หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 684 การตัดสินใจของตู้กูหลิน

ณ สหพันธรัฐ บนดาวพุธ

ดาวพุธเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่มีชั้นบรรยากาศบางเบา ด้วยเหตุนี้ แสงที่ส่องกระทบลงบนดาวจึงถูกสะท้อนกลับออกไปน้อยมาก ดังนั้นท้องฟ้าของดาวพุธจึงไม่เป็นสีฟ้าใสเท่าโลก หากปราศจากแสงของอาทิตย์และดาวดวงอื่นๆ มันจะปรากฏเป็นความมืดมิดดำทะมึน

ดูไปก็คล้ายโคมไฟตามถนนในยามค่ำคืน แม้ว่าตัวโคมไฟจะสุกสว่างส่องแสงเรืองรองให้กับทุกที่ที่แสงไปถึง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท้องฟ้าจะไม่มืดมิด

มีแสงสว่างสังเคราะห์มากมายอยู่บนดาวพุธดวงเก่า ในฐานะที่เป็นที่ตั้งของวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย สหพันธรัฐได้ปรับแต่งสิ่งต่างๆ ที่ทั้งยุ่งยากและซับซ้อนให้ดาวพุธมากมาย ถึงกับสร้างดวงอาทิตย์สังเคราะห์ไว้ให้ แถมยังมีการป้องกันจากวงแหวนปราณระบบสุริยะด้วย ดาวพุธค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสหพันธรัฐในเวลาต่อมา!

ทว่าบัดนี้…ฐานที่มั่นเก่าของสหพันธรัฐเหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น แสงสังเคราะห์อื่นๆ นอกเหนือจากดวงอาทิตย์ต่างก็ถูกทำลายจนพินาศสิ้น ร่องรอยของสงครามเกลื่อนกล่นอยู่ทั่วไป มีรอยแยกร้าวลึกบนแผ่นดินหลายต่อหลายแห่ง และไม่พบผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเลยสักคนเดียว

ดาวพุธกลายมาเป็นฐานที่มั่นของกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาล ภายใต้การนำของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไปแล้ว!

ระเบิดต้านทานวิญญาณถูกขุดออกมา วงแหวนปราณจำนวนมากถูกหลอมขึ้น ดาวพุธถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว นอกจากซากปรักหักพังและหุบเหวแล้ว สิ่งใหม่ที่มองเห็นได้ชัดเจนคือกองเนื้อขนาดมหึมา

แต่ละกองทอดยาวไปร่วมหลายร้อยเมตร ดูคล้ายกับเป็นก้อนเนื้อร้ายที่เติบโตออกมาจากดาวพุธ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาและกระตุกอย่างรุนแรงราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามจะแหวกออกมาจากภายใน ก้อนเนื้อเหล่านี้ปล่อยพลังวิญญาณที่ไหลออกมาเกาะตัวกันคล้ายเป็นตาข่ายที่ห่อหุ้มรอบพื้นผิวดาวพุธเอาไว้หมด

ขณะเดียวกัน…เรือบินรบสีดำทะมึนก็ล่องลอยอยู่ทั่วน่านฟ้าดาวพุธในอวกาศ พวกมันคือเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาล ที่สามารถเดินทางไปในอวกาศได้

เรือบินรบเหล่านี้ถูกนำไปเก็บไว้หลักจากที่กระบี่สำริดเขียวโบราณถูกผนึก แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งการให้นำเรือบินรบออกมาหลังจากที่ประกาศสงครามกับสหพันธรัฐ

เรือบินรบลอยติดกันแน่นเป็นแพยาว ประมาณคร่าวๆ น่าจะมีอยู่ราวหนึ่งแสนลำ ขณะที่ส่วนหนึ่งล้อมรอบดาวพุธอยู่ อีกส่วนก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มเรือบินรบท่องไปทั่วจักรวาล

หากเทียบกันแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลรู้สึกเกรงกลัวยิ่งกว่าเรือบินรบเหล่านี้ก็คือ…เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!

มันเป็นเรือบินรบที่น่าสะพรึงกลัว สร้างขึ้นมาจากแผ่นวงกลมสามแผ่น ล่องลอยอยู่ในน่านฟ้าดาวพุธ ในใจกลางของเรือบินรบ ตรงตำแหน่งที่มีแท่นบูชาหลัก มีลำแสงยาวหลายพันกิโลเมตรที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลกเข้าไว้ด้วยกันปรากฏขึ้น

เสียงกัมปนาทดังสะเทือนยังคงปะทุต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ดาวพุธสั่นไหวราวกับว่าพลังงานของดาวกำลังถูกดูดกลืนไป ด้านเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นส่องแสงเรืองรอง ราวกับว่ากำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่!

ความสว่างจากลำแสงส่องลงมาถึงพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นด้านใน คลื่นพลังวิญญาณยังคงทะลักทลายออกมา ไหลบ่าท่วมพื้นดินไปไกลหลายพันกิโลเมตรในทุกทิศทาง ป้องกันไม่ให้มีใครกล้ำกรายเข้าไปใกล้

ภาพของเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น ลำแสงสุกสว่าง และพื้นแผ่นดินที่กำลังสั่นสะเทือนดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

สงครามล่วงเลยมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลานั้น สหพันธรัฐก็พ่ายแพ้มาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น แผนการทำลายตัวเองอย่างสิ้นซากของดาวพุธก็ถูกขัดขวาง แต่กระนั้นการเตรียมการและการโต้กลับที่สหพันธรัฐได้ทำไป โดยเฉพาะการระเบิดของระเบิดต้านทานวิญญาณส่วนหนึ่งก็กระทบต่อความมั่นใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

แน่นอนว่า หลายคนเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่…เมื่อมีเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ทรงพลังและยานรบของตระกูลไม่รู้สิ้นที่น่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ตั้งคำถามต่างก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ต้องยอมกัดฟันทำตามคำสั่งไปแต่โดยดี

ตู้กูหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น!

ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มยอมรับกับสภาวะสงคราม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค้นพบคุณค่าของตนเองผ่านการต่อสู้ในสงครามนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกพึงใจกับความแข็งแกร่งเมื่อได้ออกเข่นฆ่าและปล้นสะดม นอกเหนือจากระเบิดต้านทานวิญญาณอันรุนแรงแล้ว ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐนั้นก็ช่างอ่อนแอและถูกกำราบได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก!

เกิดการวางเพลิง ข่มขืน และปล้นชิงอยู่ทั่วไปเป็นปกติ ความเลวทรามและความหื่นกระหายภายในใจของทุกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สงครามที่ดำเนินมากว่าหนึ่งเดือนโบกโหมให้เปลวไฟของความชั่วร้ายแผดเผาเจิดจ้ารุนแรงขึ้นไปทุกที

ศิษย์แห่งเต๋าโยวรันก็มีส่วนสร้างสถานการณ์นี้เช่นกัน งานของเขาละเอียดลอออย่างยิ่ง…รายละเอียดเหล่านี้อยู่ในระบบการตบรางวัลเป็นแต้มการรบและการนำแต้มมาแลกสมบัติ ชายชราเปิดคลังสินค้าของสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นและนำสมบัติจำนวนมากของตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาให้แลกเปลี่ยน กลายเป็นสิ่งกระตุ้นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลได้ดีขึ้นไปอีก

พวกเขาจะทำผิดหรือถูกไม่สำคัญ เมื่อมีคนออกคำสั่ง ก็แปลว่าพวกเขาสามารถโยนความรับผิดชอบให้คนๆ นั้นได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง ศัตรูก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับความละโมบ และไม่มีความจำเป็นต้องไว้ชีวิตศัตรู

ด้วยเหตุนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจึงไม่จำเป็นต้องโบกพักเปลวไฟแห่งสงครามหรือหลอกล่อผู้ติดตามของตนให้ทำตามอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาต้องจดจ่อคือการซ่อมบำรุงเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นให้กลับสู่สภาพพร้อมใช้งานเต็มที่โดยใช้ทรัพยากรที่ชิงมาได้ในสงครามนี้!

ตอนที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิของตนเอง ชายหนุ่มได้สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้น สระน้ำและทางเดินขนาดมหึมาถูกทำลาย การพินาศของทั้งสองสิ่งทำให้เรือบินรบเสียหายอย่างหนัก เมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง สิ่งคล้ายๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ไล่ล่าเหล่าสหพันธรัฐที่ล่าถอยออกจากดาวพุธ แต่ชายชราฉกฉวยโอกาสนี้ซ่อมบำรุงเรือบินรบเสียก่อน

โยวหรันสั่งให้เมี่ยเลี่ยจื่อจัดการเรื่องอื่นๆ แทนจนกว่าจะซ่อมบำรุงเรือบินรบได้ลุล่วงระดับหนึ่ง เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของชายชราอย่างเต็มที่ ความคิดอ่านถูกกดทับเอาไว้จนหมด เขาทำตามที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งอย่างไร้คำถามและไร้ที่ติ

สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ที่ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลต่างก็ขึ้นมามีบทบาทนำ พวกเขาพากลุ่มผู้ฝึกตนตะลุยเข้าไปในสนามรบ สร้างสงครามขึ้นจนสำเร็จ ดาวพุธไม่เพียงกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้น มันยังกลายมาเป็นสถานที่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลใช้ซ่องสุมกำลังพลเพื่อเตรียมการโจมตีดาวศุกร์อีกด้วย

ขณะที่สงครามยังดำเนินต่อไป ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐาน มีศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับสิบนั่งขัดสมาธิอยู่ภายนอกบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายซึ่งเชื่อมต่อกับกระบี่สำริดเขียวโบราณ

พวกเขาส่วนมากอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ยกเว้นเพียงผู้ฝึกตนคนเดียวที่นั่งอยู่ห่างไปจากกลุ่ม เขาสวมชุดเกราะสีดำและอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าจับตาดูวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเอาไว้!

ผู้ฝึกตนเกราะสีดำนั่งหลับตา ที่เหลือต่างก็นั่งติดกัน ทำเหมือนว่านั่งสมาธิอยู่ แต่จริงๆ แล้วกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลายคนมีแววตาอิจฉาริษยาและเกลียดชังฉายอยู่บนใบหน้า

“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานมีคนเก็บแต้มการรบจนสามารถแลกโอสถกำเนิดวิญญาณได้เชียวนา!”

“เดือนนี้มีคนได้โอสถกำเนิดวิญญาณไป 37 คนแล้ว ข้าสงสัยว่าเมื่อไรจะถึงเวลาของพวกเราสักที เมื่อไรพวกเราจะรวบรวมแต้มการรบได้มากพอบ้าง ข้าเจอเฉินลู่จื่อเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้หม้อหลอมไปหลายใบเชียวนะ…ดูเหมือนว่าจะเป็นหม้อระดับสูงเสียด้วย!”

“บัดซบ พวกเราติดอยู่ที่นี่ นั่งเล่นเป็นยามกันทั้งวันทั้งคืน แทนที่จะได้ไปสังหารพวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำ ไม่มีทางเลยที่เราจะเก็บแต้มการรบได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงได้แต่มองดูคนอื่นก้าวหน้า พวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำนั้นฆ่าง่ายนัก เรียกว่าได้แต้มการรบมาเปล่าๆ ก็คงไม่ผิดนัก!”

ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลพูดคุยกันเบาๆ ดูไม่ยี่หระหากผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจะบังเอิญได้ยินเข้า ราวกับว่าต้องการจะให้เขารับรู้ถึงความไม่พอใจกระนั้น

สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นหากเป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อก่อน แต่ปัจจุบัน ความไม่พอใจกลับเห็นได้อยู่ทั่วไป

คำพูดของพวกเขาลอยไปเข้าหูผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจริงๆ ดวงตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ มีแสงสีดำส่องประกายอยู่ภายใน

หากหวังเป่าเล่อมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็จะจำผู้ฝึกตนในเกราะสีดำได้ทันที เขาคนนี้คือศิษย์รักของเมี่ยเลี่ยจื่อ ตู้กูหลินนั่นเอง!

ตู้กูหลินได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาเริ่มเงียบลงและพูดน้อยลงทุกทีในช่วงนี้ แต่ถึงอย่างไรตู้กูหลินก็ยังเป็นศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ ไม่มีใครกล้ากังขากับการตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มหลบเลี่ยงปัญหาและเลือกมาอยู่ยามในบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้แทน

ลูกน้องเก่าๆ ของเขาเคยถามเรื่องนี้หลายต่อหลายหน ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้วยว่าลูกน้องส่วนมากแอบออกไปเข่นฆ่าผู้คนเพื่อแลกแต้มการรบ ตู้กูหลินรู้ดี…ว่าอีกไม่ช้า ทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาลจะแยกดีชั่วไม่ออก สงครามได้ทำให้ดวงตาของพวกเขามืดบอดจากความถูกผิดดีเลว และเอาแต่มองหาเพียงประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตายแล้วจริงๆ หรือ เหล่าบรรดาปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเขาจะตื่นขึ้นมาช่วยสำนักเอาไว้ได้ทันเวลาหรือเปล่า แล้วหวังเป่าเล่อเล่า…ไม่มีทางใดที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของสำนักวังเต๋าไพศาลจากการถูกรุกรานจากภายในได้เลยหรือ ความขมขื่นเกาะกินจิตใจของตู้กูหลิน ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงช้าๆ จากนั้นจู่ๆ ก็มีประกายบางอย่างส่องสว่างขึ้นในดวงตา เขาหันหลังไปทางวงแหวนปราณทันที

ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณนั้น มันเจือจางในตอนแรกแต่ก็เข้มข้นขึ้นทันตา ก่อนจะระเบิดและแปรสภาพเป็นทะเลแห่งแสงที่ไหลท่วมวงแหวนปราณทั้งอัน

ตู้กูหลินเหมือนว่าจะเห็นอะไรบางอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ บรรดาลูกน้องของเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกันจึงรีบวิ่งมาดู

วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทำให้บรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอยู่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าผู้มาใหม่จะเป็นใครกัน

ด้วยพลังปราณที่ต่ำเตี้ยของพวกเขา จึงเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าผู้ซึ่งกำลังปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงสว่างจ้านั้นเป็นใคร แต่ฝ่ายตู้กูหลินที่ดวงตาเบิกโพลงก็รีบปรับนัยน์ตาให้กลับมาเป็นปกติในบัดดล ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่าง จึงตะโกนออกมาอย่างปุบปับ

“บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ประจำอยู่ ณ สำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้ว พวกเจ้าอยากจะไปอยู่แนวหน้าและสังหารผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแลกแต้มการรบไม่ใช่หรือ รีบไปเสีย ไปทำความเคารพพวกเขาแล้วหาโอกาสเสนอตัวไปด้วย หากพวกเขาตกลงรับพวกเจ้าไปด้วยข้าก็จะไม่ขัดขวาง!”

ความโลภผุดขึ้นในใจของบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทันที มีเพียงสองคนที่ค่อนข้างฉลาดเฉลียวและยังรีรออยู่ ไม่รีบรุดออกไปตามเพื่อนส่วนใหญ่ ที่พุ่งตัวไปรออยู่ตรงขอบวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันทีที่ได้ยินตู้กูหลินพูด พวกเขามองเห็นร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ อีกร่างหนึ่งเล็ก ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในวงแหวนปราณนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นประสานอย่างเคารพ

“ข้าน้อยคารวะ…”

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยคำทักทายจนจบประโยค แสงสีแดงจ้าก็ปะทุขึ้นในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนั้น เส้นปราณสีโลหิตพุ่งทะยานออกมาราวกับเป็นลูกศรและระเบิดขึ้นรอบๆ วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อทักทาย ไม่อาจหลบหลีกการโจมตีหรือส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทัน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งทะลุหน้าผากของพวกเขาทันที!

ไม่มีกระทั่งโอกาสจะได้ส่งเสียงกรีดร้อง ผู้ฝึกตนนับสิบคนนั้น…ตายในบัดดล!

ผู้ฝึกตนทั้งสองที่อ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังถึงกับผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังสายเกินไป นัยน์ตาของตู้กูหลินส่องประกายก่อนที่จะใช้กระบวนเวทออกมา ผู้ฝึกตนทั้งสองตัวสั่นก่อนจะหยุดนิ่ง เส้นปราณสีโลหิตพุ่งออกมาจากวงแหวนปราณอีกครั้งและปักทะลุหน้าผากพวกเขาเช่นกัน!

ตู้กูหลินไม่ได้หันไปมองศพที่อยู่รอบกายเขาด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องไปยังเส้นปราณสีโลหิตที่เคยสู้ด้วยก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนคนอื่นๆ ออกมาถือในมือขวา นิ้วมือของเขาหยุดอยู่ตรงจุดที่จะส่งสัญญาณ มีประกายตาแรงกล้าฉายชัดอยู่ในแววตา ตู้กูหลินจ้องมองไปยังร่างทั้งสองที่ในที่สุดก็ปรากฏชัดขึ้นในวงแหวนปราณ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ

“ศิษย์ตู้กูหลินคารวะผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสชิวหรัน!”

……………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset