สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1414 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1314

“คุณจะไปไหน ไปหาติงยียีเหรอ” อ้าวเสว่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือคำพูดที่หวานแหว๋วของชายหนุ่มที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้ แต่วินาทีถัดไปกลับไปพูดกับผู้หญิงคนอื่น
“ผมจะไปดูคุณแม่ที่โรงพยาบาลหน่อย” เย่เนี่ยนโม่รู้สึกเพลียจิต ทำไมอ้าวเสว่ถึงชอบลากตัวเองให้ไปเกี่ยวข้องกับยียีเสมอ ช่างน่าจริงๆเลย!
ณ ล็อบบี้ของโรงแรม
ติงยียีกำลังถูพื้นอยู่ที่ล็อบบี้คนเดียว พักนี้ทำการลาบ่อยเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปงานที่ได้มาอย่างยากเย็นก็คงรักษาไว้ไม่ได้แน่ อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ต่อให้เปิดเครื่องปรับอากาศแล้ว ติงยียีก็ยังคงทำงานเหงื่อท่วมตัว
“คุณผู้ชายโปรดเชิญทางนี้ค่ะ” ที่หน้าประตูโรงแรม โม่ซวนหลินพาแขกชายหนุ่มวัยกลางคนมุ่งเดินเข้าไปด้านใน โดยที่แววตาจ้องอยู่ที่นาฬิกาข้อมือปาเต็กฟิลิปป์ของชายหนุ่ม นาฬิกาแบบนี้หนึ่งเรือนราคาขายอยู่ที่หลายแสนหยวน และใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บวกกับชุดสูทอาร์มานี โอ้มายก็อด เศรษฐีของแท้
สวีเห้าเซิงขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ หลายปีที่ผ่านมาเขาบินไปมาอยู่ที่ต่างประเทศมาโดยตลอด และเพิ่งจะกลับประเทศ เขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการต้อนรับของโม่ซวนหลิน
โม่ซวนหลินตั้งใจเดินไปที่ด้านหน้าของติงยียี รองเท้าส้นสูงเหยียบเข้าที่ไม้ถูพื้นของติงยียีที่กำลังถูพื้นอยู่ ติงยียีไม่ใช่คนอ่อนแอที่ยอมให้คนอื่นทำอะไรก็ได้ ทันใดนั้นทำการดึงไม้ถูพื้นที่โม่ซวนหลินเหยียบไว้ออกมา
“โอ้ย!” โม่ซวนหลินจงใจล้มเซไปทางอ้อมกอดของสวีเห้าเซิง สวีเห้าเซิงจึงขยับหลบไปข้างๆ จากนั้นพยุงเธอให้พอเป็นพิธีเท่านั้น การแสดงของโม่ซวนหลินเช่นนี้เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว จึงย่อมไม่ได้เกรงใจอะไรกับเธอมากมาย
โม่ซวนหลินก็เลยล้มถลาลงไปกองที่พื้นอย่างจัง กระโปรงของโม่ซวนหลินที่ถูกดัดแปลงให้เล็กมินิทิวทัศน์ด้านในวับๆแวมๆ ทำให้แขกที่อยู่ในล็อบบี้ต่างหัวเราะขึ้น ติงยียียื่นมือไปอยากที่จะดึงตัวโม่ซวนหลินให้ลุกขึ้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน โม่ซวนหลินไม่เมตตาต่อเธอ เธอจะทำแบบเดียวกันกับโม่ซวนหลินไม่ได้
“ขออนุญาตถามว่าสามารถพาผมไปหาห้องได้ไหมครับ” สวีเห้าเซิงเห็นติงยียีครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจ เห็นคนล้มก็ไม่ซ้ำเติม เป็นผู้หญิงที่ดี
“ได้ค่ะได้” ติงยียีที่ถือไม่ถูพื้นไว้ คิดว่าถ้าถือไม้ถูกพื้นไปส่งแขกด้วยจะดูไม่ค่อยสุภาพ จึงลังเลใจเล็กน้อย สวีเห้าเซิงยิ้มแล้วหยิบไม้ถูพื้นจากนั้นยัดใส่มือของโม่ซวนหลินที่เพิ่งจะลุกขึ้นมา
โม่ซวนหลินตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก มองดูติงยียีจากไปพร้อมกับชายหนุ่มวัยกลางคน เมื่อหันหลังมาก็เห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของตัวเอง:“พี่”
“พี่ ติงยียีไปกับผู้ชายคนอื่นแล้ว ฉันว่านะติงยียีจะต้องเห็นว่าผู้ชายรวยแน่ๆ!” โม่ซวนหลินกล่าวอย่างขุ่นเคือง ใบหน้าที่ถือว่าค่อนข้างใช้ได้เต็มไปด้วยความคับข้องใจ
เย่ชูหวินเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าโม่ซวนหลินพลิกดำเป็นขาวกลับผิดเป็นถูก เย่ชูหวินยิ่งมองก็ยิ่งรำคาญ:“โม่ซวนหลิน เก็บทักษะการแสดงที่ห่วยๆของเธอซะ” เย่ชูหวินกล่าว
“พี่ พี่พูดอะไรเนี่ย!” โม่ซวนหลินน้อยใจแล้ว ที่ญาติของตัวเองออกหน้าช่วยคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่มองไม่เห็นหัวตัวเอง
เย่ชูหวินไม่อยากจะเสียเวลากับโม่ซวนหลินอีก จึงมุ่งเดินไปทิศทางที่ติงยียีเดินไป ที่หน้าบันได ติงยียีปีนจนหายใจหอบแฮ่กๆ เขารู้สึกชื่นชมชายหนุ่มวัยกลางคนนี้ที่แบรนด์เนมทั้งตัวแต่ก็ยังมาปีนบันได
“คุณผู้ชายคะ ร่างกายของท่านแข็งแรงจังเลยนะคะ!” ติงยียีอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม สวีเห้าเซิงจึงหัวเราะขึ้น:“ปกติแล้วผมงานยุ่งมาก จึงอาศัยการเจียดเวลาออกมาเพื่อออกกำลังกาย ผมพบว่าการเดินขึ้นบันไดเป็นการออกำลังที่ได้ผลดีที่สุด”
ทั้งสองคนพลางพูดพลางปีนบันไดจนมาถึงชั้น12 ติงยียีถอนหายใจยาวออกมา เมื่อเห็นเย่ชูหวินที่กำลังออกมาจากลิฟต์พอดี ติงยียีจึงเรียกขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ:“ชูหวินคุณมาหาฉันเหรอ แต่ว่าฉันยังไม่เลิกงานเลยนะ!”
เย่ชูหวินหันมายิ้มให้กับติงยียี แล้วหันไปเรียกคนที่อยู่ด้านหลังติงยียี :“สวัสดีครับลุงสวี”
สวีเห้าเซิงยิ้มตาหยีแล้วพยักหน้าให้ หลินเจี๋ยได้บอกแต่เนิ่นๆว่าจะมีคนมารับ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นลูกของไห่ฉิงฉิงกับโม่เสี่ยวจุน
“ที่แท้พวกคุณก็รู้จักกันเหรอ” ติงยียีรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่เมื่อสักครู่ตัวเองนั้นคิดไปเอง เย่ชูหวินหันไปมองติงยียี ท่าทีที่ปกติเป็นคนเฉยเมยได้ส่งยิ้มขึ้น:“เตรียมตัวเลิกงานแล้วเหรอ”
สวีเห้าเซิงมองสองคนด้วยความสนใจ ทอดถอนใจอย่างไม่น่าเชื่อว่ารุ่นต่อไปนั้นกำลังจะมีความรักกันแล้ว ติงยียีที่อยู่ข้างๆฟังน้ำเสียงของเย่ชูหวินที่อ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็รู้สึกเต้นแรง พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น:“ใกล้เลิกงานแล้ว แต่ฉันติดธุระนะ”
เย่ชูหวินไม่ได้ตื้อแล้วก็ปล่อยให้ติงยียีจากไป สวีเห้าเซิงได้กล่าวติดตลกขึ้น:“เด็กสาวคนนั้นไม่เลว ถ้าหากว่าชอบจริงๆก็ให้ลงมือเถอะ อย่าให้เหมือนกับลุงสวีของแกที่อายุปูนนี้แล้วก็ยังตัวคนเดียว”
“ทำไมลุงสวีถึงไม่แต่งงานล่ะครับ” เย่ชูหวินที่ถึงแม้ว่าปกติมักจะเย็นชา แต่เคยได้ยินคุณแม่ของตัวเองเล่าว่าคนที่เก่งกาจด้านวิทยาศาสตร์คนนี้ นอกจากสมัยวัยรุ่นเคยผ่านการแต่งงานในระยะเวลาที่สั้นมากๆแล้ว ก็ไม่เคยแต่งงานอีกเลย
“เพราะว่าเก็บคนคนหนึ่งไว้ในใจจนเธอหยั่งรากฝังลึก จึงไม่เหลือพื้นที่ไว้สำหรับคนอื่น” สวีเห้าเซิงกล่าวเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ข้างๆเซี่ยชีหรั่น แต่ก็ได้ให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของเซี่ยชีหรั่นตลอดเวลา หรือบางอีถึงเวลาที่ควรจะไปเยี่ยมเซี่ยชีหรั่นแล้ว
“ลุงสวีครับ รับท่านมาได้แล้วผมก็โล่งใจแล้ว ตอนนี้ผมจะไปที่โรงพยาบาลนำของที่คุณแม่ฝากไปให้คุณอาครับ” เมื่อคำพูดเพิ่งเปล่งออกมา สวีเห้าเซิงที่เดิมทีสุขุมดูสง่ามาตลอดทั้งปีสีหน้าได้เปลี่ยนทันที แล้วคว้าแขนของเย่ชูหวินมาดึงไว้:“แกพูดว่าอะไรนะ ชีหรั่นเป็นอะไร!”
“คุณอาไม่ได้เป็นอะไรครับ เป็นอาเขยครับที่เจ็บ แต่ว่าดีขึ้นแล้วครับ” เย่ชูหวินมองลุงสวีอย่างเงียบๆที่ทำการถอนหายใจโล่งอกอย่างห็นได้ชัด หรือว่าคนที่ลุงสวีหลงรักนั้นจะเป็นคุณอา
“ชูหวิน โรงพยาบาลไหนเหรอ” สวีเห้าเซิงที่รอแทบจะไม่ไหวแล้ว เมื่อมีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเซี่ยชีหรั่น เขาก็มักจะเสียการควบคุมตัวเอง เขาที่ตอนนี้อยากจะเห็นว่าเซี่ยชีหรั่นนั้นปลอดภัยไร้ปัญหา เย่ชูหวินเห็นลุงสวีท่าทางร้อนรน จึงได้ขับรถพาลุงสวีตรงไปโรงพยาบาลที่อาเขยพักรักษาอยู่
ที่ติงยียีบอกว่ามีธุระก็คือการมารายงานตัวที่โรงพยาบาลเฉกเช่นปกติ:“นี่ไม่ใช่ยียีเหรอ มาเยี่ยมคนอีกแล้วสิ” พยาบาลที่ยืนเข้าเวรต่างรู้จักกับติงยียีกันหมด จึงได้กล่าวขำๆ
ติงยียีพยักหน้าแล้ววิ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วย ในห้องผู้ป่วยนั้นไม่มีใครสักคนเดียว สายตาติงยียีได้ตกระทบไปที่แจกันสีขาวที่มีดอกไม้เสียบไว้อยู่ แจกันใบนั้นสวยงามมาก แต่ว่าสีแจกันนั้นดูเรียบธรรมดาเกินไป ติงยียีคิดที่อยากจะเปลี่ยนอารมณ์ให้กับลุงเย่ จึงหยิบปากกาแล้วทำการวาดขึ้น
“คุณกำลังทำอะไร” เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่ด้านหลังของติงยียี มองอีกฝ่ายที่ชูก้นขึ้นวาดบางอย่างลงในแจกันตัวโปรดสมัยราชวงศ์หมิงของคุณพ่อ
“อุ้ย!ไม่มีอะไร!” ติงยียีรีบเก็บปากกาขึ้นอย่างลนลาน เย่เนี่ยนโม่ปรายตาไปมองแจกัน ภาพวาดบนแจกันที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เป็นภาพดอกเดซี่ที่ตัวเองกับติงยียีเคยวาดบนเขื่อนเมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้
ติงยียีทำอะไรไม่ถูกจึงจับผมยาวที่สลวยปรกบ่าทัดเข้าไปที่ใบหู เผยให้เห็นถึงใบหูที่อ่อนบาง หัวใจของเย่เนี่ยนโม่เต้นกระตุกขึ้น แล้วกล่าวกับติงยียีว่า:“ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหม”
ติงยียีพยักหน้า สิ่งแรกที่ทำให้เธอดีใจที่สุดก็คือการที่สามารถช่วยเหลือคนของตระกูลเย่ ตราบใดวันที่ลุงเย่ยังไม่หายดี เธอก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ลุงเย่ให้อภัยเธอ
“หลับตา” เย่เนี่ยนโม่เองก็รู้สึกตื่นเต้น เสียงที่เปล่งออกมาจากปากจึงกระเส่าเล็กน้อย ให้ปิดตาแล้วจะสามารถช่วยได้อย่างไร เย่เนี่ยนโม่คงไม่ได้คิดอยากจะแกล้งตัวเองหรอกนะ
ติงยียีหลับตาลง มีเสียงฝีเท้าก้าวเดินมาจากด้านหน้า ติงยียีรู้สึกรางๆเหมือนว่าเย่เนี่ยนโม่นั้นกำลังสำรวจตัวเอง จากนั้นมือข้างหนึ่งพยุงศีรษะตัวเองเบาๆให้โน้มไปข้างหน้า จนกระทั่งซบลงไปที่ทรวงอกอันอบอุ่น
เย่เนี่ยนโม่กำลังโอบกอดตัวเองเหรอ ทำไม สมองติงยียีสับสนวุ่นวาย บนตัวของเย่เนี่ยนโม่มีกลิ่นหอมจางๆที่สดชื่นของกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า เป็นการโอบที่ไม่ได้แน่นมาก ติงยียีที่ต้องการจะดึงตัวกลับ
“อย่าขยับ ผมไม่ได้มีความคิดใดๆทั้งนั้น ขอเวลาผมสามนาที” เย่เนี่ยนโม่กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ สงบจิตใจลงเพื่อทำการสัมผัส ไม่มีความรู้สึกที่กะทันหัน ความรู้สึกแปลกๆเหมือนก่อนหน้านี้ ทุกอย่างดูปกติราบรื่น ตัวเองไม่ได้ชอบติงยียีจริงๆด้วย
ที่นอกประตูห้อง มือของเย่ชูหวินวางไว้ที่มือจับประตู ใบหน้าหม่นหมอง สวีเห้าเซิงเองก็ขมวดคิ้ว ตอนอยู่ที่โรงแรมเขาดูออกว่าผู้หญิงคนนี้นั้นมีความรู้สึกดีๆให้กับชูหวิน แต่ก็มีความสัมพันธ์กับเย่เนี่ยนโม่อีก ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้มีพฤติกรรมที่ไม่ดี เขาจะต้องปกป้องเนี่ยนโม่ ทำให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ให้ห่างจากตัวเนี่ยนโม่
เย่ชูหวินไม่ได้เข้าไป สถานะของเขาตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปถามยียี จึงทำการหันหลังแล้วจากไป สวีเห้าเซิงรู้สึกไม่วางใจจึงได้ตามไปด้วย ในสนามหญ้าของโรงพยาบาล สวีเห้าเซิงได้หยุดชะงักเท้าขึ้นอย่างกะทันหัน สายตาตกกระทบไปที่ร่างคู่หนึ่งที่คลอเคลียกันอยู่ไกลๆ
เซี่ยชีหรั่นกับเย่เชินหลินนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้นอนที่กว้างใหญ่ใต้ต้นเจดีย์ญี่ปุ่น แผ่นใบไม้ปลิดปลิวตกใส่ริมฝีปากบางเบาของเซี่ยชีหรั่น เย่เชินหลินค่อยๆลุกขึ้นโน้มเข้าไปใกล้เซี่ยชีหรั่น แล้วบรรจงจูบลงเบาๆที่ริมฝีปากของเซี่ยชีหรั่นที่ยังมีใบไม้ติดอยู่ ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นและโรแมนติก
“ชีหรั่น” สวีเห้าเซิงบอกไม่ถูกว่าเป็นความตั้งใจหรืออารมณ์แบบไหนกัน ที่ก้าวไปข้างหน้าขัดจังหวะภาพละมุนนั้น
พี่สวี? เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้นดีใจ หน้าผากของเย่เชินหลินจึงชนเข้าเซี่ยชีหรั่นที่ลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน เซี่ยชีหรั่นไม่ได้สังเกตดูหน้าผากของเย่เชินหลิน ลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งมาที่ข้างๆของสวีเห้าเซิง
“พี่สวี! พี่กลับมาแล้วเหรอ กลับมาแล้วจะไปอีกไหม” สำหรับสวีเห้าเซิงนั้น เซี่ยชีหรั่นรู้สึกรางๆว่าที่อีกฝ่ายไม่ยอมแต่งงานนั้นเกี่ยวพันกับตัวเอง ดังนั้นจึงทำให้รู้สึกผิดมาโดยตลอด
“ครั้งนี้ผมกลับมาเพียงไม่กี่วัน เมื่อจัดการเรื่องสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกาแล้ว สามสี่ปีข้างหน้าผมตัดสินใจว่าที่จะกลับมาปักหลักที่ประเทศ” สวีเห้าเซิงปรายตามองทางเย่เชินหลินที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นทันใด
เย่เชินหลินก้าวมาข้างหน้า มือที่แข็งแกร่งโอบเข้ามาที่เอวของเซี่ยชีหรั่น ให้เซี่ยชีหรั่นชิดเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น สวีเห้าเซิงจงใจกล่าวขึ้น:“ชีหรั่น ผมขอคุยกับคุณบางอย่างตามลำพังได้ไหม”
“ไม่ได้!” เย่เชินหลินตอบกลับอย่างดุดัน ต่อให้จะรู้ว่าชีหรั่นไม่มีทางที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับสวีเห้าเซิงได้อีกแล้ว แต่ด้วยความหึงหวงที่แรงกล้าทำให้เขาตอนนี้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก!
“เชินหลิน!อย่าดื้อสิ!” เซี่ยชีหรั่นใช้วิธีที่เคยพูดกล่อมชูฉิงตอนเด็กๆมาพูดกล่อมเย่เชินหลิน เย่เชินหลินทำปากมุ่ยแล้วกล่าวขึ้น:“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย!ให้เวลาแค่ห้านาทีนะ!”
สนามหญ้าที่เงียบสงบ สวีเห้าเซิงมองคิ้วมองดวงตาของเซี่ยชีหรั่นที่ยังคงงามลออ ทอดถอนใจแล้วก็กล่าวขึ้น:“ชีหรั่น คุณยังคงงดงามเหมือนเดิม”
เซี่ยชีหรั่นมองแววตาของสวีเห้าเซิงแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจ ตอนนั้นพี่สวีเพื่อช่วยเนี่ยนโม่ ถูกรถขูดลูกตาจนได้รับบาดเจ็บ การมองเห็นก็ไม่ได้ฟื้นฟูดีขึ้นมากเท่าไหร่ เรื่องนี้ได้ฝังรากอยู่ในจิตใจ เมื่อใดที่คิดถึงก็จะทำให้เจ็บปวดทรมาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset