สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1480 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1380

เย่เนี่ยนโม่มองไปทางติงเหม่ยหรงด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าถ้าอีกฝ่ายจะพาติงยียีไปตนเองจะยื้อไว้ได้ยังไง
ติงยียีส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วพูด “คุณป้าคะ งานของหนูอยู่ที่นี่ ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อค่ะ”
สายตาของติงเหม่ยหรงหันไปเย่เนี่ยนโม่ที่ยืนด้านข้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีบุคลิกที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป เธอก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้ ก่อนจะหันไปหาติงต้าเฉิน “ถ้าอย่างนั้น ต้าเฉิน นายกลับไปอยู่กับพี่ก่อน พี่ไม่วางใจให้นายอยู่คนเดียว”
ติงต้าเฉินไม่ได้คัดค้าน เขามักจะรู้สึกตัวเองเป็นตัวปัญหาให้กับลูกสาว ดังนั้นเขาจึงอยากจะกลับไปที่บ้านเกิดของเขา ติงยียีไม่อยากให้พ่อของเธอไปสักเท่าไหร่ จึงก้าวไปข้างหน้ากอดแขนเขาไว้แล้วออดอ้อน
ติงต้าเฉินเองก็เกือบจะร้องไห้ออกมา รีบดึงเธอออก แล้วพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด “ลูกจะคบกับใครพ่อไม่เข้าไปยุ่ง แต่ตระกูลติงเราต้องใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ถ้าลูกต้องเป็นเมียน้อยคนอื่น พ่อไม่ยอมแน่ๆ!”
เย่เนี่ยนโม่ก้าวไปข้างหน้า แล้วพูด “คุณลุงครับ ผมรับรองได้ครับ ว่าผมรักลูกสาวคุณลุง”
ติงยียีชะงักไปทันที ก่อนจะหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ น้ำหนักของคำว่ารักกับชอบมันแตกต่างกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำว่ารักจากปากของเขา
ไม้ค้ำยันของติงต้าเฉินกระแทกพื้นอย่างแรง แล้วพูดอย่างเหยียดหยาม “ความรักจะมีประโยชน์อะไร ความรักที่ไม่มีฐานะให้มันสิ้นสุดโดยเร็วจะดีกว่า!”
หลังจากพูดจบ ติงต้าเฉินก็ผลักรถเข็นของเขาตรงออกจากโรงแรมไป ติงเหม่ยหรงหันไปมองที่ทั้งสองคนเล็กน้อย แล้วรีบตามน้องชายออกไป
ติงยียีมองแผ่นหลังของพ่อค่อยๆ เลือนหายไป อารมณ์ของเธอก็เศร้าลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอต้องห่างไกลจากพ่อเป็นเวลานานขนาดนี้ เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่เคียงข้างเธอ
เธอก้มหน้าลง แล้วเอ่ยพูด “อย่าไปสนใจคำพูดของพ่อฉันหรอกค่ะ ยังไงพวกเราก็ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน”
ทันทีที่พูดจบ ไหล่ของเธอก็จับให้ยืนตรง เย่เนี่ยนโม่มองเข้าไปในดวงตาของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมผิดไปแล้ว ผมผิดที่คิดว่าจะจัดการเรื่องราวให้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ผมนึกว่าคุณจะไม่สนใจ ผมจะให้คำตอบที่มั่นคงกับคุณแน่นอนครับ”
เธอปัดมือเขาออก แล้วก้าวออกไป ตอนนี้เธอเหมือนหอยทาก กลัวว่าจะถูกทำร้าย เธอจึงซ่อนตัวเองอยู่ในเปลือกของเธอ
“อย่าลืมย้ายไปบ้านใหม่ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้เห็นแพนด้าอีก” เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆ ตามหลังเธอมา
ลมในฤดูใบไม้ร่วงช่างหนาวเย็นมากจริงๆ ติงยียียืนอยู่หน้าบ้านที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ในใจรู้สึกเศร้ามาก นี่คือที่ที่เธอใช้ชีวิตจนเติบโตขึ้นมา อิฐและกระเบื้องทุกแผ่นมีความทรงจําแห่งความสุขของเธอและครอบครัวอยู่ ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว
เธอพับแขนเสื้อขึ้น แล้วเริ่มค้นหาสิ่งที่มีค่าในกองซากปรักหักพัง จนมีคนเดินผ่านมา เธอทักทายอย่างแปลกใจ: “ลุงจางคะ หัวของลุงเป็นอะไรไปคะ ได้รับบาดเจ็บเหรอคะ”
ชายคนนั้นจับหัวที่มีพันผ้าพันแผลพันไว้ของเขา แล้วเดินเข้าไปหาเธอด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “ยียี หนูกับพ่อของหนูต่างก็เป็นคนมีน้ำใจ แต่พ่อหนุ่มที่เป็นแฟนของหนูไม่มีน้ำใจเอาซะเลย”
แฟนเหรอ? ติงยียีมองด้วยแววตาสงสัย ชายชราบอกเล่าเหตุการณ์ตอนที่เขาขอความช่วยเหลือจากเย่เนี่ยนโม่แล้วเย่เนี่ยนโม่ไม่สนใจเขาให้ติงยียีฟัง
พอเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไรออกมา ชายชราก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาบ่นพึมพำอีกสองสามคำ แล้วเดินจากไป ติงยียียืนอยู่ในซากปรักหักพังด้วยอารมณ์ที่สับสน
เธอจำได้ว่าเมื่อวานนี้เธอนอนหลับอยู่ในโรงแรมอย่างสบายๆ ขณะที่เขาพยายามตามหาเธอภายใต้พายุไต้ฝุ่นอย่างบ้าคลั่ง เธอเหมือนจะได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกเธอ รวมถึงนิ้วมือที่ได้รับบาดเจ็บนั้นด้วย
ในช่วงกลางคืน เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้เปิดไฟในห้อง เขานั่งอยู่บนโซฟาเงียบๆ แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามากระทบกับกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะ มันดูเงียบเหงาเอามากๆ
เขารู้ว่าติงยียีคงจะไม่กลับมา แต่เขาก็ยังปฏิเสธงานเลี้ยงต่างๆ เพื่อมานั่งรอเธอ ทันใดนั้นเอง มีเสียงเสียงหมุนกลอนประตูดังขึ้นมา เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
ติงยียีรู้สึกไม่คุ้นชินกับความมืดภายในห้อง จึงเอื้อมมือออกไปและคลำไปตามผนัง แล้วมีมือใหญ่ทับลงบนหลังมือของเธอในความมืด
“เย่เนี่ยนโม่” เธอเรียกเขาเบาๆ แต่ไม่หันไปมอง
“อืม” เขาตอบ ทั้งสองคนเปลี่ยนทิศทางในการคลำหาสวิตช์เปิดไฟ ติงยียีคลำหาเจอก่อน พอแสงในห้องสว่างจ้าขึ้น ทั้งสองก็หรี่ตาลงอย่างไม่คุ้นเคย
“เย่เนี่ยนโม่” เธอก้มหน้าลงพึมพำเรียกชื่อเขาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยพูด “คุณทอดทิ้งฉันไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันยังอยากกลับมา ถ้าวันหนึ่ง คุณทอดทิ้งจนทำให้หัวใจของฉันด้านชา ฉันจะไปจากคุณทันที”
คำตอบที่เธอได้รับคือ ความร้อนแรงและแรงกอดรัดแน่น ทั้งสองหลับสนิทตลอดทั้งคืน ติงยียีลืมตาตื่น แล้วมองไปที่นาฬิกาปลุกสีน้ำเงินตรงโต๊ะข้างเตียง ยังเหลือเวลาห่างจากเวลาเข้าทำงานของเธออีกสามชั่วโมง
ประตูถูกเปิดแง้มไว้ เธอลากสังขารร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอเปิดประตูเดินออกมา เย่เนี่ยนโม่ที่นั่งอยู่บนโซฟารีบวางสายไปทันทีเขาเดินไปหาเธอด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องปิดบังเธออยู่ ในใจของเธอรู้สึกขมขื่นมาก แต่การแสดงออกของเธอก็ยังคงไร้อารมณ์
ติงยียีสวมรองเท้าแตะที่พอดีเท้าของเธอเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ จึงเห็นแก้วเซรามิกสองใบที่เหมือนกันที่วางอยู่ใต้กระจกจึงตกตะลึงเล็กน้อย ศีรษะของเขาได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า เธอมองขึ้นไปที่เขา เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาช่วยเธอบีบยาสีฟัน แล้วเอาแปรงสีฟันยื่นใส่มือของเธอ แล้วเดินจากไปในสภาพพันผ้ากันเปื้อนไว้
เย่เนี่ยนโม่เห็นประตูห้องน้ำปิดลง จึงกดโทรออกอีกครั้ง เย่ป๋อที่อยู่ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม “ไม่ต้องห่วงครับ! คุณชาย ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
ติงยียีอาบน้ำเสร็จออกมาแล้ว ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นกาแฟเข้มข้น เย่เนี่ยนโม่วางเบคอนบนจานอาหาร ติงยียีนั่งลง แล้วพูดว่า “ค่าเช่าห้องเท่าไหร่คะ ฉันจะจ่ายให้ตรงเวลา”
“เดือนละแสน” เย่เนี่ยนโม่ที่สวมผ้ากันเปื้อนกำลังยุ่งอยู่หน้าโต๊ะทำอาหารอาหารพูดขึ้น ติงยียีที่จิบกาแฟอยู่เกือบพ่นออกมา “หนึ่งแสนต่อเดือน ฉันไม่อยู่แล้ว”
“แพนด้า” เย่เนี่ยนโม่พูดเสียงเรียบ ก่อนจะนำไข่ดาวมาวางที่โต๊ะอาหาร พอเห็นเธอกัดฟันกรอดเขายิ่งรู้สึกว่าเธอน่ารัก เขาจูบที่แก้มของเธอเบาๆ
“นี่คุณ!” ติงยียีกุมแก้มของเธอไว้ แล้วเอนหลังหนี เธอใช้แรงเยอะเกินไป ทำให้ทั้งเก้าอี้ทั้งคนล้มหงายหลังหลังไป
ในขณะที่คิดว่าจะต้องเจ็บตัวแน่ๆ เธอก็นอนอยู่บนหน้าอกของเย่เนี่ยนโม่แล้ว ทั้งสองคนกำลังอยู่ในท่าทางที่ดูน่าคลุมเครือมาก เขาลูบศีรษะของเธอแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “อยู่ที่นี่ให้สบายใจ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบ คุณทำงานบ้านเพื่อชดเชยได้”
“ตอนนี้ฉันถือว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ได้ใช่ไหมคะ” เธอกระพริบตาปริบๆ แสงแดดในยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่าน จนสามารถเห็นขนตาอันงอนยาวของเธอมีแววตาเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมา
พอเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ของเธอ เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ แต่เขากลับรักในท่าทางขี้แกล้งของเธอมาก เย่โม่เนี่ยนพยักหน้ารับ แล้วนอนสบายบนพรมขนสัตว์ แล้วสอดมือเข้าที่รักแร้ของเธอ ดึงเธอขึ้นมา
ติงยียีหาท่าทางที่สบายนอน หลังจากขยับยุกยิกสักพักก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อฉันเป็นเจ้าของบ้าน งั้นหลังจากกินข้าวเสร็จคุณก็ออกไปซะ”
เขารู้ว่าเธอคิดจะพูดแบบนี้ เย่เนี่ยนโม่ยังคงนอนอยู่เช่นเดิม แล้วลูบศีรษะของเธออย่างจนใจ
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองก็แยกกันไปทำงาน ติงยียียืนอยู่นอกที่ทำงาน นิ่งคิดในใจ ถ้าเธอสามารถอยู่ในที่ที่มีความสุข ทำในสิ่งที่เธอชอบ มันได้ดีสักแค่ไหน
พอเปิดประตูเข้ามา ก็มีเสียงแสดงความยินดีดังขึ้นมา “คุณติง ยินดีด้วยนะคะ” มีคนพูดแสดงความยินดีกับเธอมาตลอดทาง ติงยียี รู้สึกแปลกใจมาก ตอนที่เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ พบว่าเครื่องใช้ของเธอหายไปหมด
“คุณติง คุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งแล้วค่ะ ตอนนี้ที่ทำงานของคุณอยู่ห้องเดียวกับคุณอ้าวเสว่ค่ะ” หวางเหม่ยผิงถือโอกาสตอนเอากระดาษไปทำลายที่เครื่องทำลายกระดาษกระซิบบอกเธอ
ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างนั้นเหรอ? ติงยียีเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ตามที่คาดไว้ มีโต๊ะอีกตัววางอยู่ที่อีกด้านของห้องทำงานขนาดใหญ่ โดยมีอ้าวเสว่นั่งตรงข้ามกับเธอ กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
พอเห็นเธอ อ้าวเสว่ก็ลุกขึ้นยืน รองเท้าส้นสูงที่บางเฉียบของเธอเดินเหยียบพื้นจนเกิดเสียงที่แหลม เธอเดินเข้ามาหาติงยียี แล้วยื่นมือออกมา “ยินดีด้วย”
ติงยียียื่นมือออกไปจับ แต่เธอกลับดึงมือกลับไปก่อน แล้วพูดเยาะเย้ย “เธอมีคุณสมบัติอะไรให้ฉันแสดงความยินดีกับเธอมิทราบ”
ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาหน้าห้องทำงาน มองมาทางพวกเธออย่างสงสัย ติงยียีดึงมือของเธอกลับแล้วนั่งลงบนที่นั่ง อ้าวเสว่ไม่ได้พูดผิด เธอเป็นมือที่สาม
อาการเฉยเมยยอมอ่อนให้ของติงยียีทำให้อ้าวเสว่ยิ่งโกรธมากขึ้น ทำไมเธอที่ได้ความรักจากเย่เนี่ยนโม่ไปแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตัวเองอีก เธอยอมรับไม่ได้จริงๆ
ช่วงเวลาทำงานกลายเป็นช่วงเวลาที่ติงยียีเหนื่อยใจที่สุดไปแล้ว พอถึงเวลาเลิกงาน เธอก็รีบลงไปชั้นล่าง พอเห็นรถออฟโรดคุ้นตาจอดอยู่ด้านข้าง เธอก็รีบหันหลังเดินไปทางอื่นทันที
เย่เนี่ยนโม่ลงจากรถ แล้วรีบเดินไปหาเธอ ก่อนจะคว้าข้อมือเธอไว้ เธอรีบสะบัดออกและมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก กลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้า
“คุณไม่อยากอยู่กับผมถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่สีหน้าบึ้งตึง
ติงยียียิ้มแหย “ในฐานะมือที่สาม ฉันค่อนข้างรู้จุดยืนของตัวเองค่ะ”
พนักงานของบริษัทหลินซื่อเดินผ่านมาแล้วชี้มาที่ติงยียีแล้วพูดซุบซิบกัน เย่เนี่ยนโม่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ปกติพวกเขาทำกับคุณแบบนี้เหรอ?”
ติงยียีไม่อยากที่จะตอบคำถามนี้ ข้อมือของเธอถูกดึงไปจับไว้อีกครั้ง แล้วเย่เนี่ยนโม่ก็ดึงเธอเดินไปทางบริษัทหลินซื่อ เธอไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาจูงมือเธอไปอย่างงงวย
ตรงประตูบริษัทหลินซื่อ อ้าวเสว่และเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกำลังเดินออกมา พอพวกเธอเห็นเย่เนี่ยนโม่ กับติงยียีอยู่ด้วยกัน ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างพากันตกตะลึงไปทันที
ติงยียีพยายามดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของเย่เนี่ยนโม่อย่างสุดแรง เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าอ้าวเสว่ จึงรีบหนีไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ในตอนกลางคืน เธอกอดหมอนอิงนั่งอยู่บนโซฟา นุ่งดูโทรทัศน์ด้วยอาการเหม่อลอย เรื่องเมื่อช่วงเย็น ตรงหน้าประตูบริษัทยังคงผุดขึ้นมาในสมองของเธอ ในตอนนั้นเย่เนี่ยนโม่คิดจะพูดอะไรกันแน่
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิด เธอรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู ด้านนอกประตู เย่เนี่ยนโม่กำลังยืนลากกระเป๋าเดินทางอยู่ตรงหน้า พอเห็นเธอเปิดประตูออกมา ก็ต้องขมวดคิ้วแน่น “คุณเปิดประตูได้โดยไม่ถามว่าเป็นใครก่อนเลยหรือไง?”
ติงยียียกไม้เบสบอลในมือขึ้นมา แล้วเอ่ยถาม “ดึกขนาดนี้แล้ว คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ห้องฉันน้ำรั่ว ฉันจะมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว” เย่เนี่ยนโม่ลากกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ข้างหน้า แล้วมองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก
ระดับบ้านตระกูลเย่เนี่ยนะจะน้ำรั่วได้? ติงยียีนึกถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ ที่พอจะมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับทำเนียบขาวได้ แล้วมองมาที่เขาอย่างสงสัย เย่เนี่ยนโม่เดินเข้าประตูไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะของเขาแล้วด้วย
“งั้นฉันจะไปทำความสะอาดห้องรับแขกให้ค่ะ” ติงยียีที่เป็นแค่ผู้ขออาศัย จะไล่เจ้าของบ้านออกไปจากบ้านได้ยังไง
“บ้านของเราไม่มีห้องรับแขกครับ” เย่เนี่ยนโม่นั่งบนโซฟาอย่างอารมณ์ดี ติงยียีชี้ไปที่อีกห้องหนึ่งที่อยู่ถัดจากห้องนอนใหญ่อย่างสงสัย แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้เปิดเข้าไปดู แต่ก็มีป้ายเขียนว่าห้องพักก็แขวนไว้ที่ประตูหน้าห้องอย่างชัดเจน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset