หลี่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินมู่พูด ใบหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์ของนางซีดเซียวไป นางจ้องมองเฉินมู่เขม็งและพูดไม่ออกไประยะหนึ่ง ความสับสนและสิ้นหวังปรากฏในดวงตา
หญิงสาวไม่อาจเข้าใจได้สักนิดว่าทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร นางไม่คิดว่าตนเองนั้นชอบหวังเป่าเล่อ เพียงแค่ไม่ได้เกลียดเขาเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อในถ้ำเป็นเพียงอุบัติเหตุ และนางก็เลี่ยงไม่พบเขาตั้งแต่นั้นมา ทว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะก็นำพาทั้งสองมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง
แม้กระนั้นหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยังมีสติรู้คิดและจิตใจที่มีเหตุผล นางกับหวังเป่าเล่อไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะควร ทั้งนางเองยังห้ามความคิดตนเองไม่ให้เตลิดไปเสียด้วยซ้ำ
ตอนนี้เฉินมู่เอาทุกสิ่งมาเผยในที่แจ้ง ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอธิบายหรือโต้เถียง หน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ซีดลงอีก น้ำเสียงของนางอ่อนลงเป็นครั้งแรก
“ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและหวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…”
“หุบปากไปเลย นางผู้หญิงงามเมือง!” หากว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดเช่นนั้น เฉินมู่ก็คงไม่แน่ใจเท่าตอนนี้ สายตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยโทสะอันแรงกล้า เขาพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย้ยหยัน
“หากเจ้าไม่รู้จักอาย จะยึดอำนาจไว้ในมือก็ตามใจ ข้าให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งวัน!” หลังจากพูดจบเฉินมู่ก็หันหลังกลับและเหวี่ยงประตูให้เปิดออก ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกไปก่อนจะชะงัก หันหลังกลับมาจ้องหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ใบหน้าซีดเผือดอย่างเกลียดชัง
“อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าหาคนที่หน้าตาดีสักหน่อยข้าก็คงพอเข้าใจ ทำไมถึงต้องเลือกไอ้หน้าหมูอย่างหวังเป่าเล่อด้วย คนบางคนก็มีรสนิยมน่าทุเรศเสียจริง” เฉินมู่พูดความในใจออกมาจนสิ้น เขาโคลงศีรษะพลางรู้สึกจิตใจสงบขึ้น แล้วจึงเดินอาดๆ ออกจากห้องทำงาน ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยเสียงอันดัง
เสียงกระแทกนั้นดังสนั่น แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนจะไม่ได้ยิน นางยืนเงียบอยู่ตรงนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนจากซีดขาวราวคนตายไปสู่สีแดงแห่งความโกรธเกรี้ยว แววตาสิ้นหวังกลายเป็นประกายแห่งความมุ่งมั่น
“ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น…ก็ได้!” หลี่หว่านเอ๋อร์พึมพำหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ความมุ่งมั่นในดวงตายิ่งฉายแววกล้า นางเองก็ดูโล่งใจเช่นกัน ราวกับว่าได้วางภาระอันหนักอึ้งลงจากบ่าแล้ว
ไม่มีใครได้ยินการโต้เถียงระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ตัวว่าเฉินมู่กำลังช่วยเขาอย่างอ้อมๆ เขาเดินอารมณ์ดีเข้ามาในห้องทำงานเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งก่อนจะเริ่มกินขนม พลางเปิดดูคำร้องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป
ตอนนั้นเองหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เข้ามา
นางยังมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ความเย็นชาและห่างเหินยังคงอยู่ตามปกติ ราวกับว่าพยายามจะกันทุกคนออกไปจากตน หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ นางก็โยนแผ่นหยกลงบนโต๊ะทำงานของเขา
“เจ้าเมืองหวัง ข้าได้รับคำร้องเรียนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตของนายกเทศมนตรีเวินไหว รองนายกเทศมนตรีหลิวต้าวปินลุแก่อำนาจและเริ่มตั้งรูปปั้นจำนวนมาก ข่าวนี้ไปถึงหูท่านเจ้านคร นางสั่งให้พวกเราสอบสวนเรื่องนี้!”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้มีบางอย่างแปลกไป แม้นางจะเย็นชาเป็นปกติแต่ก็จะพยายามปกปิดความเกรี้ยวกราดเอาไว้เสมอ มาวันนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป ทว่าหวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด
ชายหนุ่มบอกได้เพียงว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้นั้นแทบจะเหมือนหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันแรกที่ได้เจอกันที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเลยทีเดียว
นางอาจจะนอนหลับไม่สบายกระมัง หวังเป่าเล่อคิด เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาและเริ่มตรวจสอบข้อความด้านใน จริงอย่างนางว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการกระทำของหลิวต้าวปิน มีข้อความจากเจ้านครอยู่อยู่ด้วย สั่งให้ฝ่ายบริหารนครใหม่สืบสวนเรื่องนี้และจัดการด้วยตนเอง
จากคำสั่งของนาง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เจ้านครไม่มีเวลามากนัก จึงสั่งให้ฝ่ายบริหารงานนครใหม่จัดการเรื่องนี้กันเอง ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ไม่นับเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้”
เมื่อได้ยินสุ้มเสียงไม่ทุกข์ร้อนของหวังเป่าเล่อ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างใดกัน”
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อไม่พอใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์ขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ทำลายรูปปั้นทั้งหมด ไล่หลิวต้าวปินออก และขอความร่วมมือในการสอบสวนจากเขา” หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“วันนี้เป็นวันนั้นของเดือนเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว พ่นลมหายใจออกทางจมูก เมื่อคิดว่านางเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆ ด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามก่อปัญหาให้เขา ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงพูดจาประชดประชันออกไป
“เจ้าเมืองหวัง ได้โปรดระวังถ้อยคำด้วย นี่เรากำลังถกเถียงเรื่องจริงจังกันอยู่!” หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียง โทสะที่นางแบกมาด้วยนั้นยิ่งลุกโชนขึ้นอีกเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่อ นางทุบโต๊ะเสียงดังทันทีอย่างลืมตัว
“หลี่หว่านเอ๋อร์!” หวังเป่าเล่อตอนนี้ก็โกรธเช่นกัน เขาทุบโต๊ะอย่างรุนแรงพอๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตะโกน
“เจ้าพูดเป็นเล่นหรือเปล่า แค่เพราะรูปปั้นไม่กี่ตัว เจ้าไม่เพียงแต่จะทุบพวกมันทิ้งแต่จะให้ไล่หลิวต้าวปินออก เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเขามีความสามารถเพียงใด ไม่ได้เห็นผลงานของเขาหรอกหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะเลยสักคนเดียวในเขตที่เขาเป็นผู้ดูแล!”
“แล้วเจ้าเล่า เรื่องเล็กแค่นี้กลับตามไล่ฟัดราวกับหมาบ้า เขาอาจทำผิด แต่ก็ได้สร้างความชอบไว้มากมาย เพียงแค่กล่าวตักเตือนด้วยวาจาก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงจะต้องไล่เขาออกแล้วสอบสวนอีก”
“อีกอย่างหนึ่ง ที่นี่คือนครใหม่ ไม่ใช่กองวินัยอาณานิคม อย่ามาใช้วิธีเดิมๆ ของเจ้ากับที่นี่ และจงจำเอาไว้ด้วยว่า ณ ที่แห่งนี้…ข้าคือเจ้าเมือง!” หวังเป่าเล่อก็โกรธเช่นกัน ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา นางบังอาจทุบกำปั้นลงบนโต๊ะของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์ทำเกินไปจริงๆ
“ออกไป เดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ
อาการของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นประหลาด นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาต่อ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาแปลกๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดเรื่องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป
น้ำเสียงของนางใจเย็นลงกว่าก่อน นางให้คำแนะนำมาด้วยซ้ำ คำแนะนำเหล่านั้นช่วยเติมเต็มใบคำร้องได้อย่างยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อตะลึง เขาไม่อาจตามการเปลี่ยนเรื่องชนิดพลิกฝ่ามือและการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ได้ทัน น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของนางจู่ๆ ก็กลายเป็นน้ำเสียงที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เขายังคงตามน้ำไปเรื่อยๆ หลังจากให้คำแนะนำแล้วหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินออกไป หวังเป่าเล่อนั่งลงเกาศีรษะอย่างงุนงง ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏอยู่ในดวงตา
ต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับหลี่หว่านเอ๋อร์แน่ๆ ทำไมนางถึงทำตัวราวกับคนบ้า…นางวางแผนสิ่งใดอยู่กันแน่ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ ชายหนุ่มเริ่มระมัดระวังตัว ท้องฟ้ามืดลงแล้วก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก
บางทีอาจจะเป็นช่วงนั้นของเดือนจริงๆ กระมัง หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มาก ชายหนุ่มเก็บโต๊ะก่อนจะลุกออกจากห้องทำงาน เมื่อถึงที่พัก เขาก็วางความคิดทุกอย่างลงและเริ่มทำสมาธิ ตั้งใจว่าจะฝึกตนและเริ่มเรียนรู้ทักษะการหลอมอาวุธเวทสวรรค์สร้าง
เมื่อหวังเป่าเล่อจมอยู่กับการฝึก ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น เขาได้บอกหลินเทียนหาวไปแล้วว่าให้เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาวุธเวทและวิญญาณวุธเอาไว้
การหาวัตถุดิบและวิญญาณวุธยังอยู่ในขั้นดำเนินการ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะส่งดวงจิตของเขาออกไปอีกครั้ง ชายหนุ่มต้องการทำความคุ้นเคยกับวิชานี้และอยากลองเรียกวิญญาณออกมาด้วยสักสองสามดวง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตรงกลับที่พักและเข้าไปยังห้องลับทันที ชายหนุ่มนั่งสมาธิจนกระทั่งมืดค่ำ เมื่อฝึกเสร็จ เขาก็ลืมตาขึ้นและหยิบอาวุธเวทออกมา ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้อาวุธเวทเพื่อช่วยในการสัมผัสถึงเศษเสี้ยวของวิญญาณวุธที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ เมื่อนั้นเอง แหวนสื่อสารและประตูบ้านของเขาก็ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เสียงที่คุ้นเคยดังกระทบโสตประสาท
หวังเป่าเล่อชะงัก เขาจ้องมองแหวนสื่อสารที่มีเสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์ดังออกมา หวังเป่าเล่อมองผ่านวงแหวนปราณรอบที่พัก และเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่นอกประตูรั้ว เหมือนทุกวันที่นางมาเพื่อรับการรักษา
แต่ข้าบอกนางไปแล้วนี่ว่าการรักษาจบลงแล้ว นางหายดีแล้ว…หวังเป่าเล่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ชายหนุ่มเปิดประตูและเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ หญิงสาวไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด นางเดินเข้าไปในห้องลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย…
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงประตู จ้องมองไปที่ประตู แล้วจึงหันไปมองห้องลับ ชายหนุ่มรู้สึกสับสน ในขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว
นาง…ต้องการอะไรกัน
หวังเป่าเล่อรีรออยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะปิดประตูใหญ่แต่ก็ปิด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับ ตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็แปลกแปร่ง ไฟในห้องลับนั้น…ถูกหลี่หว่านเอ๋อร์ปิดไปแล้วทั้งหมด
บรรยากาศสุดแปลกประหลาดปกคลุมอยู่ในอากาศ ในความเงียบสงัด ในความมืดมิด…