สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1417 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1317

อ้าวเสว่ที่แอบฟังอยู่เงียบๆ ที่แท้ชูฉิงคุยปรึกษากับติงยียีเรื่องนี้เองหรอกเหรอ ช่างเป็นโอกาสทองชัดๆ อ้าวเสว่ได้ส่งข้อความหาไห่โจ๋ซวนกับจางถัง เห็นทีในไม่ช้าคงจะได้ดูละครดีๆสักฉากแล้ว
หลังจากงานกีฬาได้ผ่านไป การสอบปลายภาคก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที สองสามวันนี้ติงยียียุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวได้เลย ในห้องเรียน อาจารย์ถือผลงานของติงยียีกับอ้าวเสว่แล้วกล่าวขึ้น :“การบ้านครั้งนี้มีนักศึกษาสองคนที่ได้คะแนนสูงที่สุด อ้าวเสว่ไม่ต้องพูดถึง ส่วนติงยียีมีการพัฒนาที่รวดเร็วมากเลยนะ!”
อ้าวเสว่พลางรับคำแสดงความยินดีจากคนรอบข้าง แววตาก็พลางเหลือบไปมองผลงานของติงยียี ในใจรู้สึกไม่พอใจ ตัวเองต้องขยันให้มากๆ จะแพ้ให้กับติงยียีไม่ได้
เมื่อเลิกเรียน ติงยียีหยิบกระเป๋าแล้วทำท่าจะพุ่งไปด้านนอก อ้าวเสว่ก็ได้เรียกหยุดติงยียี:“ยียี นี่จะไปหาชูฉิงอีกแล้วเหรอ”
ติงยียีพยักหน้า หยิบกระเป๋าเตรียมที่จะจากไป อ้าวเสว่ก็ยัดพวงกุญแจที่น่ารักใส่มือของติงยียี “ นี่เป็นของที่ฉันซื้อมาจากร้านบูติก ฉันให้เธอหนึ่งอันนะ ฉันเองก็มีเช่นกันนะ”
พวงกุญแจมีลักษณะคล้ายเจ้าหญิงที่น่ารัก ติงยียีไม่ชอบแนวนี้ แต่ในทางกลับกันชูฉิงนั้นชอบสไตล์เจ้าหญิงแบบนี้ จึงคิดว่าน่าจะเอาไปมอบให้กับชูฉิงได้ ติงยียีจึงรับมาด้วยความดีใจ
ยังเดินมาไม่ถึงที่ห้องซ้อมเต้น ติงยียีก็ได้ยินเสียงของจางถัง
“ชูฉิง คืนนี้เต็มใจให้เกียรติผมไปรับลมชมจันทร์ด้วยกันหน่อยไหมครับ ผมได้ซื้อรถสปอร์ตมาใหม่คันหนึ่ง สมรรถนะใช้ได้เลยทีเดียว”
“เธอไม่เต็มใจ!” ติงยียีตะโกนขึ้นแล้วเดินเข้าประตูมา เดินมาที่ข้างๆเย่ชูฉิง คอยปกป้องเย่ชูฉิง จางถังเห็นติงยียีอยู่ด้วย ตัวเองคงจะไม่สามารถทำอะไรได้ เผลอๆอาจจะเสื่อมเสียภาพพจน์อีก จึงหันไปยิ้มให้กับชูฉิง จากนั้นจางถังก็จากไป
“ชูฉิงเขามาที่นี่ได้อย่างไร” ติงยียีถามด้วยความสงสัย เย่ชูฉิงก็งงเหมือนกัน ฝึกซ้อมเต้นได้เพียงครึ่งเดียว จู่ๆจางถังก็มา แล้วก็มาทักมาคุยกับตัวเอง
เมื่อเห็นติงยียี เย่ชูฉิงอยากจะเต้นท่าที่ตัวเองได้เรียนมาให้ติงยียีได้เชยชม เมื่อดนตรีดังขึ้น เย่ชูฉิงก็เริ่มเต้นทันที ได้เปลี่ยท่าเปลี่ยนสเต็ปการเต้นที่เร็วขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อดนตรีถึงท่อนฮุก เย่ชูฉิงได้ทำการหมุนอยู่หลายรอบอย่างต่อเนื่อง ร่างกายเกิดการเอนเอียงจนเสียหลัก แล้วเซล้มกระแทกไปอยู่ที่พื้น จึงได้กุมเข้าข้อเท้าแล้วก็ลุกยืนขึ้น
ติงยียีรีบวิ่งเข้าไปดึงขากางเกงขึ้น ที่เท่านั้นเขียวดำช้ำแล้ว ยังบวมอีกเล็กน้อยด้วย ในดวงตาของเย่ชูฉิงซึมด้วยน้ำตา อยากจะอดกลั้นไว้ แต่ก็ไม่สามารถกลั้นได้ หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ๆได้ไหลรินหยดสู่รองเท้าเต้น
“ไม่ชอบการเต้นเหรอ” ติงยียีถามขึ้นด้วยความเอ็นดู เธอเกลียดการเต้นเป็นที่สุด แต่ว่าโจ๋ซวนนั้นชอบผู้หญิงที่เต้นเป็น เธออยากจะใช้การเต้นในการดึงดูดความสนใจจากโจ๋ซวน
“อยากจะยอมแพ้ไหม” ติงยียีถามขึ้น เย่ชูฉิงส่ายหน้า ลุกขึ้นจัดวางท่าแล้วอยากทำการเต้นใหม่อีกครั้ง ติงยียีเอาพวงกุญแจที่อ้าวเสว่ให้ วางใส่ในมือของเย่ชูฉิงแล้วกล่าวให้กำลังใจขึ้น:“ชูฉิง!สู้ๆ!”
เย่ชูฉิงมองติงยียีด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วก็เริ่มการเต้นขึ้น ติงยียีที่นั่งมองอยู่ข้างๆ สักพักถึงนึกขึ้นได้ว่าได้นัดเมิ่นเจ๋ไว้ที่ร้านกาแฟ
จึงได้รีบวิ่งไปที่ร้านกาแฟ ในร้านกาแฟไม่มีใครสักคน ติงยียีจึงมองหารอบๆ ขณะที่กำลังมึนงงสงสัย จู่ๆก็มีกระดาษมากมายตกลงมาจากเพดาน ซ่งเมิ่นเจ๋เข็นเค้กออกมาจากห้องเล็กๆอีกห้องหนึ่ง
“รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร” ซ่งเมิ่นเจ๋ถามขึ้นอย่างเจ้าเล่ย์ แล้วยังปิดเค้กไว้ไม่ให้ติงยียีได้เห็น ติงยียีครุ่นคิดแล้วแกล้งพูดขึ้น:“โอ๊ย นึกไม่ออกจริงๆ นึกไม่ออกว่าเป็นวันครบรอบปีที่สี่ที่ฉันได้รู้จักกับเมิ่นเจ๋”
ซ่งเมิ่นเจ๋ปล่อยมือออกอย่างดีใจ หน้าเค้กได้เขียนไว้ว่าฉลองครบรอบสี่ปีแห่งมิตรภาพคำว่าเพื่อน ในปีแรกนั้นทั้งคู่ได้ตกลงกันแล้วว่าเมื่อครบหนึ่งปีก็จะทำการฉลองกันหนึ่งครั้ง แต่ว่าติงยียีนั้นค่อนข้างสะเพร่า ทุกๆครั้งก็จะมีแต่ซ่งเมิ่นเจ๋ที่คอยใส่ใจค่อยเตรียมเค้กเอาไว้
“โอเค!รีบอธิษฐานเถอะ!” ซ่งเมิ่นเจ๋หลับตาแล้วก็พูดงึมงำต่อหน้าเค้ก:“ขอให้โจ๋ซวนมีความสุขตลอดไป ขอให้ฉันได้มีความรักที่ดีๆ”
ติงยียีเห็นท่าทางบนใบหน้าที่คาดหวังและมีความสุขของเมิ่นเจ๋แล้วไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ถ้าหากเมิ่นเจ๋รู้ว่าตัวเองนั้นช่วยชูฉิงจีบไห่โจ๋ซวนมาโดยตลอด เธอคงจะต้องโกรธน่าดู
ข่มความรู้สึกผิดในใจลงแล้ว ติงยียีฝืนหน้าให้ยิ้มแล้วก็ทานเค้ก ซ่งเมิ่นเจ๋โน้มตัวไปหาแล้วกล่าวขึ้น:“วันนี้ตอนที่อยู่ในห้องเรียนได้ยินโจ๋ซวนบอกว่าลุงเย่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ เธอรู้สึกผิดมาตลอดไม่ใช่เหรอ อยากจะไปเยี่ยมสักหน่อยไหม”
ติงยียีพยักหน้า ในที่สุดลุงเย่ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ว่าคุณน้าเชี่ยนั้นยังไม่ให้อภัยตัวเอง วันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่ไปหาแล้ว
เมื่อทานเค้กกับเมิ่นเจ๋เสร็จแล้ว ติงยียีจึงตั้งใจไปที่ร้านขายดอกไม้เพื่อซื้อดอกลิลลี่ช่อหนึ่ง จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาลอย่างใจจดใจจ่อ
เพิ่งมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ติงยียีก็ต้องตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
ไม่เพียงแต่แพทย์มามุงล้อมรอบ ยังมีชายหนุ่มมากมายที่สวมใส่ชุดสูทรองเท้าหนังมารายล้อมคุณเย่ไว้ เย่เนี่ยนโม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของคุณเย่ อ้าวเสว่ที่ประคองมือของคุณน้าเชี่ยไว้ ทุกคนดูเอิกเกริก แล้วมองไปยังคนอื่นถือของขวัญ ติงยียีพบว่าดอกไม้ช่อเดียวของตัวเองนั้นช่างเทียบอะไรไม่ได้เลย
เทียบไม่ได้ก็ต้องให้ ติงยียีให้กำลังใจตัวเอง ถือดอกไม้แล้วเดินก้าวไปข้างหน้า “ลุงเย่คะ ขอให้ท่านหายเร็วๆนะคะ!” ติงยียียื่นมือสุดแขนตรงๆออกไป
“เธอทำแบบนี้เหมือนจุดธูปให้ผมเลย” เย่เชินหลินกล่าวเบาๆ ติงยียีจึงรีบดึงมือกลับอย่างอับอาย มืออีกคู่หนึ่งได้ยื่นมารับดอกไม้ไป
บรรดาผู้ประกอบการที่อยู่รอบๆต่างมองคุณชายแห่งบริษัทเย่ซื่อที่ยื่นมือไปรับดอกไปเองด้วยความประหลาดใจ ของขวัญของตัวเองนั้นมูลค่านับหมื่น แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับไปรับช่อดอกไม้เพียงช่อเดียว
อ้าวเสว่มองติงยียีแล้วก็มองเย่เนี่ยนโม่ ประคองมือที่อ่อนนุ่มของเซี่ยชีหรั่นไว้แล้วกล่าวขึ้น:“ยียีนั้นให้ด้วยใจจริงๆนะคะน้าเซี่ย น้าเซี่ยโปรดเห็นแก่อ้าวเสว่อย่าไปถือสายียีเลยนะคะ”
เซี่ยชีหรั่นตบมืออ้าวเสว่เบาๆ ใบหน้าผุดรอยยิ้มขึ้นจางๆ :“หนูดีขนาดนี้ เนี่ยนโม่ได้หนูมาดูแลน้าก็วางใจแล้ว”
“ฉันไม่ได้ถือโทษโกรธเธอแล้วจริงๆ เธอก็อดทนมาได้นานขนาดนี้ถือว่าไม่ง่ายนัก” เซี่ยชีหรั่นเดินมาที่ด้านหน้าของติงยียีแล้วก็ตบเข้าที่หลังมือติงยียีเบาๆ ในแววตาที่เปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความรักความเมตตา
ติงยียีรีบโค้งคำนับให้ “ขอบคุณคุณน้าเชี่ยมากค่ะ!” เซี่ยชีหรั่นตกใจรีบพยุงตัวติงยียีขึ้น นิสัยที่ดื้อรั้นของเด็กคนนี้ทำไมถึงช่างเหมือนกับจิ่วจิ่วนักนะ
“อ้าวเสว่ หนูมีเวลาว่างไหม ไปเดินห้างเป็นเพื่อนน้าหน่อยสิ” เซี่ยชีหรั่นหันหน้าไปพูดกับอ้าวเสว่ อากาศฤดูร้อนเริ่มอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลาที่ต้องเตรียมเสื้อผ้าฤดูร้อนไว้ให้กับคนในครอบครัวแล้ว
อ้าวเสว่ปรายตาไปมองเย่เนี่ยนโม่แวบหนึ่ง เดิมทีได้ตกลงกับเนี่ยนโม่ไว้แล้วว่าจะไปทานข้าวด้วยกัน เซี่ยชีหรั่นที่อยู่ข้างๆสังเกตดูอยู่ข้างๆ อ้าวเสว่จึงรีบยิ้มแล้วกล่าวขึ้น:“ได้สิค่ะน้าเชี่ย หนูดีใจเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ!”
เซี่ยชีหรั่นกับเย่เชินหลินจากไปด้วยการถูกห้อมล้อม ติงยียียืนอยู่ที่เดิมด้วยความอับอาย เย่เนี่ยนโม่ที่ได้ย้อนกลับมา เห็นติงยียียังยืนอยู่ที่เดิมจึงได้ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น:“ทำไม ยังไม่อยากจะจากไปเหรอ”
ติงยียีส่ายหน้า พยายามดึงขาที่ยืนตรงของตัวเอง “เมื่อกี้นั้นตื่นเต้นเกินไป ขาก็เลยเป็นเหน็บชา!”
“เจ้าบื้อเอ๊ย!” เย่เนี่ยนโม่พึมพำ เดินเข้าไปประคองติงยียี ติงยียีจึงได้ถามขึ้น:“ได้ยินมาว่าคุณไปคุยธุรกิจมา ทุกอย่างราบรื่นไหม”
“อืม” เย่เนี่ยนโม่พลางประคองติงยียีพลางกล่าวแบบขอไปที ทันใดนั้นติงยียีจู่ๆได้โน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของเย่เนี่ยนโม่ เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้น แล้วใช้มือผลักแก้มของติงยียีออกอย่างไม่เกรงใจ:“เข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม!”
“เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังโกหก คุณไม่มีความสุขเลยสักนิด” ติงยียีแทบอยากจะฉีกใบหน้าที่เสแสร้งของเย่เนี่ยนโม่ออกมา
เย่เนี่ยนโม่ตกใจชะงักงัน แม้แต่แม่ยังดูไม่ออกว่าตัวเองวันนี้นั้นอารมณ์ไม่ดี ติงยียีทำไมถึงดูออก อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกแปลกๆเกิดความอยากขึ้นมาทันใด ความอยากที่อยากจะอยู่กับติงยียีอีกสักพัก
ในร้านอาหาร ติงยียีเปิดดูเมนูอาหาร แค่กุ้งมังกรย่างราคาก็ปาไป3300หยวนแล้ว กุ้งมังกรนี้เป็นกุ้งที่ลอดผ่านประตูมังกรมาหรือไง ทำไมถึงแพงแสนแพงเช่นนี้! เย่เนี่ยนโม่นั่งจิบไวน์อย่างสง่างาม แล้วพลางพูดโกหกอย่างเนียนๆ:“วันนี้อ้าวเสว่ไปเป็นเพื่อนคุณแม่จึงไม่มีเวลา เธอก็ได้ลาภปากไง”
เดิมทีทางโรงแรมมีบริการยกเลิกการสั่งจอง แต่ทว่าเย่เนี่ยนโม่ในวินาทีนั้นเกิดความคิดที่อยากจะอยู่กับติงยียีอีกสักพัก เมื่อรู้ตัว อีกที ตัวเองก็ได้นั่งทานกุ้งมังกรกับติงยียีแล้ว
“คนมีเงินนั้นส่วนมากชอบทานอาหารฝรั่งใช่ไหม!” ติงยียีพึมพำพร้อมหั่นกุ้งมังกรที่กึ่งสุกกึ่งดิบที่อยู่ตรงหน้า ด้านหน้ามีร่างหนึ่งได้ลุกยืนขึ้น เย่เนี่ยนโม่กล่าวเบาๆ:“ของที่ไม่ชอบก็อย่าไปฝืน”
ติงยียีมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะราคาเกือบหมื่นหยวนถูกทิ้งไปต่อหน้าต่อหน้าเช่นนี้ เห็นเย่เนี่ยนโม่ที่เดินออกไปแล้ว ติงยียียกแก้วไวน์ผลไม้ที่เย่เนี่ยนโม่อุตส่าห์ตั้งใจสั่งมาให้ดื่มจนหมดแก้ว แล้วก็รีบตามไป
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันไม่ชอบทานอาหารฝรั่ง” ติงยียีเดินตามหลังเย่เนี่ยนโม่แล้วกล่าวขึ้น เย่เนี่ยนโม่จึงหันหลังมามองติงยียี:“ก็เหมือนกับที่เธอรู้ว่าวันนี้ผมอารมณ์ไม่ดีไง”
ทั้งคู่ต่างชะงัก สายตาจ้องไปที่แก้มของอีกฝ่าย รู้สึกลนลานจึงเบนสายตาหลบ ทันใดนั้นแก้มหน้าก็ถูกจับให้ตั้งตรง ติงยียีมองแก้มของเย่เนี่ยนโม่ที่ชิดเข้ามาใกล้ด้วยความมึนงง
แก้มที่ทั้งร้อนทั้งคัน ติงยียีไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงทำได้เพียงปิดตาลงอย่างลนลาน สักพักก็ค่อยๆลืมตาขึ้น เย่เนี่ยนโม่ตกใจแล้วก็กล่าวพิลึกขึ้น:“คุณแพ้อาหารบางอย่างใช่ไหม” ติงยียีพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ :“ใช่ แพ้ลูกท้อ คุณถามทำไม”
เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของติงยียีมาถึงที่หน้ารถ แล้วปรับกระจกมองหลังขึ้น ติงยียีโน้มตัวไปส่อง เห็นใบหน้าของตัวเองมีผื่นแดงๆขึ้น แก้มซ้ายยังบวมเล็กน้อยอีก ทั้งตัวดูไม่ต่างไปจากหัวสุกรเลย เมื่อสักครู่เย่เนี่ยนโม่ยังเข้ามาประชิดใกล้ตัวเองขนาดนั้น ช่างน่าอับอายชะมัดเลย
“ขึ้นรถ” เย่เนี่ยนโม่พาติงยียีมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาล เมื่อฉีดยาแก้แพ้ไปหนึ่งเข็ม ติงยียีก็นอนสลบไป เย่เนี่ยนโม่นั่งดูหนังสืออยู่ข้างๆ ติงยียีได้ถีบผ้าห่มออก เย่เนี่ยนโม่วางหนังสือลงอย่างเพลียจิตแล้วเดินไปห่มผ้าห่มให้กับติงยียี
สายตาอดไม่ได้ที่จะจ้องไปใบหน้าที่บวมเป่งของติงยียี เย่เนี่ยนโม่จึงได้นั่งลงแล้วยื่นมือไปลูบที่แก้มของติงยียี แผ่นเนื้อที่นุ่มนิ่มบนใบหน้าขึ้นๆลงๆพร้อมกับลมการหายใจของติงยียี

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset