ ขอเพียงแค่สามารถไถ่ความผิดได้ อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเลย!
“คุณแม่ขา คุณแม่ดูพี่สาวคนนั้นที่กำลังกวาดใบหญ้าสิคะ โง่จังเลยอะ จะกวาดใบไม้ให้สะอาดได้อย่างไร ในเมื่อตกไม่หยุดอย่างนั้น” เด็กสาวคนหนึ่งที่ตามอยู่ด้านหลังมารดาได้กล่าวขึ้น
“ลูกต้องเป็นเด็กดี ต้องตั้งใจเรียน ไม่อย่างนั้นโตขึ้นก็จะต้องมากวาดใบไม้เหมือนพี่สาวแล้ว”
ติงยียียิ้มอย่างขมขื่นฟังสองแม่ลูกที่เดินผ่านตัวเองไป พลางเดินพลางมองสำรวจตัวเองอย่างไม่เกรงใจ สนามหญ้าของโรงพยาบาลมีพื้นที่กว่าหลายร้อยตารางเมตร บวกกับใบไม้ที่ร่วงหล่นไม่หยุด เป็นการยากที่จะกวาดให้สะอาดเรียบร้อยภายในคืนเดียว
“โอ๊ย!”ติงยียีโยนไม้กวาดทิ้ง ขมวดคิ้วแล้วมองด้ามไม้กวาดมีจุดที่ไม่ได้ถูกตัดเหล่าให้ดีๆ จึงถูกหนามทิ่มตำที่หัวแม่มือของติงยียี จนรอบๆแดงขึ้นทันที
ติงยียีจึงทนเจ็บแล้วดึงหนามออกมา จากนั้นก็ทำการกวาดต่อ ฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด ไม่นานบนตัวของติงยียีก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ หยดเหงื่อได้ไหลตามหน้าผากลงสู่ดวงตา ไหลเรื่อยๆลงสู่คาง เซี่ยชีหรั่นยืนมองอยู่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset