สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1415 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1315

“พี่สวี ความเดียวดายเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ถ้าหากว่าเจอคนที่ใช่ ห้ามปล่อยมือเด็ดขาดนะ” นี่เป็นคำอวยพรเดียวที่เซี่ยชีหรั่นจะให้ได้
สวีเห้าเซิงยิ้มแล้วพยักหน้า ตัวเองคิดว่าคนที่ใช่ก็คือเซี่ยชีหรั่น แต่คนที่ใช่สำหรับชีหรั่นกลับเป็นเย่เชินหลิน โชคชะตาช่างเล่นตลกนัก ไม่อยากจะที่สนทนาหัวข้อนี้ต่อไปอีก สวีเห้าเซิงจึงได้กล่าวถามขึ้น:“ใช่แล้ว ซือซือเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่มีใครเอ่ยถึงมานาน เซี่ยชีหรั่นที่ยังคงอาลัยเล็กน้อย ยิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้าขึ้น :“เสียชีวิตแล้ว เหตุไฟใหม้”
สวีเห้าเซิงเองก็อาลัยเช่นกัน เสียชีวิตแล้วเหรอ คนที่นิสัยเย่อหยิ่ง ผู้หญิงที่ดื้อรั้นจนทำให้คนรู้สึกเอือมระอาคนนั้น
“ครบห้านาทีแล้ว!” เย่เชินหลินเห็นสองคนที่ใกล้ชิดกันมากเกินไป ไฟแห่งความหึงหวงที่สุมไหม้อยู่ในใจได้ลุกโชนขื้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดึงตัวเซี่ยชีหรั่นมากโอบไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง สัมผัสความอ่อนโยนที่รู้สึกว่าเป็นของตัวเอง จิตใจถึงเปลี่ยนจากความมืดมิดมาเป็นความสว่าง
สวีเห้าเซิงรู้ว่าหากตัวเองยังไม่ออกไปจากที่นี่ เย่เชินหลินจะต้องระเบิดแน่ๆ จึงได้ทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ที่เพิ่งทำการเปิดมาหมาดๆไว้ให้กับชีหรั่น จากนั้นสวีเห้าเซิงกล่าวลาอีกสองสามคำแล้วก็จากไป
สายตาของเย่เชินหลินมองกระทบลงไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่วางอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของเซี่ยชีหรั่น จึงได้ยื่นมือไปหนีบออกมาอย่างเงียบๆ แล้วก็ทำลายทิ้งไป ดูสิว่าสองคนนี้จะติดต่อกันอย่างไรอีก
เซี่ยชีหรั่นเห็นการกระทำของเย่เชินหลิน น้อยนักที่อีกฝ่ายจะทำนิสัยเด็กๆ จึงได้ปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำอย่างตามใจ เพราะถึงอย่างไรสำหรับพี่สวีแล้ว คำอวยพรของเธอนั้นอยู่ในใจตลอดเวลา
ณ บ้านตระกูลส้ง
เซียวเสี่ยวลี่ที่อารมร์บูดเบี้ยวพูดใส่พี่เลี้ยงที่กำลังจะนำผลไปให้ที่ห้องของซ่งเมิ่นเจ๋:“จะตายแล้วเหรอ หั่นเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าผลไม้ตอนนี้มันแพงขนาดไหน!”
“ดึกขนาดนี้แล้วยังบ่นพล่ามอะไรอีก:“ส้งซูหาวที่เพิ่งจะเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงของเซียวเสี่ยวลี่ จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ เซียวเสี่ยวลี่หมุนปากไปรอบๆก่อนที่จะเงียบลง
ในห้อง ซ่งเมิ่นเจ๋กับติงยียีนั้นกำลังนอนคว่ำเล่นกันอยู่บนเตียง “เธอบอกว่าเมื่อตอนค่ำเย่เชินหลินโอบกอดเธออย่างนั้นเหรอ” ซ่งเมิ่นเจ๋ถามขึ้น
ติยงยียีพยักหน้า ซ่งเมิ่นเจ๋ขมวดคิ้วขึ้น “ยียี เย่เนี่ยนโม่นั้นมีแฟนอยู่แล้วนะ” ติงยียีพยักหน้า เธอไม่ได้ชอบเย่เนี่ยนโม่ เพียงแต่ว่ารู้สึกว่าการกระทำของอีกฝ่ายนั้นแปลกพิลึก
ซ่งเมิ่นเจ๋จึงได้กล่าวต่อ:“อันที่จริงวันนั้นฉันได้ไปหาเย่เนี่ยนโม่ ฉันขอให้เขาช่วยขอร้องให้เธอ ขอแค่เขาออกหน้า เธอจะต้องไม่ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน แต่เขานั้นกลับปฏิเสธ คนแบบนี้แม้แต่เพื่อนยังเป็นไม่ได้เลย ฉันว่าเย่ชูหวินเหมาะสมกับเธอมากกว่า
โจ๋ซวนบอกกับฉันว่า ตลอดสองสามวันมานี้เย่ชูหวินทำการตรวจสอบคนและอุปกรณ์บนเวทีในวันนั้น เพื่อหาหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อเธอ วันมะรืนวันที่เธอจะออกจากมหาวิทยาลัยใกล้มาถึงแล้ว ฉันคิดว่าเขานั้นยังอยู่นะ”
ติงยียีพลิกตัวลุกขึ้น ทุกอย่างที่ชูหวินทำทั้งหมดนี้เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เจ้าบื้อนั่นทำไมถึงไม่บอกตัวเองนะ
“ยียี เธอจะไปไหน!” เสียงของซ่งเมิ่นเจ๋ดังขึ้นนั้น ติงยียีได้ปิดประตูใหญ่ภายใต้เสียงตำหนิติบ่นของเซียวเสี่ยวลี่แล้ว
เวลาสี่ทุ่มนั้นไม่มีรถบัสประจำทางแล้ว ติงยียีวิ่งไป บีบอัดอากาศเข้าไปในปอด ในหัวสมองมีแต่คำพูดที่จะพูดกับเย่ชูหวินที่จะเจอกันในอีกสักครู่
ก่อนอื่นต้องโทษที่อีกฝ่ายปิดบังตัวเอง แล้วโทษอีกฝ่ายที่ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับไปพักผ่อน สุดท้ายท้ายสุดก็ต้องขอบคุณเขาที่คอยช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด ในห้องเก็บอุปกรณ์เย่ชูหวินนั่งยองๆอยู่ที่พื้นอย่างกระเซอะกระเซิงกำลังทำการเช็คดูบางอย่าง เมื่อติงยียีมาเห็นเข้า ตัวเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้ว
เย่ชูหวินอยู่ในห้องอุปกรณ์ที่มืดมิด อาศัยแสงไฟจากไฟฉายในมือ ทำให้เห็นถึงความกระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่หล่อเหลาเปื้อนเลอะไปด้วยคราบฝุ่น เมื่อเห็นติงยียี เย่ชูหวินก็ถามขึ้นความประหลาดใจ:“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“อากาศตอนกลางคืนดีมาก ฉันก็เลยมาเดินเล่นแถวนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคุณ ช่างบังเอิญจริงๆ” ติงยียีทำท่าทางความบังเอิญออกมา
ต่างฝ่ายต่างไม่เปิดโปงความตั้งใจของอีกฝ่าย ติงยียีถูกเย่ชูหวินมองจนทำอะไรไม่ถูก จึงได้ถอยหลังไปสองสามก้าว เท้าหลังไปสะดุดกับดัมเบลล์ที่วางอยู่ที่พื้น จนทำให้ร่างนั้นเซล้มไปด้านหลัง
เย่ชูหวินทันแค่คว้ามือของติงยียีไว้เท่านั้น เมื่อถูกแรงดึงของติงยียีกระชาก จึงทำให้ทั้งคู่ล้มลงไปยังด้านหลังที่มีเบาะรองอยู่ เย่ชูหวินปกป้องติงยียีไว้ด้วยการใช้มือทั้งสองข้างรองที่ข้างใบหูของติงยียี แล้วก้มหน้ามองใบหน้าที่แดงก่ำของติงยียีขณะที่กลิ้งล้มลงไป
“ติงยียี เป็นแฟนกับผมนะ” เย่ชูหวินกล่าวเบาๆ เขานั้นอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เดิมทีเขาอยากจะรอให้ติงยียีคุ้นเคยกับตัวเองก่อน จากนั้นก็คงจะตกลงปลงใจกับตัวเอง แต่เมื่อเห็นเย่เนี่ยนโม่โอบกอดติงยียีแล้ว ในใจของตัวเองก็เกิดอารมณ์หึงหวงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าในตอนนั้นตัวเองไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปห้ามได้ ถ้าหากติงยียีนั้นกลายเป็นแฟนของตัวเอง อย่างนั้นหัวใจของเขาก็จะไม่ต้องร้อนรุ่มขนาดนั้นอีกแล้ว
ไม่มีเสียงตอบรับ เย่ชูหวินก้มหน้าลง สายตาของติงยียีจดจ่อไปที่กองตัวล็อคที่อยู่ข้างๆที่ใช้ในการผูกบนชั้นวาง
“น่าแปลก ทำไมจำนวนตัวล็อคถึงลดน้อยลงไปมาก”ติงยียีเอ่ยปากด้วยความสงสัย เย่ชูหวินลุกขึ้นด้วยความผิดหวัง การแสดงออกของติงยียีดูปกติมาก ทำให้เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อสักครู่นั้นติงยียีนั้นได้ยินคำพูดของตัวเองได้ไม่ชัดเจน
ติงยียีพลิกตัวลุกขึ้น แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆตัวล็อคที่อยู่ข้างๆบนชั้นวางแล้วทำการนับจำนวนอีกครั้งถึงได้กล่าวขึ้น:“ไม่ผิด จำนวนน้อยลงไปเยอะจริงๆด้วย ในวันกิจกรรมนั้นฉันได้ตรวจเช็คแล้ว ไม่น่าจะน้อยขนาดนั้น”
เมื่อเย่ชูหวินได้ยินก็โน้มตัวเข้ามา ติงยียีจึงทำการหลบให้ ส่วนตัวเองนั้นหลบเข้าไปอยู่ในมุมมืด เพื่อปกปิดความผิดปกติบนใบหน้าของตัวเอง
คำพูดของเย่ชูหวินนั้นเธอได้ยินแล้ว ได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่รู้สึกหวั่นไหวนั้นไม่จริง แต่จิตใต้สำนึกนั้นกลับเลือกที่จะโกหก ติงยียีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป
เย่ชูหวินนั้นได้ตกไปอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ถ้าหากว่าตัวล็อคบนบนชั้นวางนั้นถูกคนไม่หวังดีทำลายจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ อย่างนั้นใครเป็นคนทำ แล้วเป้าหมายคือติงยียีหรือว่าอาเขย
ในเวลาขณะเดียวกัน ที่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล เย่เชินหลินกอดอกแล้วถามขึ้น:“แกต้องการจะให้ฉันช่วยติงยียี ให้ติงยียีไม่ต้องโดนลงโทษไล่ออกจากมหาวิทยาลัยอย่างนั้นเหรอ”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า อาจารย์ใหญ่นั้นยืนกรานว่าติงยียีคือผู้ที่ควรรับผิดชอบที่สุด ต้องการจะช่วยติงยียี ต้องอาศัยอำนาจทางครอบครัว
“บอกเหตุผลฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไม” เย่เชินหลินภายนอกดูนิ่งสุขุม แต่ในใจนั้นกำลังเริ่มคำนวณความสำคัญของติงยียีแล้ว นิสัยที่สำคัญที่สุดของเนี่ยนโม่นั้นคือเชื่อใจคนรอบข้างมากเกินไป นี่ถ้าอยู่ในแวดวงธุรกิจจะต้องเป็นจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิต
“ผมก็ไม่รู้ครับ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกแปลกๆกับติงยียี ผมคิดว่าในใจผมนั้นจะต้องมีตำแหน่งของเธออยู่ ผมไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวด เธอเป็นเพื่อนของผม” เย่เนี่ยนโม่กล่าว
ปากกาในมือของเย่เชินหลินเคาะอยู่บนโต๊ะ พักนี้คิดแต่เรื่องที่ทำให้เย่เนี่ยนโม่เข้ามาที่บริษัท และก็รู้มาโดยตลอดว่าเนี่ยนโม่นั้นต่อต้านการสืบสานธุรกิจบริษัทตัวเอง ดังนั้นจึงใช้คนรอบข้างของเย่เนี่ยนโม่ในการบังคับให้เนี่ยนโม่มาขอร้องตัวเอง เดิมทีคิดว่าจะใช้ตัวอ้าวเสว่ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่เพียงติงยียีคนเดียวก็ทำให้เนี่ยนโม่นั้นเอ่ยปากขอร้องตัวเอง
“เคยคิดหรือเปล่าว่า ถ้าหากว่าแกคือผู้กุมอำนาจบริษัทเย่ซื่อ เรื่องของวันนี้บางทีอาจจะได้รับจัดการที่รวดเร็วไปแล้ว เพื่อนของแกก็ไม่จำเป็นต้องมาทรมานแบบนี้ ถ้าหากว่าแกคือผู้กุมอำนาจบริษัทเย่ซื่อ แกก็สามารถปกป้องคนที่แกรัก สามารถทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้” เย่เชินหลินกล่าวเบาๆ
เย่เนี่ยนโม่ผุดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก:“พ่อก็เป็นผู้กุมอำนาจบริษัทเย่ซื่อ แต่ว่าในตอนนั้นพ่อก็ไม่ได้ปกป้องคุณแม่” สำหรับเรื่องนี้ยังคงเป็นหนามที่หยั่งรากฝังลึกคอยทิ่มแทงสองพ่อลูก ใบหน้าของเย่เชินหลินเขียวคล้ำขึ้น สงบอารมณ์อยู่สักพันถึงได้กล่าวขึ้น:“ให้ฉันช่วยไม่มีปัญหา ตั้งแต่วันมะรืนเป็นต้นไปให้มาช่วยงานที่บริษัท โดยเริ่มจากตำแหน่งระดับล่างสุด”
เย่เชินหลินในมือถึอโทรศัพท์ไว้ และเริ่มทำการกดหมายเลขโทรศัพท์แล้ว เขารู้ว่าเนี่ยนโม่นั้นจะต้องรับปาก ในเมื่อมาถึงที่นี่ย่อมหมายความว่าเนี่ยนโม่ได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าตัวเองจะต้องยื่นข้อเสนอให้
“ตกลง” เย่เนี่ยนโม่กล่าวอย่างหนักแน่น ตั้งแต่ออกมาจากห้องผู้ป่วย เย่เนี่ยนโม่ก็จับพลิกโทรศัพท์ นิ้วโป้งปัดไปที่รายชื่อของติงยียี ถ้าหากว่ารู้ข่าวนี้ เจ้าบื้อนั่นจะต้องกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอย่างแน่นอน
บนถนน ติงยียีกับเย่ชูหวินที่อยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน บรรยากาศสวยงามแต่คลุมเครือ โทรศัพท์ได้ดังขึ้น ติงยียีเห็นเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเย่เนี่ยนโม่ เผชิญหน้ากับสายตาที่ซ่อนด้วยคำถามของเย่ชูหวิน จึงยิ้มขึ้นแล้วกดวางสายลง
วันรุ่งขึ้นน่ะเหรอ ติงยียีก็ยังคงไปมหาวิทยาลัยตามปกติ อาจารย์ใหญ่คงไม่มาไล่ตัวเองตอนที่เรียนอยู่ในห้องเรียนหรอกมั้ง เมื่อเข้าไปในห้องเรียน อ้าวเสว่ก็เดินเข้ามาหาเบาๆ ท่าทางที่อ่อนช้อยงดงามทำให้หนุ่มๆในชั้นเรียนอดไม่ได้ที่ชายตาเหลียวมอง
“ยียี ยินดีด้วยนะ ทางมหาลัยได้ยกเลิกการลงโทษเธอแล้ว เธอไม่ต้องออกจากมหาวิทยาลัยอีกต่อไปแล้วนะ” อ้าวเสว่ยิ้มแล้วกล่าว ติงยียีที่ยังคงงงงวย ตัวเองไม่ต้องถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้วเหรอ
อ้าวเสว่พยักหน้า “ยียี เย็นนี้ต้องฉลองกันหน่อยแล้ว ฉลองกันที่โรงแรมตี้เหาดีไหม” ทั้งที่ในใจของอ้าวเสว่นั้นโมโหสุดๆ จึงคิดที่จะหาโอกาสไปสอบถามกับเหยนหมิงเย้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ใบหน้ายังคงแสดงอาการยิ้มแย้มดีใจแทนติงยียี
ติงยียีหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วตัดสินใจโทรศัพท์หาหมายเลขของเย่ชูหวินก่อน เมื่อสายถูกรับขึ้น เย่ชูหวินได้ฟังผลก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ทั้งคู่คุยกันอีกไม่กี่คำก็ได้วางสายลง
ติงยียีก็ได้โทรไปบอกกับสวีเห้าเซิง จากนั้นนิ้วมือไม่ตั้งใจไปปัดโดนการบันทึกการโทรเข้าโทรออก เมื่อวานเย่เนี่ยนโม่นั้นได้โทรศัพท์มาหาตัวเอง จึงได้กดเข้าที่หมายเลขโทรศัพท์
เสียงรอสายดังอยู่สักพัก จากนั้นโทรศัพท์ก็โดนคนกดสายทิ้ง อ้าวเสว่มองสายโทรศัพท์ของติงยียีแวบหนึ่ง แล้วก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า:“เนี่ยนโม่ไม่ได้บอกเธอเหรอว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปเขานั้นจะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของลุงเย่!”
ติงยียีส่ายหน้า ถึงแม้ว่าครั้งนี้เย่เนี่ยนโม่จะไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง แต่ว่าเขานั้นเป็นเพื่อนของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อครุ่นคิดแล้ว ส่งข้อความไปหาเย่เนี่ยนโม่สักหน่อยก็ยังดี “ฉันถูกยกเลิกการลงโทษแล้ว”
ที่บริษัทเย่ซื่อ เย่เนี่ยนโม่มองดูข้อความในโทรศัพท์แล้วก็ยิ้มขึ้น ผู้จัดการที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเคาะโต๊ะแล้วก็กล่าวขึ้น:“เย่เนี่ยนโม่ ออเดอร์ครั้งนี้คุณต้องรับผิดชอบเองทั้งหมดนะ ถือว่าเป็นการฝึกฝนตัวคุณก็แล้วกัน”
ที่บริษัทเย่ซื่อ คนรุ่นเก่าต่างเกษียณกันไปหมดแล้ว บวกกับเย่เนี่ยนโม่ที่ตั้งแต่เด็กจงใจอยู่ให้ห่างเหินจากบริษัทเย่ซื่อ คนที่รู้จักสถานะของเนี่ยนโม่นั้นจึงมีไม่มาก อีกอย่างคำกำชับของเย่เชินหลินที่ให้ปิดเป็นความลับ ก็ยิ่งทำให้น้อยคนที่จะรู้ว่าชายหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ข้างๆนั้นเป็นลูกชายสุดรักเพียงคนเดียวของท่านประธาน
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ผู้จัดการก็โทรศัพท์ไปยังสายภายใน: “ประธานเย่ครัับ ออเดอร์จากต่างประเทศนี้ค่อนข้างที่จะสำคัญ ท่านคิดว่าควรจะหาใครสักคนมาคอยช่วยอยู่ข้างๆคุณชายน้อยไหมครับ”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset