สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1440 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1340

เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้โต้แย้งที่หญิงชราเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เขาดึงติงยียีให้เดิน แต่เธอไม่ยอม พยายามเดินไปทางกลุ่มหญิงชราสุดชีวิต พลางงึมงำว่า “ในตอนนี้ทำไมถึงได้หางานได้ยากเย็นขนาดนี้ จะเต้นก็ไม่ยอมให้เต้น!”
เย่เนี่ยนโม่เห็นว่าเธอเมาไม่น้อย จึงทำได้เพียงแค่หยุดเท้าแล้วปลอบอย่างอดทน “พวกเราไปพักผ่อนกันสักหน่อย อีกครู่ค่อยกลับมาเต้นดีไหม?”
นัยน์ตาทอประกายทั้งคู่ของติงยียีมองมาที่เขา เบะปาก เอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจว่า “นายโกหก นายคิดจะบีบให้ฉันดื่มเหล้าขาวใช่หรือไม่ เหล้านั้นไม่อร่อยเลย!”
“มีคนบังคับให้เธอดื่มเหล้า?” เย่เนี่ยนโม่ตาเป็นประกายวาบ เสียงก็ส่อแววอันตรายขึ้นมา
ติงยียีไม่ตอบ แต่กลับนั่งลงบนพื้น เงยหน้ามองเขา เย่เนี่ยนโม่ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกับเธอ เสียงก็อ่อนลงโดยไม่รู้สึก ทั้งยังเจือไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ด้านนอกมีอุณหภูมิ 40 องศา เธอนั่งบนพื้นไม่กลัวว่าจะลวกก้นหรือ”
ติงยียีเอียงคอมองเขา คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้า พลางเอ่ยว่า “ลวก! แต่ฉันไม่ลุก!”
หมดหนทางที่จะสื่อสารกับคนเมาจริงๆ! เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหแล้วเดินออกไปด้านนอกโดยทิ้งเธอเอาไว้ เธออยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ก็นั่งไปเลย!
“ฮือๆๆๆ!” เสียงร้องไห้แผ่วเบาดังมาจากด้านหลังเขา คุณลุงคุณป้าที่อยู่รอบๆพากันเดินเข้ามา “พ่อหนุ่ม อย่าทิ้งภรรยาเธอไว้ที่นี่เพราะเธอดื่มเหล้านะ ที่นี่มีคนเลวเยอะมาก!”
เย่เนี่ยนโม่มองคุณลุงคุณป้ารอบๆอย่างหมดคำบรรยาย เขาถอนหายใจแล้วเดินกลับไปข้างกายติงยียี เขายอมรับว่า ตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอแล้วมีความคิดหุนหันที่จะจูบเธอ
เย่เนี่ยนโม่ย่อตัวลงสบตากับติงยียีที่ร้องไห้จนตาพร่าเลือนไปด้วยน้ำตา เธอที่นั่งอยู่ทำได้เพียงแค่พยายามเงยหน้า
“ฉันจะไปช่วยเธอจัดการคนเลวที่รังแกเธอดีไหม ลุกขึ้นมาจากพื้นก่อน ไม่อย่างนั้นจะถูกลวกจนพองเข้าจริงๆแล้ว” เย่เนี่ยนโม่เอ่ยเสียงอ่อน
ติงยียีก้มหน้าครุ่นคิด และเงยหน้าขึ้นมาเบะปากออดอ้อน “นายต้องให้สัญญาก่อน!”
เย่เนี่ยนโม่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังปลอบเย่ชูฉิงในตอนเด็ก แต่ความยากในการปลอบติงยียีที่เมานั้นมากกว่าตอนที่ปลอบเย่ชูฉิงมากกว่าสิบเท่า เมื่อเห็นเธอเอ่ยเงื่อนไขไม่เลิก ก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า
“หอมแก้ม!” ติงยียีที่เมาจนมึนงงยังคงจำได้ว่าตอนเด็กๆที่คุณแม่รับปากตัวเองว่าจะทำเรื่องอะไรล้วนหอมแก้มตัวเอง บางทีความรู้สึกตรงหน้านี้มีความคุ้นเคยและอบอุ่นมากเกินไป เธอจึงขอให้ทำแบบเดียวกันตามจิตใต้สำนึก
ข้างแก้มมีสัมผัสอุ่นร้อนลอยมา แวบเดียวก็จากไปในทันที เธอเงยหน้าอย่างมึนงง ได้สติกลับมาเล็กน้อย เมื่อหรี่ตามองก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เย่เนี่ยนโม่? ไม่ถูกๆ สายตาของเขาจะอ่อนโยนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
เย่เนี่ยนโม่ได้ยินที่เธอพูดไม่ชัด ทั้งไม่สนใจ และถือว่าเธอโวยวายเพราะความเมา จากนั้นก็ดึงเธอที่เชื่อฟังขึ้นมานั่งบนม้าหินที่อยู่ด้านข้าง
ลมยามเย็นพัดผ่านไป ทำให้เส้นผมของติงยียีพันกันเล็กน้อย มือคู่หนึ่งค่อยๆเกลี่ยปอยผมที่อยู่บนเปลือกตาของเธอออกอย่างเบามือ
ติงยียีรู้สึกสบายจนงึมงำเสียงเบา และเข้าสู่สภาวะหลับลึกยิ่งกว่าเดิม เย่เนี่ยนโม่หันหน้าไปมองเธอที่หลับสนิทอยู่บนไหล่ของตัวเองเล็กน้อย และมองนาฬิกา หนึ่งชั่วโมงใกล้จะผ่านไปแล้ว เขาจำเป็นต้องไปแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดเบอร์โทรศัพท์มือถือหมายเลขหนึ่ง
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากเขา เย่ชูหวินก็รีบบึ่งมาด้วยความรวดเร็ว และรับติงยียีที่กำลังหลับสนิทเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง
เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นยืน ลูบรอยยับบนกางเกงให้เรียบ และเอ่ยเรียบๆว่า “ดื่มเหล้าขาวแล้วก็เบียร์ นอนหลับสักหน่อยก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว”
เย่ชูหวินพยักหน้า เย่เนี่ยนโม่ยังคงไม่ไว้ใจอยู่บ้าง เมื่อก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาเอ่ยว่า “จำเอาไว้ว่าต้องซื้อยาแก้เมาให้เธอด้วย ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เธอจะปวดหัว!”
“เนี่ยนโม่ ดูเหมือนว่านายจะลืมไปว่าฉันก็ชอบเธอมากเช่นกัน” เย่ชูหวินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฝีเท้าเย่เนี่ยนโม่ชะงัก พยักหน้าให้กับเขาและจากไปอย่างรวดเร็ว
“รู้อยู่แท้ๆว่าฉันชอบเธอ แต่คนแรกที่เธอเลือกก็ยังคงเป็นเขาหรือ” เย่ชูหวินยิ้มเฝื่อน มองหญิงสาวที่กำลังหลับสนิทในอ้อมแขนของตัวเอง
ท้องถนนในช่วงเวลาใกล้รุ่งสางมีรถบางตา เย่เนี่ยนโม่ที่ขับรถด้วยความเร็วสูงมาตลอดเป็นเวลานานก็หยุดลงกะทันหัน สมองของเขามีคำพูดของเย่ชูหวินที่พูดเมื่อครู่ดังสะท้อนอยู่ตลอด หรือว่าตัวเองจะชอบติงยียีขนาดนั้นจริงๆกันนะ?
เพียงแค่เอ่ยออกมา คำตอบก็จะปรากฏ เย่เนี่ยนโม่พบว่าเขาไม่ได้รังเกียจคำตอบนี้ มุมปากยกขึ้นแย้มเป็นรอยยิ้ม ในเมื่อหาคำตอบได้แล้ว อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องสับสนอีก หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรออกไปอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับลุงหลิน ผมคือเนี่ยนโม่ ผมอยากจะขอให้คุณช่วยอะไรอย่างหนึ่ง!”
ติงยียีถูกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองรบกวนจนตื่น เธอสะดุ้งตัวขึ้นมา มองไปรอบๆด้วยความมึนงง เห็นได้ชัดว่าเป็นการตกแต่งสไตล์โรงแรม แต่ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
เธอจำได้อย่างเลือนรางว่าเมื่อวานตอนบ่ายหลังจากตัวเองสัมภาษณ์งานเสร็จแล้วได้ซื้อเบียร์โหลหนึ่งไปที่ชายฝั่งตะวันตก หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเมาแล้ว? ดูเหมือนว่าเย่เนี่ยนโม่จะมา? เป็นเขาที่พาตัวเองมาส่งที่โรงแรมหรือ
“เย่เนี่ยนโม่!” ติงยียีตะโกนเสียงดัง กลางประตูบานเลื่อนห้องครัวปรากฏเงาร่างคนคนหนึ่ง ติงยียีที่นั่งอยู่บนเตียงโวยวายเสียงดัง “ทำไมถึงไม่ส่งฉันกลับบ้าน”
“คุณลุงไม่อยู่ ดังนั้นฉันจึงพาเธอมาส่งที่นี่” เย่ชูหวินยกนมเดินมาถึงหน้าติงยียี วางนมลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อครู่เธอตะโกนเรียนชื่อของเย่เนี่ยนโม่สินะ เย่ชูหวินพบว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ 24 ชั่วโมง จำนวนครั้งที่ตัวเองยิ้มเจื่อนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ชูหวิน!” ติงยียีหน้าแดงก่ำ รีบขดตัวไปในผ้าห่ม ท่าทางที่ไม่เป็นกุลสตรีเลยแม้แต่น้อยของตัวเองเมื่อครู่นี้จะต้องถูกเห็นแล้วแน่ๆ ทำอย่างไรดี!
ติงยียีแอบมองเขา พบว่าหลังจากฝ่ายตรงข้ามถอนหายใจเสียงยาวด้วยสีหน้าท่าทางปกติแล้ว เย่ชูหวินก็เร่งให้เธอดื่มนมให้หมดแล้วจึงเอ่ยลา
ติงยียีอยากจะให้เขาอยู่ต่อ พลางหาอะไรคุย “เมื่อวานนี้นายส่งฉันมาที่นี่หรือ”
เย่ชูหวินพยักหน้า ใครบอกว่ามาส่งที่โรงแรมจะไม่นับว่าส่งกัน บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนประหลาดเล็กน้อย ติงยียีพยายามเค้นความคิดอย่างอยากที่จะคุยกับเขา แต่กลับพบว่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร บางทีการที่เผชิญหน้ากับคนที่ชอบ ก็มักจะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด ดังนั้นถึงได้ระมัดระวังขนาดนี้ ระมัดระวังจนเป็นกังวลว่าประโยคหนึ่งจะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีเอาไว้ในใจเขา
เย่ชูหวินนึกว่าเธอกำลังคิดถึงเย่เนี่ยนโม่ ในใจก็ยิ้มเจื่อน แม้ว่าตัวเองจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ในใจเธอกลับมองไม่เห็นตัวเอง แอบดูหมิ่นความกล้าบ้าบิ่นแต่ไร้ซึ่งแผนการใดๆของตัวเองในตอนนี้ เขาโกหกว่า “เธอพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันมีธุระต้องไปแล้ว”
เย่ชูหวินจากไปแล้ว ติงยียีจ้องมองโทรทัศน์ด้วยความหดหู่ใจ และนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าวันนี้ตัวเองมีนัดสัมภาษณ์หนึ่ง ทั้งยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดสัมภาษณ์แล้ว!
เธอพุ่งตัวออกจากห้องในโรงแรมในทันที ลงลิฟต์โดยสาร พุ่งออกจากห้องโถงของโรงแรมโดยไม่คิด เสียงเบรกดังขึ้น รถจักรยานยนต์คันหนึ่งหยุดอยู่ห่างจากเธอไม่กี่เมตร
ติงยียีถูกเสียงแหลมสูงของเบรกทำให้สะดุ้งจนล้มลงกับพื้น เย่ชูหวินรีบวิ่งมาด้านหน้าเธอด้วยความร้อนใจ พลางเอ่ยถามว่า “มีตรงไหนที่กระแทกหรือชนถูกหรือไม่”
ติงยียีส่ายหน้าตามจิตใต้สำนึก เย่ชูหวินถึงได้วางใจ เอ่ยถามว่า “ทำไมถึงได้รีบร้อนพรวดพราดออกมาแบบนี้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ติงยียีที่ถูกทำให้ตกใจก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที เย่ชูหวินมองเธอ ในใจก็คิดว่า เธอมาหาตัวเองใช่หรือไม่ ถ้าคิดให้เข้าข้างตัวเองอีกนิด เธอไม่ต้องการให้ตัวเองจากไป?
“ฉันใกล้จะไปสัมภาษณ์สายแล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ติงยียีถึงได้เอ่ยตอบ เธอยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนใจ ภายใต้การช่วยเหลือให้ลุกขึ้นยืนของเย่ชูหวิน ก็คิดจะเดินไปด้านนอก
เย่ชูหวินดึงเธอกลับมา ชี้ไปที่รถจักรยานยนต์ของตัวเอง ในใจก็เต็มไปด้วยความขมขื่น ช่างมันเถอะ ผลลัพธ์ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก ถ้าหากเธอพูดว่าจะไปหาเย่เนี่ยนโม่เมื่อครู่นี้ คาดว่าตัวเองคงเสียความควบคุมในสถานการณ์นี้แล้ว
“ฉันจะไปส่งเธอ ตอนนี้เป็นเวลาเข้างาน รถมักจะติด นั่งรถแท็กซี่ก็ไปไม่ทันหรอก” เย่ชูหวินยื่นหมวกกันน็อกให้เธอ
ติงยียีก้มหน้ามองกระโปรงทรง A ที่ตัวเองสวมไปสัมภาษณ์งานเมื่อวาน เย่ชูหวินเข้าใจในทันที ถอดเสื้อเชิ้ตที่เป็นเสื้อคลุมผูกไปบริเวณเอวเธอ และถือโอกาสขยี้ผมเธอ พลางเอ่ยว่า “ชุดนี้เหมาะกับเธอ”
“อย่างนั้นหรือ…” ติงยียีใบหน้าแดงระเรื่อ แอบตัดสินใจว่าจะต้องไปซื้อกระโปรงแบบนี้สักหลายตัว!
หน้าอาคารพาณิชย์อาคารหนึ่ง รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าอาคาร รถโตโยต้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่ในที่จอดรถตำแหน่งนั้น ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “รถจักรยานยนต์เส็งเครงยังจะมีหน้ามาจอดในที่จอดรถอีก!”
วัยรุ่นที่อยู่อีกด้านจอดรถเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “รถจักรยานยนต์คันนั้นของเขา แค่ล้อเดียวก็สามารถซื้อรถคุณได้คันหนึ่งแล้ว!”
เหยนหมิงเย้ามองคนขับรถโตโยต้าที่โมโหจนตบลงบนพวงมาลัยแล้วหันหน้าไปมองรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ในสถานที่ไกลๆนั้นด้วยความพึงพอใจ รถในบ้านล้วนถูกคุณแม่เก็บขึ้นหมด เพื่อบังคับให้ตัวเองไปทำงาน ไม่อย่างนั้นจะขายรถที่ตัวเองรักทั้งหมดให้กับร้านรับซื้อของเก่า เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจเสียงแรง
ติงยียีถอดหมวกกันน็อกแล้ววิ่งไปในห้องโถงทันที แต่ถูกเย่ชูหวินเรียกเอาไว้ เธอหันกลับมา มองมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจสาเหตุ
เย่ชูหวินเดินไปถึงหน้าเธอ ยื่นมือออกไปช่วยจัดผมที่ถูกหมวกกันน็อกทำให้ยุ่ง เอ่ยยิ้มๆว่า “เธอแน่ใจนะว่า จะแต่งตัวแบบนี้ไปสัมภาษณ์งาน?”
ติงยียีถึงนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของเขายังผูกอยู่ที่เอวของตัวเอง จึงรีบคลายออกแล้วยื่นให้ แต่ก็รีบดึงเสื้อผ้ากลับมาราวกับว่าคิดอะไรได้ พลางเอ่ยว่า “ฉันซักเสื้อผ้าให้สะอาดก่อนแล้วค่อยคืนนายแล้วกัน”
เย่ชูหวินไม่ปฏิเสธ สามารถมีโอกาสได้ไปมาหาสู่กับเธอมากขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจะไม่ยินดีได้อย่างไรกัน เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็เอ่ยต่อว่า “เอาพรุ่งนี้เลยแล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ใช่วันเสาร์หรือ พวกเราพาแพนด้าไปว่ายน้ำกัน?”
แน่นอนว่าติงยียีรับปาก หลังจากที่ทั้งสองคนนัดเวลากันเรียบร้อยแล้ว เย่ชูหวินถึงได้จากไป ติงยียีวิ่งรวดเดียวขึ้นไปที่ชั้นห้า เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกห้านาที ก็จัดแต่งทรงผม ก้มหน้าไปสูดดมเสื้อเชิ้ตของเย่ชูหวินครั้งหนึ่ง เพื่อสร้างความมั่นใจ และเอ่ยเต็มที่ว่า “สู้ตาย!”
ติงยียีที่ให้กำลังใจตัวเองหันหน้าไปเห็นคุณป้าที่ทำความสามารถมองเธอด้วยความประหลาดใจ หรือว่าการกระทำที่สูดดมเสื้อเชิ้ตเย่ชูหวินเมื่อครู่นี้ของตัวเองถูกเห็นแล้ว? ติงยียีมองคุณป้าที่ทำความสะอาดเดินจากไปโดยที่หันกลับมามองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นครั้งแรก
ภายในห้องทำงาน ชายหนุ่มตาตี่พลิกประวัติส่วนตัวของเธอดังฟึบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปิดประวัติส่วนตัวลง ชี้ไปยังประวัติส่วนตัวที่วางตั้งเป็นกองสูง พลางเอ่ยว่า “คุณดู นี่คือประวัติส่วนตัวที่ส่งมาให้บริษัทพวกเราในวันนี้ แต่ผมเห็นว่าคุณเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง จึงอยากจะให้โอกาสคุณสักครั้ง”
ติงยียีเฝ้ามองเขาอย่างใจจดใจจ่อ พยักหน้าติดๆกัน ชายหนุ่มตาตี่เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “เอาแบบนี้แล้วกัน ช่วงฝึกงาน 1,000 สามเดือนเปลี่ยนผ่านจากการฝึกงานเป็นพนักงานประจำ เมื่อเป็นพนักงานประจำแล้ว เงินเดือนก็ดูการประพฤติตัวของคุณ ปกติอยู่ที่ 2,500 คุณก็รู้ว่าสายงานอัญมณีนี้จะต้องก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว ตอนนี้คือช่วงอดทนสั่งสมประสบการณ์”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset