สวีเห้าเซิงตกตะลึงในฉับพลันเมื่อเห็นเธอ นี่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ตัวเองเคยติดต่อตอนเด็กๆหรอกหรือ? ในลอสแองเจลิส ในสวนสาธารณะ ถ้าหากโลกนี้มีความบังเอิญจริงๆ เช่นนั้นมันจะต้องเป็นลิขิตของสวรรค์แน่ๆ ที่ลิขิตให้ตัวเองต้องได้พบกับลูกสาว
อ้าวเสว่เห็นเขามีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายในใจ และอยากจะปิดประตู สวีเห้าเซิงจึงรีบพูดว่า “อย่าเพิ่งปิดประตูๆ หนูลืมฉันไปแล้วเหรอ พวกเราเคยเจอกันตอนเด็กๆไง!”
อ้าวเสว่มองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอใช้เวลานานกว่าจะจำได้ว่าตัวเองเคยมีโอกาสได้พบกับผู้ชายคนนี้เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็กจริงๆ ภายในห้อง อ้าวเสว่นำกาแฟไปวางไว้ตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “แม่หนูไม่ชอบดื่มชา และในโรงแรมก็มีแต่กาแฟ ดื่มได้ไหมคะ?”
สวีเห้าเซิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ” อ้าวเสว่ถามว่า “วันนี้คุณมาที่นี่มีเรื่องอะไรเหรอคะ? แล้วคุณรู้จักหนูได้ยังไง?”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้สวีเห้าเซิงก็โทษตัวเองที่บุ่มบ่ามวิ่งเข้ามา ถ้าหากเธอเป็นลูกสาวของตัวเองจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่อยากจะทิ้งความประทับใจแย่ๆไว้ตรงหน้าเธออย่างแน่นอน
“ฉันเป็นเพื่อนของแม่หนู ฉันมาหาเธอ” สวีเห้าเซิงพูด อ้าวเสว่พยักหน้าไปมา “แม่ออกไปแล้วค่ะ”
“แล้วพ่อหนูล่ะ?” สวีเห้าเซิงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน อ้าวเสว่ก้มหน้า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ได้ ดังนั้นก็เลยพูดอย่างไม่ปิดบังเช่นกันว่า “หนูเป็นเด็กกำพร้าค่ะ ต่อมาแม่ของหนูจึงไปรับหนูออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนูไม่มีพ่อ และหนูก็ไม่อยากมีด้วย ตอนนี้หนูสบายดีมากค่ะ”
สวีเห้าเซิงเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กคนนี้ต้องทนลำบากมากแค่ไหนตอนที่เธอยังเด็ก แต่ตัวเองกลับไม่ได้ทำอะไรและไม่ได้มีส่วนร่วมในชีวิตของเธอเลย!
เขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าอ้าวเสว่เป็นลูกของตัวเอง แต่เขายังต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจนอีกสักหน่อย สวีเห้าเซิงจึงถือแก้วกาแฟขึ้น แล้วจงใจคว่ำแก้วกาแฟให้แตก จากนั้นแก้วกาแฟก็ตกลงมาแตกกระจายอยู่บนพื้น
“คุณระวังโดนแก้วบาดนะคะ” อ้าวเสว่รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเก็บเศษแก้ว สวีเห้าเซิงก็นั่งยองๆลงเช่นกัน แล้วตั้งใจไปแย้งตอนที่เธอกำลังหยิบเศษแก้ว ทั้งสองคนผลักกันไปผลักกันมา เศษแก้วจึงบาดมือของอ้าวเสว่เข้า
สวีเห้าเซิงรีบหยิบกระดาษทิชชู่มาช่วยเธอห้ามเลือด แล้วเอากระดาษทิชชู่ที่เปื้อนเลือดใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นบาดแผลที่นิ้วมือของอ้าวเสว่ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก เขาเพียงแต่ต้องการทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจนให้จงได้ก็เท่านั้น
หลังจากที่ออกจากโรงแรมแล้ว สวีเห้าเซิงก็นำก้อนกระดาษทิชชู่ส่งไปให้สถาบันตรวจสอบที่เกี่ยวข้องทันที แล้วเขาก็รอรายงานทั้งคืนไม่หลับไม่นอน ในตอนเช้าตรู่ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไปถึงมือของเขาแล้ว
“ตามผลการตรวจจำแนกลักษณะเครื่องหมายทางพันธุกรรมDNA รับรองว่าผู้มอบอำนาจสวีเห้าเซิงเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดทางชีววิทยาของนางสาวอ้าวเสว่”
ในตอนเช้าตรู่ ตอนที่อ้าวเสว่เปิดประตูออกมาก็พบกับผู้ชายที่มาหาตัวเองเมื่อวานนี้มาหาอีกครั้งในวันนี้ ในขณะที่สวีเห้าเซิงกำลังมองเธออยู่ ก็มีแรงกระตุ้นที่อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเขาจึงหันหลังเพื่อเช็ดน้ำตา แล้วหันหน้ามาฝืนยิ้มให้เธอและพูดว่า “หนู หนูพอมีเวลาว่างหรือเปล่า ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวไม่คุ้นเคยกับใครเลย ก็เลยอยากจะหาคนไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเพื่อนน่ะ”
ในห้างสรรพสินค้า สวีเห้าเซิงกำลังเดินไปอย่างใจลอย หลังจากที่ดีใจเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้วเขากลับไม่รู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับอ้าวเสว่หรือไม่ อันที่จริงตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อมายี่สิบกว่าปี และเธอก็ยังบอกอีกว่าไม่อยากรู้จักพ่อผู้ให้กำเนิดเลย
“คุณลุงสวีคะ!” อ้าวเสว่ตะโกนอยู่ข้างหลังเขา สวีเห้าเซิงชะลอความเร็วอย่างรวดเร็ว เขาเดินเร็วเกินไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ทิ้งระยะห่างจากอ้าวเสว่ไปไกลมาก
“หนู ไปกันเถอะ ไปเลือกเสื้อผ้าให้ลุงสวีกัน!” ในขณะที่สวีเห้าเซิงกำลังมองดูลูกสาวที่เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ใจกว้างอยู่ข้างๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แล้วลากเธอเข้าไปในร้านเสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ร้านหนึ่งตามใจชอบ
“ชอบตัวไหนก็ซื้อเลย ลุงให้หนู” สวีเห้าเซิงพูด อ้าวเสว่รู้ดีว่าเสื้อผ้าแบรนด์นี้ราคาไม่ถูกเลย และมันก็แปลกมากที่คนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งทำไมถึงได้ใจกว้างกับเธอมากขนาดนั้น เธอจึงบอกปัดไปว่า “ลุงสวีไม่ต้องหรอกค่ะ คุณเป็นเพื่อนของแม่หนู หนูมาเป็นเพื่อนคุณมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับ สวีเห้าเซิงจึงรีบพูดว่า “ลุงซื้อให้ลูกสาวน่ะ หนูก็ช่วยลุงสวีเลือกหน่อยนะ” เมื่อเห็นเขาพูดอย่างนี้ อ้าวเสว่ก็โล่งอกขึ้นมา แล้วเลือกเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งตามความชอบของตัวเอง
ถัดมาก็คือเคาน์เตอร์เครื่องสำอางและเคาน์เตอร์รองเท้า ครึ่งวันต่อมาเงินก็ถูกชำระไปแล้วแสนกว่าหยวน เมื่อม่านราตรีย่างกรายมาถึง สวีเห้าเซิงก็ไปส่งอ้าวเสว่ที่โรงแรม แล้วแกล้งรับโทรศัพท์ หลังจากที่วางสายไปแล้วเขาก็กล่าวคำขอโทษว่า “ตายจริง ลูกสาวของลุงบอกว่าเธอไม่กลับมาแล้ว ของพวกนี้ก็เสียงเงินซื้อมาแล้ว ไม่อย่างนั้นก็มอบให้หนูเลยก็แล้วกัน ลุงว่ามันเหมาะกับหนูมากเลยนะ”
อ้าวเสว่อยากจะปฏิเสธ แต่สวีเห้าเซิงกลับพูดว่าไม่เป็นไรซ้ำๆไม่ขาดปากแล้วก็เดินจากไปเลย ในขณะที่เธอกำลังมองดูถุงของขวัญหลายสิบถุงที่อยู่เต็มห้อง เธอก็ถอนหายใจ ยังไงซะผู้ชายที่มีบัตรทองก็น่าจะไม่สนใจเรื่องเงินเหล่านี้สินะ
พอเธอกำลังจะหยิบของขึ้นไปเก็บให้เรียบร้อย กลับพบเอกสารฉบับหนึ่งอยู่ในถุงหนึ่งใบ เธอจึงเปิดออกมาดูในทันที แล้วจากนั้นเธอก็สติหลุดลอยไปอีกครั้ง สวีเห้าเซิงเขา เขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของตัวเอง!
เมื่อซือซือเห็นเบอร์โทรที่แสดงขึ้นมาก็รู้เลยว่าอ้าวเสว่จะต้องรู้เรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน เธอจึงรับสายและพูดว่า “ไม่ผิดหรอก สวีเห้าเซิงก็คือพ่อแท้ๆของลูก”
ศีรษะของอ้าวเสว่เหมือนถูกใครบางคนกำลังถือค้อนขึ้นมาตีอย่างแรง แล้วเธอก็พึมพำว่า “งั้นทำไมเขาถึงต้องทิ้งหนูไปด้วยล่ะ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ อาจจะเป็นเพราะหน้าที่การงานของเขา และก็อาจจะเป็นเพราะตอนที่เขายังเด็กเขาคิดว่าการเลี้ยงดูลูกมันลำบากเกินไป ตอนนี้แก่แล้วจึงคิดอยากจะชดเชยให้ลูก ดังนั้นลูกก็รู้ว่าแม่คนเดียวเลี้ยงลูกจนโตมาได้มันลำบากแค่ไหนแล้วสินะ” ซือซือพูดโกหกอย่างหน้าด้านๆ เธอไม่อยากเห็นตอนจบที่มีความสุข เธออยากจะให้ทุกคนเป็นเบี้ยที่ว่านอนสอนง่ายของตัวเองก็พอแล้ว!
อ้าวเสว่วางสายด้วยความงงงัน ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เธอเป็นส่วนเกินและเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งมาโดยตลอด ตอนนี้เพิ่งจะอยากจะทำดีกับตัวเอง ช่างน่าหัวเราะเสียจริงๆ คุณพ่อที่รักของฉัน ในเมื่อคุณอยากจะชดใช้ ฉันก็จะให้คุณได้ชดใช้ให้พอ
วันรุ่งขึ้นคาดไม่ถึงว่าสวีเห้าเซิงจะมาอีกแล้ว ในขณะที่อ้าวเสว่มองเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะอยู่ภายในใจสวีเห้าเซิงพาเธอไปรับประทานอาหารที่โรงแรม บนโต๊ะอาหาร สวีเห้าเซิงพยายามกระตุ้นการแลกเปลี่ยนเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กันของทั้งสองคน “เสี่ยวเสว่ ช่วงนี้หนูทำอะไรอยู่เหรอ?”
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ กำลังหางานทำอยู่ตลอดเลยค่ะ หนูเพิ่งจะกลับมาจากอังกฤษ” อ้าวเสว่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ว่าเธอจะอยากจะแก้แค้นเอาคืนอย่างไร พออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่ทอดทิ้งตัวเองไป เธอก็ยังทำสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจออกมา
“หางานอยู่งั้นเหรอ ได้ยินแม่ของหนูบอกว่าหนูเรียนการออกแบบเครื่องประดับมาใช่ไหม?” สวีเห้าเซิงเห็นว่าเธอไม่มีอารมณ์ที่คึกคักสนุกสนาน เขาจึงรับหาหัวข้อสนทนา
อ้าวเสว่พยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ดวงตาทั้งสองข้างกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย สวีเห้าเซิงจึงอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วโทรศัพท์ไปหาหลินเจี๋ย “หลินเจี๋ย นี่ผมคือเห้าเซิงเองนะ ผมอยากจะให้คุณช่วยอะไรสักอย่างหน่อย ตอนนี้มีเด็กที่เรียนออกแบบเครื่องประดับอยู่คนหนึ่ง ผมอยากจะให้คุณจัดการหางานที่เกี่ยวข้องให้เธอสักงาน อืมๆ ถึงเวลานั้นผมจะบอกรายละเอียดให้คุณฟังอีกทีนะครับ”
หลังจากที่กลับมาจากห้องน้ำ สวีเห้าเซิงก็แสร้งพูดอย่างไม่สนใจอะไรว่า “บังเอิญจัง ลุงมีเพื่อนคนหนึ่งกำลังรับสมัครดีไซเนอร์ออกแบบเครื่องประดับอยู่พอดี ลุงคุยกับเขาแล้ว เขาคิดว่าหนูไม่เลวเลยทีเดียว หนูอยากจะลองไปทำดูไหม”
อ้าวเสว่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ คิดจะชดใช้ให้ตัวเองด้วยวิธีนี้อย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ แล้วเธอก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ตำแหน่งอะไรเหรอคะ? เป้าหมายของหนูอย่างน้อยก็ต้องเป็นหัวหน้าแผนกนะคะ”
แล้วสวีเห้าเซิงก็โทรไปหาหลินเจี๋ยตรงนั้นเลย พอวางสายไปแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “โอเคแล้ว หัวหน้าแผนกของบริษัทหลินซื่อ พรุ่งนี้หนูก็ไปรายงานตัวได้เลย”
สวีเห้าเซิงคิดดีแล้ว ในเมื่ออ้าวเสว่ชอบการออกแบบเครื่องประดับขนาดนี้ เช่นนั้นเขาก็สามารถเปิดกิจการให้เธอได้เลย รอจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเหมาะสมและเรียบร้อยก่อนค่อยเซอร์ไพรส์เธอทีหลังก็แล้วกัน
ในวันจันทร์ ติงยียีมาถึงบริษัทหลินซื่อตั้งแต่เช้า ผู้ช่วยที่ถูกเจ้านายของตัวเองสั่งให้ไปรับคนที่หน้าประตูก็พาเธอไปสัมภาษณ์ ติงยียีรู้สึกว่าบริษัทใหญ่ๆมีความแตกต่างออกไป คิดไม่ถึงเลยว่ามีคนที่มีหน้าที่ไปรับไปส่งโดยเฉพาะอย่างนี้
เมื่อเข้าไปในห้องประชุมแล้ว ติงยียีก็เห็นชายที่มีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังสามคนนั่งเรียงกันเป็นแถว เธอจึงรีบยื่นประวัติส่วนตัวที่อยู่ในมือไปให้พวกเขา “นี่คือประธานกรรมการหลินของเรา วันนี้เขาจะมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ก่อนอื่นเชิญแนะนำตัวสักหน่อยเถอะครับ” ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในนั้นพูดขึ้นมา
“ดิฉันชื่อติงยียีค่ะ จบการศึกษาสาขาออกแบบเครื่องประดับมาจากมหาวิทยาลัย ความใฝ่ฝันของดิฉันคือการออกแบบเครื่องประดับที่ดีที่สุดค่ะ ดิฉัน…ดิฉัน…” ติงยียีพบว่าในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะลืมบทแนะนำตัวที่ท่องมาทั้งคืนไปแล้วจริงๆ สมองของเธอว่างเปล่า เธอมองผู้สัมภาษณ์ด้วยจิตใจที่หว้าวุ่นเล็กน้อย
“อะแฮมๆ” ทันใดนั้นหลินเจี๋ยก็กระแอมไอขึ้นมาสองสามครั้ง แล้วผู้สัมภาษณ์จึงเปลี่ยนหัวข้อทันที “ไม่เป็นไรครับ การแนะนำตัวของคุณยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทของเราบ้าง?”
พอติงยียีได้ยินหัวข้อนี้ที่ตัวเองเคยอ่านเมื่อวาน จึงพูดโขมงโฉงเฉงออกมาอย่างง่ายดาย ผ่านไปห้านาทีแล้ว ผู้สัมภาษณ์อยากจะขัดจังหวะเธอ หลินเจี๋ยที่นั่งอยู่ตรงกลางจึงโบกมือไปมา แสดงเจตนาให้ทราบว่าไม่ต้องขัดจังหวะเธอ
ติงยียีพูดอยู่นานก่อนที่จะรู้สึกตระหนกตกใจ ความรู้สึกภายในใจของเธอลดฮวบลงมา แล้วเธอก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “ขอโทษนะคะ ดิฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่าคะ?”
ผู้สัมภาษณ์ที่อยู่ด้านข้างประเมินสีหน้าท่าทางของเจ้านายที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่หงุดหงิดอะไรจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่หรอกครับ คุณติงมีชีวิตชีวามากเลยครับ บริษัทของเราเองก็ต้องการคนที่มีความสามารถอย่างนี้มาทำงานด้วย แต่บริษัทของเราจะต้องเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยก่อน พรุ่งนี้คุณก็มาเริ่มงานได้เลยนะครับ”
ติงยียีตะลึงงันไปชั่วขณะ อย่างนี้ก็ได้เหรอ? ได้ยินว่าการสัมภาษณ์ของบริษัทหลินซื่อเข้มงวดมากนี่นา หลายคนคิดจนสมองจะแตกอยู่แล้วก็ไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ ตัวเองแสดงท่าทีแบบนี้ออกไปกลับยังสามารถผ่านการสัมภาษณ์ได้อย่างสบายๆเสียแล้ว?
ด้านหลังประตูห้องประชุมเป็นห้องที่เปิดโปรเจคเตอร์เอาไว้ ในขณะที่หลินเจี๋ยกำลังมองดูติงยียีที่เดินออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอยู่นั้น ก็พูดขึ้นมาว่า “เด็กผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสามาก ไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกของเครื่องประดับหรอก”
“ผมจะปกป้องเธอเอง” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ หลินเจี๋ยมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กต้อย ถ้าเขาจำไม่ผิด แฟนของเย่เนี่ยนโม่น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่ออ้าวเสว่นี่นา
“แน่ใจแล้วเหรอว่าเธอคือคนที่ใช่?” หลินเจี๋ยพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง เย่เนี่ยนโม่ตะลึงงัน ทันใดนั้นภาพเงาของอ้าวเสว่ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็คือติงยียี พอคิดถึงอ้าวเสว่ เขาก็รู้สึกเสียใจและไม่พอใจมาก พอคิดถึงติงยียีกลับรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ไม่ว่าเธอจะเป็นคนที่ใช่หรือไม่ เขาก็ชอบความรู้สึกเช่นนี้
หลินเจี๋ยถอนหายใจ หวังว่าเขาจะไม่เดินรอยตามรอยเท้าของตัวเองนะ หลังจากอยู่ในออฟฟิศได้ซักพัก เย่เนี่ยนโม่ก็อดใจรอที่จะไปหาติงยียีไม่ไหว
เขากำลังเดินแกว่งไปแก่วงมาอยู่ในระเบียงทางเดิน โดยไม่รู้ว่าติงยียีถูกผู้ช่วยของลุงหลินพาไปที่ไหนแล้ว ทันใดนั้นก็มีร่างเงาร่างหนึ่งแวบผ่านกระจกใสๆด้านข้างไป แล้วเย่เนี่ยนโม่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ผู้หญิงไว้ผมยาวประบ่า ใบหน้าด้านข้างเต็มไปด้วยใบหน้าที่คุ้นเคย อ้าวเสว่! เป็นเธอใช่ไหม? เธอกลับมาหลังจากที่หายไปสามปีแล้วอย่างนั้นหรือ?
เย่เนี่ยนโม่อดไม่ได้ที่จะตามเธอไป ร่างนั้นหายไปตรงหัวมุมแล้ว ตัวเองตาลายไปแล้วสินะ เย่เนี่ยนโม่ ยิ้มอย่างเจื่อนๆแล้วหันหลังเดินจากไป อ้าวเสว่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาและมองมาที่เขา ภายในดวงตาคือความอาลัยอาวรณ์ที่บ้าคลั่ง เย่เนียนโม่ เมื่อได้เจอกันอีกครั้งฉันจะไม่ยอมปล่อยนายไปอีกแล้ว
“หัวหน้าของคุณคือคนที่กลับมาจากประเทศอังกฤษ ตอนนี้ก็ถือว่าเดินทางมาถึงแล้วแหล่ะ อายุใกล้เคียงกับคุณเลย แต่เธอเป็นคนดีมากเลยนะ” ผู้ช่วยแนะนำให้ติงยียีฟัง
สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1443 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1343
Posted by ? Views, Released on September 29, 2021
, สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน
สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด
Recommended Series
Comment
Facebook Comment