สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1442 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1342

“เนี่ยนโม่! ไม่ได้มาเยี่ยมลุงนานแล้วนะ” โม่เสี่ยวจุนได้ยินเย่เนี่ยนโม่เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาตัวเองก่อนแม้ว่าจะไม่ได้เปิดการประชุมใดๆก็ตาม เขาก็เลยตั้งใจรับสายโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุย
“คุณลุงครับ ชูหวินอยู่ไหมครับ? ระยะนี้ไม่ใช่ว่าคุณป้าสุขภาพร่างกายไม่ดีหรอกหรือครับ? เขาน่าจะอยู่ที่บ้านสินะครับ”
“ไม่อยู่บ้านหรอก ไอ้ลูกเวรคนนี้ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหนแล้ว เธอก็พูดถูกนะ วันนี้ฉิงฉิงก็เอาแต่พูดถึงหลายครั้งแล้ว ลุงจะโทรเรียกมันกลับมาเดี๋ยวนี้เลย! ”
ในขณะที่เย่ชูหวินกำลังสอนติงยียีว่ายน้ำอยู่ โทรศัพท์มือถือที่อยู่บนฝั่งก็ดังขึ้น พอเขากดรับสาย โม่เสี่ยวจุนก็เริ่มเทศนาขึ้นมาอย่างกับอยู่ซึ่งๆหน้าเขา บทสรุปมีเพียงหนึ่งเดียว คือกลับมาทำหน้าที่ลูกกตัญญู!
“ถ้านายมีธุระนายก็ไปก่อนเถอะ ฉันเล่นกับแพนด้าอยู่ที่นี่อีกสักพักก็จะกลับไปแล้ว” ติงยียีเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ จึงรีบพูดออกมา
“งั้นเธอก็อยู่ในบริเวณน้ำตื้นๆนะ อย่าออกห่างขอบสระไปมาก และถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรหาฉันนะ” พอพ่อพูดแบบนั้นเมื่อสักครู่นี้ ภายในใจของเขาก็เริ่มเป็นห่วงอาการป่วยของแม่ขึ้นมา
หลังจากกำชับเรียบร้อยแล้ว เย่ชูหวินก็รีบร้อนออกไปทันที ติงยียีถอนหายใจและไม่มีอารมณ์เล่นสนุกแล้ว พอเพิ่งคิดว่าจะลุกขึ้น ร่างที่แข็งแรงและปราดเปรียวร่างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากพื้นน้ำ
“ติงยียี? ทำไมบังเอิญขนาดนี้ วันนี้เธอก็มาเล่นที่นี้ด้วยเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่ทำท่าทางประหลาดใจออกมา ติงยียีก็ประหลาดใจมากเช่นเดียวกัน เธอเคยไปที่บ้านตระกูลเย่แล้ว สระว่ายน้ำที่บ้านตระกูลเย่ก็ใหญ่กว่าที่นี่เสียอีก
ทั้งสองคนคุยเล่นกันอยู่หนึ่ง เย่เนี่ยนโม่ก็เริ่มเสนอตัวจะสอนเธอว่ายน้ำอย่างตั้งใจ ติงยียีเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายแล้ว และแพนด้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน เธอจึงส่ายหน้าปฏิเสธเขา
ในขณะที่ติงยียีกำลังพาแพนด้าจากไป เย่เนี่ยนโม่ก็ออกมาจากสระว่ายน้ำด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มใจ และแล้วก็มีคนเรียกเขาไว้จากด้านหลังว่า “เนี่ยนโม่!”
สวีเห้าเซิงคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้พบเขาที่นี่ บนใบหน้าของเขาจึงมีความสุขอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ลุงสวี!” เย่เนี่ยนโม่ก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน
ภายในร้านกาแฟ สวีเห้าเซิงได้เปลี่ยนกาแฟเป็นน้ำชา แล้วจิบเบาๆ และในขณะที่เย่เนี่ยนโม่กำลังดื่มกาแฟอยู่ ก็อุทานขึ้นมาว่า “ลุงสวีครับไม่ใช่ว่าลุงชอบดื่มกาแฟเป็นที่สุดหรือครับ?”
สวีเห้าเซิงยิ้ม แล้วพูดว่า “คนแก่ก็กลัววันนั้นที่จะต้องตายจากโลกนี้ไป ก็เลยเริ่มเรียนรู้ที่จะรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและชดเชยชีวิตที่ใช้ไปในวัยหนุ่มสาวให้กลับมาอีกครั้งน่ะ”
“แม่ผมรู้หรือยังครับว่าคุณกลับมาแล้ว?” เย่เนี่ยนโม่ใส่ใจเรื่องนี้มากที่สุด สวีเห้าเซิงส่ายหน้าไปมา หลังจากที่เขากลับประเทศมาในครั้งนี้เขาจะไม่จากไปแล้ว เป็นไปได้ว่าเขาจะซื้อบ้านสักหลังในเมืองตงเจียงเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต
ทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นว่าบนโต๊ะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา มีผู้หญิงที่สวมแว่นกันแดดคนหนึ่งกำลังจิบกาแฟอยู่อย่างเงียบๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าสวีเห้าเซิงจะกลับประเทศแล้ว และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนั้นกับเย่เนี่ยนโม่ด้วย ซือซือกำลังคนกาแฟอย่างช้าๆ แล้วเผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา
ณ บ้านตระกูลเย่ พ่อบ้านรับกาแฟที่คนรับใช้ยื่นให้ ก่อนที่จะยื่นให้เซี่ยชีหรั่นด้วยความเคารพ แล้วค่อยวางไว้ตรงหน้าอ้าวเสว่อีกครั้ง เขาไม่ลืมว่าผู้หญิงคนนี้หนีไปเมื่อสามปีที่แล้ว และในช่วงเวลาครึ่งปีนั้นคุณชายของเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างเขาเห็นกับตาตัวเองทั้งหมด ถึงแม้จะเจ็บปวดใจเขาก็ไม่พูดออกมา และตอนนี้ก็ยังมีดาราเด็กคนหนึ่งกำลังจ้องมองบ้านตระกูลเย่ตาเป็นมันด้วยอีกคน
เซี่ยชีหรั่นจิบกาแฟเบาๆโดยไม่พูดไม่จาอะไร เธอเองก็โกรธมากเช่นกัน เธอเป็นแม่คนหนึ่ง ในปีนั้นตอนที่ได้ยินเรื่องนี้มันก็ผ่านมานานมากแล้ว เธอรู้สึกผิดเสมอที่ไม่ได้อยู่ข้างๆลูกชายของตัวเองในเวลาที่เขาต้องการเขามากที่สุด
อ้าวเสว่สังเกตเห็นถึงความชะงักงันของบรรยากาศภายในนี้ ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้ออกมา พอเธอร้องไห้ เซี่ยชีหรั่นก็รีบยื่นกระดาษทิชชูให้เธอด้วยมือไม้ที่งุ่มง่ามเล็กน้อย แล้วพูดว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดมาดีดี เธอจะร้องไห้ทำไม?”
“น้าเซี่ยคะ คุณเห็นหนูมาตั้งแต่เด็กจนโต หนูไม่มีพ่อแม่คุณก็รู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคอยสั่งสอนหนูในหลายๆเรื่อง” อ้าวเสว่ปกปิดใบหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้น เซี่ยชีหรั่นก็รู้สึกเศร้าเช่นกันเมื่อได้สัมผัสกับฉากตรงหน้า ความโกรธเกรี้ยวที่อยู่ภายในใจก็จางหายไปแล้วเล็กน้อย พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆเห็นว่าคุณนายใจอ่อนอีกแล้ว เขาจึงรีบโทรศัพท์หาเย่เชินหลิน
“สามปีก่อน หลังงานนิทรรศการเครื่องประดับในครั้งนั้น หนูก็เป็นโรคซึมเศร้า หนูกังวลว่าตัวเองจะทำร้ายเนี่ยนโม่ และหนูก็กังวลด้วยว่าเนี่ยนโม่จะไม่ชอบหนู ดังนั้นหนูก็เลยไปต่างประเทศอย่างเงียบๆค่ะ” อ้าวเสว่เช็ดน้ำตาไปด้วยพูดโกหกไปด้วย เซี่ยชีหรั่นไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับโทษตัวเองเล็กน้อย
“หนู ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆหนูควรพูดกับเนี่ยนโม่นะ หนูรู้ไหมว่าหลังจากที่หนูจากไปในช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมาเขาจิตใจหงอยเหงาเศร้าซึมมากเลยนะ ตอนนี้หนูคืนดีกับเขาแล้วหรือยัง?” เซี่ยชีหรั่นเช็ดน้ำตา
อ้าวเสว่ส่ายหน้า สิ่งนี้ก็คือจุดประสงค์ที่เธอมาในวันนี้ เธอต้องฉีดวัคซีนให้คนในครอบครัวเย่เนี่ยนโม่ก่อน เขาเป็นลูกกตัญญูขนาดนั้น ถ้าหากมีน้าเซี่ยคอยพูดคำพูดที่สวยหรูสักสองสามประโยคอยู่ข้างๆ เขาน่าจะคลายอารมณ์โกรธได้เร็วขึ้นก็ได้นะ
ยิ่งไปกว่านั้นคำโกหกที่ตัวเองได้ปั้นขึ้นมาก็ไม่มีข้อบกพร่องเลยจริงๆ พอคิดถึงตรงนี้ อ้าวเสว่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของเขาแล้ว หนูอยากจะปรากฏตัวอีกครั้งในวันเกิดของเขา และมอบเซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ให้เขาค่ะ”
“นายท่าน!” พ่อบ้านเชิญเย่เชินหลินเข้ามา อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นมามองเขา เดิมทีเธออยากจะฉีกรอยยิ้มหวานๆออกมา แต่หลังจากที่ได้เห็นสายตาที่ดูเหมือนจะรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างของอีกฝ่าย เธอก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงอย่างไม่สมัครใจทำ
เย่เชินหลินเดินไปถึงตรงหน้าเซี่ยชีหรั่น เมื่อเห็นว่าเธอร้องไห้จนจมูกแดงเล็กน้อย เขาก็เลยนั่งลงไปบนโซฟาและโอบกอดเธอเบาๆ แล้วจึงมองไปทางอ้าวเสว่
“คุณหนูอ้าวเสว่” เย่เชินหลินเอ่ยปากพูดออกมาอย่างเฉยเมย และน้ำเสียงไม่พอใจ อ้าวเสว่จึงพูดอย่างรีบร้อนเล็กน้อยว่า “คุณลุงเย่เรียกหนูว่าอ้าวเสว่ก็ได้ค่ะ”
แม้ว่าเย่เชินหลินจะอยู่ในวัยกลางคน บริษัทก็เริ่มส่งมอบให้เย่เนี่ยนโม่จัดการดูแล แต่หน้าตาของเขายังคงสง่างามและน่าเกรงขาม ตอนที่ไม่พูดไม่จายิ่งทำให้คนกลัวมาก เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น เย่เชินหลินก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดใด จากนั้นจึงเอ่ยปากออกมาว่า “เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอไปถึงอังกฤษเพราะโรคซึมเศร้าเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” ในใจของอ้าวเสว่เต้นตึกตักไปพักหนึ่ง ทำไมเขาถึงรู้ว่าตัวเองไปประเทศอังกฤษ? ตัวเองไม่เคยบอกใครเลยนะ
ในขณะที่เย่เชินหลินกำลังมองอ้าวเสว่ที่ทำสีหน้าไม่สบายใจอยู่บนโซฟาอย่างรู้แจ้งเห็นชัด เขาก็เอนกายลงบนโซฟาด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย แล้วใช้นิ้วเคาะที่หลังมือของเซี่ยชีหรั่นอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ผ่านไปนานมากกว่าเขาจะพูดขึ้นมาว่า “ใบรับรองจากจิตแพทย์อังกฤษมันได้มายากมากเลยนะ เธอไปทำที่ไหนเหรอ ฉันจะช่วยเธอดูซิว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติของการเป็นหมอหรือเปล่า”
พอเซี่ยชีหรั่นได้ยินดังนั้นก็รีบพูดออกมาว่า “ถูกต้องเสี่ยวเสว่หนูรีบพูดมาเถอะ เราจะไปตรวจสอบดู อย่าชะลออาการป่วยเลยนะ”
อ้าวเสว่ตกใจจนหน้าซีด แล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “หนูจำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ เพราะว่าหลังจากที่รักษามาเป็นเวลาหนึ่งปีจนอาการดีขึ้นหนูก็เลือกที่จะทำงานและพักฟื้นค่ะ แล้วค่ารักษามันก็แพงเกินไปด้วย”
เย่เชินหลินเลิกคิ้วขึ้น และมองดูเธอโดยไม่พูดอะไร ทั้งสามคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งอ้าวเสว่ลุกขึ้นกล่าวคำอำลา เย่เชินหลินจึงให้พ่อบ้านไปส่งเธอเดินทางออกไปจากบ้านตระกูลเย่
“เฮ้อ คุณคิดว่าเสี่ยวเสว่กำลังพูดโกหกอยู่เหรอคะ?” เซี่ยชีหรั่นยืนอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังมองดูแสงสว่างที่ส่องประกายอยู่ที่หน้าประตูบ้านตระกูลเย่ หลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายออกไปที่ไกลๆ
เย่เชินหลินลากเธอกลับมา ทำให้เธอนั่งอยู่บนขาของตัวเอง แล้วจึงพูดว่า “แล้วคุณคิดว่ายังไงบ้าง?”
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าไปมา แล้วพูดว่า “ตอนเด็กๆเธอถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไปเพราะว่าช่วยชูฉิง ณ จุดๆนี้ฉันรู้สึกผิดมากมาโดยตลอด ดังนั้นฉันจึงอยากจะดีกับเธอ ฉันรู้ว่าเธอต้องมีอะไรปิดบังเอาไว้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเธอกับเนี่ยนโม่รักกันจริงๆ ฉันก็จะไม่ขัดขวางพวกเขา”
ในขณะที่เย่เชินหลินกำลังฟังเธอพูดอย่างเงียบๆ แขนของเขาก็ค่อยๆกระชับแน่นขึ้น ในเมื่อชีหรั่นชอบอ้าวเสว่ เช่นนั้นเขาก็จะคอยดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆไปก่อน ลำบากมาตั้งหลายปีแล้ว เขาจะปกป้องครอบครัวของเขาให้ดีอย่างแน่นอน
พ่อบ้านไปส่งอ้าวเสว่ด้วยตัวเองจนถึงเขตเมือง อ้าวเสว่มองดูรถแล่นหายไปตรงหัวมุม แล้วจึงรีบกดโทรศัพท์ “แม่ หนูไปที่บ้านตระกูลเย่แล้ว น้าเซี่ยกลับเชื่อหนูมาก และลุงเย่ก็แค่ถามคำถามบางอย่างกับหนู อีกทั้งหนูนึกว่าพวกเขาจะตามประกบว่าหนูอยู่ที่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำเลย”
“ยัยลูกโง่ แกคิดว่าเย่เชินหลินจะมองกลอุบายที่แกเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในเมืองตงเจียงมาหลายปีขนาดนั้นไม่ออกเหรอ เขาแค่ไม่คิดว่าแกเป็นภัยคุกคาม ก็เลยปล่อยไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น” ซือซือพูดขณะที่มองดูคนทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่
เย่เนี่ยนโม่กับสวีเห้าเซิงเช็คบิล ซือซือจึงรีบวางสายไป เมื่อสักครู่เธอก็คิดดีแล้วว่า ในเมื่อสวีเห้าเซิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเย่ เช่นนั้นมันคงน่าเสียดายเกินไปแล้วจริงๆที่ไม่ได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์
“ลุงสวีครับ คราวนี้จะไม่ไปไปอีกแล้วจริงๆใช่ไหมครับ” เย่เนี่ยนโม่ลืมไม่ลงว่าเขาจากไปอย่างเงียบๆเมื่อสามปีที่แล้ว
“ไม่ไปแล้ว” สวีเห้าเซิงมองเขาด้วยความเมตตาเอ็นดู เขาอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมาตลอดชีวิต จึงถือเอาเย่เนี่ยนโม่เป็นญาติที่สนิทที่สุดมาตั้งนานแล้ว
ทั้งสองคุยกันสักพักก่อนที่เย่เนี่ยนโม่จะจากไป แล้วสวีเห้าเซิงก็เดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เมื่อได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งในวันนี้ อารมณ์ของเขาก็ดีมาก
พอเดินไปถึงทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต มีร่างของคนคนหนึ่งรีบผลักประตูซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วเดินออกมา บางทีอาจจะเดินเร็วเกินไป ถุงตาข่ายที่อยู่ในมือก็เลยหลวม และแอปเปิ้ลก็กลิ้งลงมาทีละลูกๆ
สวีเห้าเซิงรีบนั่งย่อตัวลงช่วยคนคนนั้นเก็บแอปเปิ้ล พอเก็บแอปเปิ้ลขึ้นมาสองสามลูกแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้น เมื่อมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเขาก็ประหลาดใจมากจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก “ซือซือ?”
ซือซือก็แสร้งทำท่าทางประหลาดใจออกมาเช่นเดียวกัน “สวีเห้าเซิง!” พอพูดจบเธอหันหลังแล้วก็คิดจะเดินจากไปแม้แต่ผลไม้เธอก็ไม่หยิบขึ้นมาแล้ว สวีเห้าเซิงรีบเดินไปสองสามก้าวเพื่อคว้าตัวเธอเอาไว้ แล้วรีบพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น ชีหรั่นบอกว่าคุณตายไปแล้วนี่นา”
ซือซือเห็นสีหน้าท่าทางของเขาที่ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าการตายของไห่ลี่หมินมีความเกี่ยวข้องกับเธอ ก้อนหินที่อยู่ภายในใจของเธอก็ถูกวางลงไป จากนั้นเธอก็พูดว่า “ฉันเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นทุกคนก็เลยคิดว่าฉันตายแล้ว แต่ฉันได้ทำการผ่าตัดเอาเต้านมออกแล้ว ฉันก็เลยไม่ตาย”
ซือซือกำหมัดอยู่อย่างเงียบๆ เธอไม่เต็มใจที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาเป็นที่สุด หลังจากที่สวีเห้าเซิงได้ยินแล้วก็ไม่ได้สงสัยอะไร ซือซือจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ยังจำคืนนั้นได้ไหม?”
ภายในหัวใจของสวีเห้าเซิงเต้นตึกตักอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณอยากจะพูดอะไร?”
“หลังจากคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งในตอนนั้นฉันก็มีลูกกับคุณ และเด็กคนนั้นก็โตขึ้นแล้ว” ซือซือพูดเสียงดังออกมา
จากนั้นสวีเห้าเซิงก็ถอยหลังกลับไปสองสามก้าว แล้วพิงเข้ากับเสาที่อยู่ข้างหลังราวกับว่าไม่สามารถประคองตัวเองได้ แล้วถามด้วยริมฝีปากที่สั่นเทาว่า “คุณ…คุณพูดอะไร?”
“ฉันไม่ได้โกหกคุณนะ คุณมีลูกสาวหนึ่งคน เธอมีชื่อว่าอ้าวเสว่” ซือซือก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในใจก็รู้สึกสบายใจมาก โชคดีที่ในตอนแรกตัวเองเก็บเบี้ยต่อรองเอาไว้ตัวหนึ่ง
สวีเห้าเซิงถอดแว่นตาออกแล้วเช็ดหน้า สักพักใหญ่จึงสวมแว่นตาเข้าไปใหม่อย่างสั่นเทา แล้วเอามือทั้งสองข้างจับไปที่ไหล่ของเธอและถามอย่างรีบร้อนว่า “เธออยู่ที่ไหน?”
ในโรงแรม อ้าวเสว่กำลังค้นหาข่าวคราวบางอย่างของเย่เนี่ยนโม่ในอินเตอร์เน็ต “คุณชายของบริษัทเย่ซื่อปั้นดาราเด็กEmilyเข้าวงการ” “คุณชายของบริษัทเย่ซื่อเข้าออกบาร์พร้อมกับดารา”
ในขณะที่กำลังอ่านข่าว เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่ ดาราเด็กที่ชื่อEmilyคนนั้นหน้าตาคล้ายกับตัวเองจริงๆ เย่เนี่ยนโม่จะต้องเอาเธอมาเป็นตัวแทนของตัวเองอย่างแน่นอน
และแล้วกริ่งประตูภายในห้องก็ดังขึ้น อ้าวเสว่เปิดประตูกันขโมยออก แล้วโผล่ศีรษะออกไปดูชายวัยกลางคนที่มีบุคลิกสง่าผ่าเผยมากอยู่นอกประตูอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ!”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset