สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1481 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1381

เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้น เปิดประตู ด้านหลังประตูว่างเปล่าจริงๆ ติงยียีก้มหน้า มองเห็นร่องรอยของขาเตียงทั้งสี่ข้างอย่างชัดเจนบนพื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างขวาง
เย่เนี่ยนโม่ปิดประตูอย่างใจเย็น มองเธอนิ่งๆ ค่อยๆขยับร่างเข้ามาใกล้ ติงยียีถูกกดไว้ที่ประตู แก้มสองข้างแดงก่ำ
มองเห็นว่าลมหายใจของทั้งสองฝ่ายกำลังจะเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เย่เนี่ยนโม่หยิบโทรศัพท์ออกมา เหลือบมองแวบหนึ่งก็กดตัดสาย
วินาทีนั้นเอง ติงยียีก็มองเห็นว่าชื่อของอ้าวเสว่แสดงอยู่ในช่องคนที่โทรมา ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็ว่างเปล่า เสียงโทรศัพท์ก็ดูเหมือนจะหัวเราะเยาะตัวเองว่าเป็นคนที่แทรกกลางระหว่างคนอื่นเสมอ
เย่เนี่ยนโม่วางสาย อยากจะสานต่อความอบอุ่นเมื่อครู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก ติงยียีผลักเขาออก มองเขาอย่างดื้อรั้น
เขาลูบศีรษะเธอ หยิบโทรศัพท์ที่เงียบเสียงลงแล้วขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่ได้เมินเฉยโดยทันที แต่กำลังพิมพ์อะไรบางอย่างบนหน้าของข้อความ
ติงยียีเดินกลับไปที่โซฟาอย่างเงียบๆ รอการตัดสินของตนเอง “ผมมีธุระต้องออกไปก่อน จำไว้ว่าใครมาก็ห้ามเปิดประตู”
เย่เนี่ยนโม่พูดพลางหยิบเสื้อสูทเดินไปที่ประตู ติงยียียิ้มดีใจอย่างผิดปกติ “อืม ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี คุณไปเถอะค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หมุนตัวกลับไปตรงหน้าของเธอ ขยี้ผมเธอเบาๆ ใช้หน้าผากแตะกับหน้าผากเธออย่างสนิทสนม “อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบแล้ว”
ภายในร้านน้ำชา คนสองสามคนจับกลุ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ สวีเห้าเซิงใช้ชาที่ต้มครั้งแรงล้างถ้วยน้ำชา กลิ่นหอมของชาลอยคละคลุ้ง
โทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะส่งเสียงดังไม่หยุด สวีเห้าเซิงยิ้มเจื่อน “ลูกสาวฉันคนนี้ มีแค่ตอนที่จนปัญญากับนายถึงจะนึกถึงฉัน ”
เย่เนี่ยนโม่หยิบถ้วยชาขึ้นมา จิบหนึ่งอึก ลิ้มรสชาติ สุดท้ายพูดว่า “ลุงสวี ขอโทษครับ”
สวีเห้าเซิงโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ “เป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆใช่มั้ย นายกับอ้าวเสว่”
เย่เนี่ยนโม่ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้อีกแล้วครับ”
สวีเห้าเซิงได้ฟังแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น “นายเหมือนกับแม่ของนาย ไม่ฝืนใจในเรื่องความรักเด็ดขาด”
เย่เนี่ยนโม่มองลุงสวีที่จู่ๆก็ดูแก่ชราขึ้นมา ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อย จะบอกว่าตนเองอยากชดเชยให้กับลุงสวี
สวีเห้าเซิงมองออกถึงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา ลุกขึ้นตบไหล่เขา “ไปเถอะ ช่วงนี้ลำบากนายแล้วนะ ต่อไปก็ไปทำสิ่งที่นายอยากทำเถอะ!”
หลังจากที่เย่เนี่ยนโม่ไปแล้วสวีเห้าเซิงนั่งอยู่ลำพังนานมาก จนกระทั่งน้ำชาเย็นหมดแล้ว ก็มีร่างคนผู้หนึ่งนั่งลง เขาเงยหน้า “ ชีหรั่นเหรอ”
เซี่ยชีหรั่นได้ยินเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับติงยียีและลูกชายของตนเองจากปากของเย่ป๋อ และก็รู้ว่ามาถึงขนาดนี้แล้วการแทรกแซงของเธอมีแต่จะทำให้ลูกเจ็บปวด
เซี่ยชีหรั่นเอาน้ำที่เดือดราดเข้าไปในกาน้ำชา พลางพูดว่า “ตอนที่รู้ว่าอ้าวเสว่เป็นลูกสาวของคุณฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เธอเป็นลูกสะใภ้ของตนเอง”
“ชีหรั่น!” สวีเห้าเซิงโน้มตัวไปข้างหน้า เขาไม่อยากให้เซี่ยชีหรั่นรู้สึกว่าติดหนี้เขา ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน
เซี่ยชีหรั่นเอาชาที่ชงเรียบร้อยแล้ววางตรงหน้าเขา พูดต่อไปว่า “ฉันและเนี่ยนโม่เป็นหนี้คุณมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเดิมพันด้วยความสุขของเนี่ยนโม่ ฉันก็จะทำให้เขาอยู่ด้วยกัน”
“พอแล้ว!” สวีเห้าเซิงส่งเสียงห้ามเธอ เซี่ยชีหรั่นคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของเขาได้ ได้แต่มองเขาอย่างเงียบๆ
สวีเห้าเซิงไม่รู้ว่าตนเองยังจะพูดอะไรได้อีก สายตาของเธอสว่างสุกใสเช่นนี้ ก็เหมือนกับว่ามองแวบเดียวก็อ่านเรื่องในใจตนเองออก ไม่มีผิดเพี้ยน ตอนที่เขารู้ว่าความรักของอ้าวเสว่ที่มีต่อเย่เนี่ยนโม่หยั่งรากฝังลึกนั้น เขาก็อยากให้เด็กทั้งสองคนคบหาแต่งงานกัน แต่คำพูดเหล่านี้ จุดประสงค์นี้ออกมาจากปากผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดแต่กลับดูเหมือนเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรง!
เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้นยืนตบที่หลังมือเขาเบาๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ความสุขของอ้าวเสว่ ฉันจะคืนให้เธอ”
สวีเห้าเซิงยืนอึ้งอยู่กับที่ ดึงสติกับมาได้เซี่ยชีหรั่นก็เดินไปด้านนอกแล้ว ผู้ชายที่ตรงนั้นไม่มีใครถูกร่างที่งดงามของเธอทำให้หลงใหลตราตรึงสายตามองไล่ตามร่างของเธอไป
“ชีหรั่น!” สวีเห้าเซิงหยิบเสื้อสูทไล่ตามออกไป ดึกขนาดนี้จะให้เธอกลับไปคนเดียวได้อย่างไร
เขาดึงประตูเปิด ฝีเท้าที่เร่งรีบหยุดชะงักลงทันที ภายใต้แสงจันทร์ เซี่ยชีหรั่นคลอเคลียอยู่ข้างกายเย่เชินหลินทั้งสองคนกระซิบกระซาบกัน เหมือนกับคนรักกัน ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ส่วนใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความเอาอกเอาใจ
สวีเห้าเซิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น เดินกลับไปที่ร้านน้ำชาอย่างเงียบๆ เหมือนกับว่าตอนแรกเซี่ยชีหรั่นเลือกที่จะแต่งงานกับตนเองต่อมาก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเย่เชินหลิน หรือว่าเขาและลูกสาวของเขา จะต้องพัวพันอยู่กับคนตระกูลเย่ไปตลอดชีวิตนี้
“พยากรณ์อากาศ สองวันนี้ เมืองตงเจียงจะมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืน จึงเตือนให้ประชาชนทั่วไประวังรักษาความอบอุ่นของร่างกาย”
ติงยียีดูพยากรณ์อากาศไปพลาง ดูดน้ำเต้าหู้ไปพลาง มือหนึ่งยื่นมาปิดดวงตาคู่นั้นของเธอ เย่เนี่ยนโม่อยู่ที่ด้านหลังของเธอ น้ำเสียงที่จนปัญญาแฝงด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ตอนทานข้าวห้ามดูทีวี!”
ติงยียีกัดตะเกียบมองเขากลับไปที่นั่งของตนเอง เริ่มรับประทานอาหารอย่างสง่างาม มองไปรอบๆตัว ภายในห้องมีร่องรอยของการใช้ชีวิตร่วมกันของคนสองคนเพิ่มขึ้นมา
ในห้องน้ำวางแก้วน้ำยาบ้วนปากแบบเดียวกัน รองเท้าแตะแบบเดียวกัน เธอปลูกบอนไซในกระถางที่ริมหน้าต่าง เพื่อให้เธออ่านหนังสือที่ระเบียงได้ เย่เนี่ยนโม่ก็ตั้งชิงช้าไว้ที่ระเบียงด้วย
นี่ไม่เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวเธอ ทำให้ติงยียีตกใจอย่างมาก เย่เนี่ยนโม่ปล่อยให้เธอมอง ยื่นมือไปเอานาฬิกาปลุกรูปหมูสีน้ำเงินมาวางตรงหน้าเธอ
เธอเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจ แววตาเปลี่ยนไปทันที รีบเด้งตัวออกจากเก้าอี้ขึ้นมา หยิบแฟ้มเอกสารบนโซฟาแล้วพุ่งไปที่ประตู วันนี้เธอลืมไปพบลูกค้าได้อย่างไรกัน!
“ยียี!” เย่เนี่ยนโม่เรียกเธอที่ด้านหลัง เธอรีบหันไปมอง ศีรษะชนเข้ากับหน้าอกที่กำยำ เธอเงยหน้าขึ้น เย่เนี่ยนโม่ มองเธอด้วยรอยยิ้มเฉิดฉาย
ในมือเย่เนี่ยนโม่ถือเสื้อคลุมอยู่หนึ่งตัว กางออก แล้วพูดว่า “ยื่นมือซ้ายออกมา” ติงยียียื่นมือซ้ายออกมาอย่างเชื่อฟังเย่เนี่ยนโม่ช่วยเธอสวมแขนเสื้อข้างซ้าย ติงยียียื่นแขนขวาออกมาโดยอัตโนมัติ
สำหรับการติดกระดุมเย่เนี่ยนโม่จำเป็นต้องโน้มตัวลงมา เธอก้มหน้ามาก็มองเห็นนิ้วเรียวยาวของเขากำลังติดกระดุมอย่างคล่องแคล่วพอดี สีหน้าท่าทางตั้งอกตั้งใจ
เธอรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกันมาก สีหน้าก็แดงเรื่อ เย่เนี่ยนโม่ติดกระดุมเสร็จ ก็ลูบศีรษะเธอ ประคองไหล่เธอผลักออกไปข้างนอกเบาๆ พูดว่า “ไปเถอะ”
ติงยียีพยักหน้า เปิดประตูเดินจากไป เย่เนี่ยนโม่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงหายลับไปพร้อมกับเสียงลิฟต์ เขาเดินมาที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่รถเบนซ์สีดำที่ไม่เป็นที่สะดุดตาจอดรออยู่ข้างทางมานานแล้วคันหนึ่ง เย่ป๋อลงมาจากที่ตำแหน่งคนขับรถ รีบเปิดประตูรถให้กับติงยียีทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่หน้ารถครู่หนึ่ง รถยนต์จึงขับออกไป
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะอาหารก็ส่งเสียงดังขึ้นมา เขาเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพราะว่ากำลังส่งรูปภาพมา โทรศัพท์มือถือจึงสั่นไม่หยุด
บนหน้าจอ สองมือเปื้อนเลือด บนแขนสีขาวมีรอยแผลมากมาย ด้านข้างยังมีข้อความสั้นๆได้ใจความว่า ‘วันที่สาม เนี่ยนโม่คุณรีบปรากฏตัวได้มั้ย’
เย่เนี่ยนโม่หน้าถอดสีมองมือที่มีรอยคราบเลือดในภาพ เขาไม่อาจปล่อยให้อ้าวเสว่เป็นแบบนี้ต่อไปได้ ถ้าเป็นไปได้เขาจะบอกกับคุณลุงสวีว่าให้พาอ้าวเสว่ไปรักษาที่แผนกจิตเวชของโรงพยาบาล
บนรถระหว่างที่ไปบริษัทติงยียีมองวิวทิวทัศน์ที่ผ่านไปด้านนอกหน้าต่างรถ ความคิดกลับกำลังโบยบิน นับตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเย่เนี่ยนโม่เป็นต้นมา เขาก็ขอให้เย่ป๋อส่งตนเองไปทำงานและรอรับเลิกงาน แต่ว่าตนเองกลับไม่เคยเสนอตัวเองไปรับส่งเธอเลย เพราะว่าตนเองเป็นมือที่สามดังนั้นก็เลยต้องหลีกเลี่ยงความสงสัยของผู้คนหรือ
เธอยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง เย่ป๋อที่อยู่ข้างๆจู่ๆก็เอามือข้างหนึ่งมาขวางไว้ตรงหน้าเพื่อปกป้องเธอ อีกมือรีบหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว
ติงยียีมองรถบิวอิคก์สีขาวคันหนึ่งขับตรงมาทางนี้ด้วยความตื่นตกใจ มองเห็นรถสองคันกำลังจะชนกัน เย่ป๋อหมุนพวงมาลัยหลบไปข้างทางอย่างแรง รถทั้งสองคันขับสวนกันไปอย่างฉิวเฉียด
มีผู้ชายคนหนึ่งลงมาจากรถ โบกมือขอโทษมาทางรถของเย่ป๋อ เย่ป๋อเองก็ไม่อยากเอาเรื่อง แสดงท่าทางให้อีกฝ่ายไปได้แล้ว เขาถอนหายใจยาวๆอย่างไม่ตั้งใจ “โชคดีที่ไม่ใช่เธอ”
“คุณคิดว่าเป็นใครคะ” ติงยียีถามอย่างอยากรู้ เย่ป๋อรีบสตาร์ทรถยนต์เบี่ยงเบนประเด็น สองสามวันนี้คุณชายให้ตนเองคอยปกป้องเธอตอนไปทำงานตอนเลิกงานให้ดี อาการป่วยของคุณอ้าวเสว่ดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น คุณชายบอกว่าเธอจะทำร้ายคุณติงยียี
มาถึงที่บริษัท ติงยียีเดินเข้าไปข้างในห้องทำงาน มองไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเคยชิน อ้าวเสว่ไม่ได้มาที่บริษัทหลายวันแล้ว เธอเป็นห่วงเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่งสำหรับคนในที่ทำงาน เธอไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ลูกค้ายังรอเธออยู่ที่ห้องประชุม เธอรีบคว้าแผนธุรกิจไปที่ห้องประชุม หนึ่งชั่วโมง ลูกค้าจับมือกับเธอด้วยความพอใจ “พวกเราพอใจมาก ทางฝ่ายคุณไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรแล้ว สร้อยข้อมือแบบนี้ทั้งล็อตบริษัทเราต้องการ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างดีใจ ถ้าหากประสบความสำเร็จในการทำสัญญาข้อตกลงทางการค้านี้ นั่นก็คือมูลค่านับร้อยล้าน ตอนนี้ในด้านการทำงานเธอรู้สึกว่ายิ่งมีความคล่องตัวราบรื่นขึ้นเรื่อยๆแล้ว
หลังจากลูกค้าไปแล้ว เธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ซึมซับช่วงเวลาที่พร่ำพรรณนาถึงปรัชญาในการออกแบบของตนเองเมื่อครู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่เข้ามากลับทำให้เธอตกใจมาก
“คุณสวี!”
ติงยียีรีบยืนขึ้นมา ในใจกลับแปลกประหลาดใจมาก ชายวัยกลางคนที่เดิมทันสมัยอ่อนโยนครั้งนี้กลับดูผอมซูบซีดไปมาก แม้แต่จอนผมสองข้างก็มีผมหงอก ทำให้ดูสูงวัยยิ่งขึ้น
สวีเห้าเซิงยิ้มพลางพยักหน้ากับเธอ นั่งลง พูดว่า “เธอรู้มั้ยว่าทำไมช่วงสองสามวันนี้อ้าวเสว่ถึงมาที่บริษัทไม่ได้เลย”
ติงยียีตกใจหัวใจหล่นไปที่ตาตุ่ม สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะบอก พูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณลุงสวีคุณบอกมาเลยค่ะ”
สวีเห้าเซิงกลับโบกไม้โบกมือไม่ได้พูดอะไรต่อไป ลุกขึ้นยืน มองดูนาฬิกาข้อมือพูดว่า “ฉันบอกกับท่านประธานของพวกเธอแล้ว ช่วยลางานให้เธอสองชั่วโมง รบกวนเธอไปที่ที่หนึ่งกับฉันหน่อย”
ติงยียีนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เย่ป๋อมาส่งตนเองที่บริษัทบอกว่าไม่ว่าใครมารับตนเองก็ห้ามไปด้วย จึงลังเลในใจ หลังจากที่มองเห็นสายตาอันอ่อนโยนของลุงสวีก็ใจอ่อนเล็กน้อย ในเมื่อเขาเคยช่วยเหลือคนของตนเอง ถ้าไม่มีเขา ตอนนั้นแม้แต่เงินที่จะพาพ่อไปหาหมอก็คงไม่มี
“ไปเถอะค่ะลุงสวี”
ครึ่งชั่วงโมงต่อมา รถก็มาจอดที่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังหนึ่ง คฤหาสน์สองชั้นเงียบสงบมาก ด้านหน้าประตูคฤหาสน์มีคนสองคนยืนอยู่

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset