สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1444 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1344

ประตูถูกเปิดออก และเสียงที่สุภาพงดงามก็ดังขึ้นมา “ขอโทษที่ให้พวกคุณรอนานนะคะ” ในขณะที่ติงยียีได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้เธอก็ตื่นตกใจไปทั้งตัว พอหันหลังกลับมา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นทันใดเพราะความประหลาดใจ “อ้าวเสว่!”
อ้าวเสว่พยักหน้าให้ผู้ช่วย และผู้ช่วยก็ออกไป เธอปิดประตู และเมื่อเธอหันหลังกลับบรรยากาศก็เงียบสงบลง “ยียี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“เธอรู้ไหมว่าหลังจากที่เธอจากไปเนี่ยโม่เจ็บปวดแค่ไหน!” ติงยียีอดไม่ได้ที่จะเคียดแค้นและรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเย่เนี่ยนโม่ อ้าวเสว่ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ฉันรู้ ดังนั้นกลับมาในครั้งนี้ฉันจะชดใช้ให้เขาเป็นอย่างดี”
“เขารู้หรือยังว่าเธอกลับมาแล้ว?” ติงยียีถาม อ้าวเสว่ส่ายหน้า “พรุ่งนี้ก็คือวันเกิดของเขาแล้ว ฉันอยากจะเซอร์ไพรส์เขาในวันพรุ่งนี้”
จนกระทั่งออกมาจากบริษัทเย่ซื่อติงยียีก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงรถรีบเบรกดังขึ้นมา แล้วข้อมือของเธอก็ถูกเวี่ยงไปด้านข้างอย่างฉับพลัน เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่เห็นรถวิ่งมาหรือไง?! บาดเจ็บตรงไหนไหม!”
ติงยียีส่ายหน้า เย่เนี่ยนโม่ก็ไม่พูดอะไร เขาตรวจดูเธออย่างละเอียดตั้งแต่หัวจดเท้าไปหนึ่งรอบ แล้วจึงกวาดสายตามองไปทางคนที่รีบเบรกรถ คนที่อยู่บนรถถูกเขาขู่ด้วยสายตาที่เย็นชา เขาจึงพึมพำขึ้นมาว่าไม่ใช้ความผิดของเขาทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงได้ดุขนาดนั้นด้วย
แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็ลากเธอขึ้นไปบนรถโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆทั้งนั้น และในขณะที่ติงยียีกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย หัวใจของเธอก็เก็บงำความจริงที่ว่าอ้าวเสว่ได้กลับมาแล้วเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็ถามขึ้นมา
“คิดถึงนายไง” ติงยียีตอบกลับไปด้วยจิตใต้สำนึกของเธอ แล้วหันไปมองเย่เนี่ยนโม่ด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มและรีบพูดว่า “ฉันหมายถึงฉันคิดถึงชูหวินแล้วน่ะ”
“เธอคิดถึงเย่ชูหวินเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่ถามซ้ำหลายปีมานี้ติงยียีด้วยสีหน้าที่แปลกใจ หลายปีมานี้ติงยียีไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเย่ชูหวินตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองยังมีโอกาส
ติงยียีฝืนใจพยักหน้าไปมา ทันใดนั้นรถก็เลี้ยวอยู่บนถนนเป็นตัว “S” เธอจึงรีบจับเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แล้วพูดด้วยความตื่นตระหนกตกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น!” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มือมันลื่น”
ที่หน้าปากซอยเล็กๆ พอติงยียีลงมาจากรถ เย่เนี่ยนโม่ก็ตะโกนเรียกเธอว่า “พรุ่งนี้บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมตี้เหา เวลา 8 โมงครึ่งนะ” ยังไม่รอให้ติงยียีตอบรับกลับไป เขาก็รีบกลับรถและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เข้าทำงานอยู่ตลอดเวลาติงยียีก็ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ และหลังจากที่รินกาแฟให้ผู้คนในออฟฟิศเสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สิบ
ประตูออฟฟิศถูกเปิดออก แล้วอ้าวเสว่ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้เห็นเธอก็พูดว่า “ยียี วันนี้เป็นวันเกิดของเนี่ยนโม่ คุณน้าเซี่ยจะฉลองวันเกิดให้เขาที่โรงแรมตี้เหา ฉันต้องไปเตรียมตัวก่อนสักหน่อย รบกวนเธอช่วยจัดการเอกสารที่อยู่บนโต๊ะให้ฉันสักหน่อยนะ”
“อ่อๆ ตกลง” ติงยียีมองเธอจากไปอย่างมีความสุข แล้วยกมือขึ้นมามองดูนาฬิกา ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาที่เย่เนี่ยนโมนัดกับตัวเองไว้ เธอน่าจะสามารถทำงานให้เสร็จได้นะ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ติงยียียังคงตรวจสอบข้อมูลอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พนักงานทุกคนเลิกงานกันหมดแล้ว ไฟฟ้าในตึกใหญ่ถูกตัดขาด เธอจึงต้องเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะเล็กๆที่อยู่ข้างโต๊ะขึ้นมา
หลินเจี๋ยเดินผ่านมาพอดี เห็นว่าในห้องทำงานห้องหนึ่งมีแสงไฟ เขาก็เลยเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่เห็นติงยียีเขาจึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมคุณยังไม่เลิกงานอีก?”
“สวัสดีค่ะประธานกรรมการ!” ติงยียีโค้งคำนับเล็กน้อยและกล่าวสวัสดีก่อนจะพูดต่อไปว่า “หัวหน้ากำชับให้ฉันตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ให้เสร็จค่ะ ฉันยังเหลืออยู่อีกนิดหน่อยค่ะ”
วันนี้เป็นวันเกิดของเย่เนี่ยนโม่ เขาจะชวนเธอไปแน่นอน คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้ยังคงตรวจสอบข้อมูลอยู่ตรงนี้ ในขณะที่กำลังคิดถึงท่าทางที่เป็นกังวลของเย่เนี่ยนโม่อยู่ หลินเจี๋ยก็รู้สึกทนไม่ไหว จึงโบกมือไปมาและพูดว่า “เลิกงานเถอะ บริษัทหลินซื่อไม่สนับสนุนให้พนักงานทำงานล่วงเวลานะ นั่นคือการแสดงออกในการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพนะ”
ติงยียีถูกว่าจนหน้าแดงหูแดง จึงรีบเก็บข้าวของแล้วเดินจากไป แล้วหลินเจี๋ยก็ตะโกนเรียกเธอเอาไว้ว่า “รอเดี๋ยว คุณจะไปไหน ผมจะไปส่งคุณ”
บนรถ ติงยียีกำลังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย หลินเจี๋ยจึงถามด้วยสีหน้าที่สงบเยือกเย็นออกไปว่า “ได้ยินว่าคุณกับเย่เนี่ยนโม่แห่งบริษัทเย่ซื่อคุ้นเคยกันมากเหรอ?”
“เราเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ” ติงยียีขยับเขยื้อนไปมาบนที่นั่งที่กว้างใหญ่อย่างไม่สบายใจเล็กน้อย ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปีที่อยู่ข้างๆมีความรู้สึกของการกดขี่ที่มองไม่เห็นอยู่จำนวนหนึ่ง
“ความจริงบริษัทของเราเปิดกว้างมาก และสนับสนุนให้พนักงานมีความรักได้ด้วยนะ” หลินเจี๋ยพูดต่อ
ติงยียีจึงรีบพูดว่า “ฉันกับเย่เนี่ยนโม่เป็นเพื่อนกันจริงๆค่ะ ฉันมีคนที่ฉันชอบแล้ว” พอได้ยินเธอพูดอย่างนี้ หลินเจี๋ยก็ทำได้เพียงถอนหายใจว่าเส้นทางความรักของเจ้าเด็กคนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว
เมื่อไฟแดงปรากฏขึ้น สายตาของหลินเจี๋ยก็ลู่ลงไปมองบนมือของเธออย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงประเมินว่า “แหวนออกแบบได้ไม่เลวเลยนะ” พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ติงยียีก็รู้สึกเขินอายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “ค่ะ! เป็นแหวนที่ฉันทำขึ้นมาเองค่ะ”
เมื่อหัวข้อสนทนาถูกเปิดออก บรรยากาศหลังจากนั้นก็ไม่ถือว่าตึงเครียดอีกต่อไป และในโรงแรมตี้เหา เย่เนี่ยนโม่ดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า
“พูดอย่างเสร็จสรรพแล้วว่าให้ยัยบ๊องนั่นมาถึงที่นี่ตอนสองทุ่ม ทำไมยังมาไม่ถึงอีกนะ!” เขาบ่นพึมพำ รอบๆตัวเป็นแสงเทียนอันริบรี่และดอกกุหลาบ เขารอไม่ไหวแล้ว วันนี้เขาจะสารภาพรักกับติงยียี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาจะต้องให้เธอได้รับรู้ความรู้สึกภายในใจของตัวเองให้ได้
ประตูถูกเคาะจนมีเสียงดังขึ้นทา เย่เนี่ยนโม่แอบถอนหายใจที่ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียที เขาจึงจงใจเชิดหน้าขึ้นและพูดว่า: “เข้ามา”
พอประตูถูกเปิด ร่างของคนคนหนึ่งเข็นเค้กเดินเข้ามาย่างช้าๆ สีหน้าที่เดิมทีมีความสุขของเย่เนี่ยนโม่ก็แข็งทื่อในที่สุดหลังจากที่ได้เห็นคนที่เดินเข้ามา
อ้าวเสว่ค่อยๆเข็นรถเข็นเค้กเข้ามาอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้คนที่เธอรักเท่าไหร่เธอก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น เขากลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ต่อจากนี้ไปเธอจะไม่มีวันแยกจากเขาไปอีกแล้ว
“เนี่ยนโม่ ฉันกลับมาแล้ว” อ้าวเสว่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและน้ำตาก็อดไม่ได้ที่จะไหลออกมา
เย่เนี่ยนโม่ยืนตะลึงไม่ขยับเขยื้อน คนที่ขาดการติดต่อไปสามปีกลับมาอย่างกะทันหัน สมองของเขาจึงว่างเปล่าไปชั่วขณะ
“เนี่ยนโม่ ฉันขอโทษ ต่อจากนี้ไปฉันจะไม่จากคุณไปอีกแล้ว” เมื่อรู้สึกได้ถึงความห่างเหินที่แพร่กระจายออกมาจากตัวเขา อ้าวเสว่ก็รู้กลัวขึ้นมา เธอจึงใช้มือทั้งสองข้างคล้องไปบนคอของเขา แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ
เสียงถามทางของติงยียีดังขึ้นมาที่หน้าประตูอย่างฉับพลัน เมื่อได้เห็นสภาพการณ์ภายในห้อง เธอที่เดิมทีกำลังจะเข้าประตูมาก็ได้แต่ชายตามองดูเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นภายในหัวใจของเย่เนี่ยนโม่ก็รู้สึกได้ถึงความโกรธที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เขาจึงสะบัดแขนที่เรียวบางของอ้าวเสว่ออกไปแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
“เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่โซซัดโซเซไปชั่วขณะ แล้วรีบลุกขึ้นและตามออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็มาทันได้เห็นแค่เพียงเย่เนี่ยนโม่กำลังตามหลังติงยียีไป
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เย่เนี่ยนโม่ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้หรอก! หัวใจของอ้าวเสว่จมดิ่งลงเรื่อยๆ และรู้สึกร้อนรนจนไม่รู้จะตามเย่เนี่ยนโม่ไปทางไหน
ติงยียีเดินจากมาอย่างมีจิตสำนึกหลังจากได้เห็นภาพที่ทั้งสองคนโอบกอดกัน และเธอไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน จึงตรงขึ้นไปบนดาดฟ้า ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตึกหลายสิบชั้น โรคกลัวความสูงของเธอก็เลยกำเริบขึ้นมา เธอจึงถอยหลังกลับไปยังสถานที่ที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยอย่างสั่นสะท้าน
และแล้วแขนของเธอก็ถูกจับเอาไว้ เธอจึงหันไปมองด้วยความประหลาดใจ “เย่เนี่ยนโม่ นายไม่ได้อยู่กับอ้าวเสว่หรอกเหรอ?”
“เธอรู้สึกหรือเปล่าว่ามีอะไรที่ผิดปกติไป ก็หัวใจของเธอไง!” เย่เนี่ยนโม่ชี้ไปที่ตำแหน่งของหัวใจของเธอแล้วพูดด้วยอาการหายใจหอบ
“หัวใจของฉันเหรอ? ไม่มีสักหน่อย” ติงยียีรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เล็กน้อย หลังจากนั้นแขนของเธอก็ถูกกำแน่นยิ่งขึ้น แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็ใช้กำลังบังคับเอามือของเธอไปวางไว้บนหน้าอกของตัวเอง แล้วพูดอย่างดุดันว่า “ฉันมี! มันจะยิ่งเต้นเร็วขึ้นเพราะการปรากฏตัวของเธอ มันก็เกือบจะหยุดเต้นลงตอนที่เธอตกอยู่ในอันตราย และรู้สึกเจ็บปวดตอนที่เธออยู่ด้วยกันกับเย่ชูหวิน เธอบอกมาซิว่าที่เธอทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ เธอต้องการให้ฉันทำยังไง!”
ติงยียีมองเขาด้วยความตะลึงงัน ภายในหัวสมองของเธอรู้สึกสับสนมึนงงเป็นอย่างมาก ตัวเองฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจเลย หัวใจของเธอเต้นตุบตับอย่างรวดเร็ว ติงยียีรู้สึกได้ว่าปากและลิ้นของเธอแห้ง เวลาผ่านไปนานมากกว่าที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า “นายหมายความว่าอะไร ฉันฟังไม่เข้าใจเลย!”
“ฉันก็หมายความว่าอย่างนี้ไง” เย่เนี่ยนโม่ใช้มือข้างหนึ่งจับคางของเธอเอาไว้ แล้วเอียงศีรษะจูบไปที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ เท้าของติงยียีก้าวถอยหลังออกมา เขาก็ประชิดเข้ามาใกล้เธอ เธอก็ถอยหลังออกไปอีก แล้วเขาก็ใกล้เธอเข้ามาอีก และแล้วบริเวณหลังก็ชนกับกำแพงที่ถูกแสงแดดสาดส่องจนอุ่นเข้า เธอจึงทำได้เพียงยอมรับจูบอันเร่าร้อนนั้นอย่างฝืนทน
“แกนังมือที่สาม!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนที่มาพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นมาจากข้างหลัง เย่เนี่ยนโม่จึงปล่อยติงยียี แล้วหันหลังกลับไป จับฝ่ามือที่ยกขึ้นมาของอ้าวเสว่อย่างเย็นชา
“ติงยียี เธอมาแย่งเขาไปอย่างนี้ได้ยังไง เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง!” อ้าวเสว่ตะโกนจนเสียแหบแห้ง เย่เนี่ยนโม่ปกป้องติงยียีอยู่ข้างหน้า และพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอไม่เคยแย่งผมไปเลย คนที่ทิ้งผมก็คือคุณต่างหาก”
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่เคยบอกเลิกคุณเลย เนี่ยนโม่ฉันคิดถึงคุณเสมอ และตลอดเวลา!” อ้าวเสว่อธิบายอย่างสับสนวุ่นวาย ในขณะที่เย่เนี่ยนโม่กำลังมองดูเธอร้องไห้จนเกือบจะเป็นลม เขาก็น้ำตาคลอเบ้าทันที ตัวเองเคยกลัวว่าเธอจะร้องไห้มาก และความอ่อนไหวและความเปราะบางของเธอทำให้ตัวเองรู้สึกสงสาร แต่หลังจากผ่านไปสามปี เขากลับพบว่าตัวเองมีความรู้สึกที่เบาบางลงและไม่แยแสต่อเธอที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในตอนนี้มากขึ้นกว่าเดิม
“ขอโทษนะ พวกเธอคุยกันเถอะ ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนนะ” ติงยียีก้มศีรษะและเดินผ่านพวกเขาทั้งสองคนไปและรีบลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วและมองดูเธอเดินจากไปไกล อ้าวเสว่ตื่นตะลึง เธอจึงรีบใช้มือหันศีรษะของเขากลับมา บังคับให้เขามองมาที่ตัวเอง
“บอกฉันมาเถอะ ว่าคุณก็แค่โกรธฉัน” ริมฝีปากของอ้าวเสว่สั่นเทา ความเสียใจกำลังแผ่ปกคลุมตัวเธออย่างหนาแน่น เย่เนี่ยนโม่เอามือของเธอออกไป แล้วเดินจากไปอย่างไม่มีเยื่อใยเลยแม้แต่น้อย เสียงร้องไห้ที่ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักลงชั่วคราว แล้วเขาก็หันหน้ากลับมาพูดว่า
“ไม่ใช่ทุกทัศนียภาพจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป และก็ไม่ใช่ทุกคนจะเลือกรออยู่ที่เดิมตลอดไปเช่นเดียวกัน”
อ้าวเสว่มองดูเย่เนี่ยนโม่เดินจากไป และมองไปรอบๆอย่างงุนงง ทันใดนั้นก็ตามเขาออกไปทันที เธอจะไม่ปล่อยมือเย่เนี่ยนโม่ไปเด็ดขาด!
เธอวิ่งเร็วเกินไป จึงชนกับสวีเห้าเซิงที่กำลังถือของขวัญวันเกิดมาให้เย่เนี่ยนโม่เข้าเต็มรัก สวีเห้าเซิงรีบจับเธอเอาไว้ แล้วพูดว่า “เสี่ยวเสว่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
อ้าวเสว่รีบจับเขาเอาไว้ แล้วพูดขอร้องเขาว่า “เร็วเข้า! รีบช่วยไปตามเย่เนี่ยนโม่ให้หนูที เขาไม่ต้องการหนูแล้ว!”
สวีเห้าเซิงเห็นเธอร้องไห้จนเกือบทรุดลงกับพื้น เขาจึงขอห้องกับบริกรห้องหนึ่ง แล้วบังคับให้เธอพักผ่อน สวีเห้าเซิงเอานมอุ่นๆวางไว้บนมือของเธอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “เสี่ยเสว่ อย่าร้องไห้ไปเลย บอกลุงมาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อ้าวเสว่สงบใจลงมาแล้ว และภายในหัวใจของเธอก็ได้เปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความเกลียดชัง พอได้ยินสวีเห้าเซิงถามอย่างนั้น เธอจึงพูดด้วยความเคียดแค้นใจว่า “ติงยียีนังมือที่คนนั้นมันแย่งเย่เนี่ยนโม่ไปแล้ว!”
“ติงยียีเหรอ?” สีหน้าของสวีเห้าเซิงเคร่งขรึมขึ้นมา อ้าวเสว่ก็พูดเรื่องที่ตัวเองไปรักษาอาการป่วยที่ประเทศอังกฤษเนื่องจากภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นผลทำให้ติงยียีได้ถือโอกาสเข้ามาในขณะที่เธอเผลอเพื่อแย่งเย่เนี่ยนโม่ไปอย่างเกินความเป็นจริง ซึ่งตอนนี้เธอต้องการระบายมันออกมามาก
พอสวีเห้าเซิงยิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เนี่ยนโม่นี่ก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ! หลังจากที่ปลอบใจอ้าวเสว่เสร็จ สวีเห้าเซิงก็จากไป เขาต้องไปคุยกับเนี่ยนโม่ให้รู้เรื่องดูสักหน่อยแล้ว
ภายในห้องที่ว่างเปล่าเหลือเพียงอ้าวเสว่คนเดียวเท่านั้น อ้าวเสว่หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดไปหาสายหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อต่อสายได้แล้ว อ้าวเสว่ก็พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “แม่! เย่เนี่ยนโม่ชอบติงยียีไปแล้ว หนูไม่น่าไปประเทศอังกฤษตั้งแต่แรกเลย หนูยอมโดนจับเสียจะดีกว่า!”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset