หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 422 ตาแก่หวัง ข้าโตแล้วนะ!

บทที่ 422 ตาแก่หวัง ข้าโตแล้วนะ!

นี่มันอะไรกัน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

หากนางจะลวนลามข้า ข้าควรจะขัดขืนดีไหมนะ หรือข้าควรจะดิ้นแค่พองาม…

ข้าควรทำอย่างไรดี หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในห้องลับในขณะที่ความคิดนับไม่ถ้วนแล่นผ่านมโนสำนึก หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความกล้าๆ กลัวๆ

หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในห้องลับพร้อมความคิดมากมายในหัวก่อนจะกระแอมกระไออย่างอึดอัด เขาทำเป็นมองเห็นไม่ชัด จากนั้นก็ทำอย่างที่เคยทำมาตลอดคือเริ่มรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์

แต่กระนั้น แม้ว่าไฟในห้องลับจะถูกปิดไปหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ยังมองเห็นอย่างชัดเจน เขามองเห็นแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อของหลี่หว่านเอ๋อร์

การรักษาเริ่มขึ้นอย่างปกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ลมหายใจของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งหนักขึ้น หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาแทบคุมตัวเองไม่อยู่ การรักษานั้นแปลว่าชายหนุ่มต้องถูกเนื้อต้องตัวนางไปเรื่อยๆ….

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หากยึดตามการรักษาคราวก่อนๆ การรักษาครั้งนี้ก็ได้เวลาสิ้นสุดแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์จะลุกขึ้นและเดินจากไป

แต่วันนี้ดูเหมือนว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะลืมไป หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเองก็ลืมจบการรักษาเช่นกัน ลมหายใจของทั้งคู่ยิ่งหนักหน่วงขึ้น มือของหวังเป่าเล่อยังคงลูบไล้ไปทั่ว หลี่หว่านเอ๋อร์รอคอยต่อไป แต่ดูเหมือนว่านางจะรออยู่นานพอแล้ว จึงทำหน้าบึ้งอย่างขัดใจ ก่อนจะพูดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในห้องลับแห่งนี้

“หวังเป่าเล่อ เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่”

หวังเป่าเล่อไม่ชอบใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกเสียหน้า ชายหนุ่มตีก้นหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างแรง และกำลังจะอ้าปากพูด แต่การตีนั้นกลับทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ยิ่งหายใจหนักขึ้น ร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ตอนนี้ร้อนผ่าวราวเตาหลอมที่ส่งคลื่นความร้อนแผ่กระจายออกมาเป็นระยะ

ภายใต้คลื่นแห่งความเร่าร้อนนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่คนเดียวที่เริ่มขยับตัว หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน…ช่วงเวลาแห่งการแนบชิดกันดำเนินไปเองตามธรรมชาติ

ยุคกำเนิดวิญญาณเริ่มต้นขึ้นด้วยการมาถึงของกระบี่สำริดเขียวโบราณ ภายในกระบี่เต็มได้ด้วยอักขราจารึกและคัมภีร์โบราณ ซึ่งส่งผลให้อารยธรรมการฝึกปราณโบราณกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ทว่าจิตสำนึกของผู้คนนั้นได้ผ่านเวลาและประวัติศาสตร์มายาวนาน ขณะนี้ทุกคนไม่ได้หัวโบราณเช่นเดิมอีกแล้วโดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างชายหญิง หวังเป่าเล่อเองก็ได้ดูบันทึกภาพของเรื่องเช่นนี้มามากมายเมื่อครั้งยังเยาว์ แน่นอนว่าดูเพื่อการศึกษา…

เป็นเหตุให้เขาไม่ได้เงอะงะหรืออึดอัดแม้ว่าจะเป็นครั้งแรก ฝั่งหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นแสดงความไม่ประสาออกมาอย่างเต็มที่ แต่นางก็มีจุดเด่นที่มากลบความไม่เชี่ยวชาญไว้ได้ นั่นก็คือ…กำลังกาย!

หวังเป่าเล่อเกือบต้านทานแรงและความเร่าร้อนของนางไว้ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากยอมแพ้ ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณและพลังกายออกมาอย่างเต็มที่เพื่อจะตามนางให้ทัน

ค่ำคืนได้ผ่านไป…

เช้าวันต่อมา หวังเป่าเล่อผู้ยังเหนื่อยอ่อนจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดลุกขึ้นแต่งตัว นางดูอึดอัดเล็กน้อย ชายหนุ่มปลาบปลื้มในตนเองเป็นอย่างยิ่ง

“หลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าได้แสดงให้เจ้าเห็นหรือยังว่าข้าสมชายเพียงใด” หวังเป่าเล่อมีความสุขเสียจนอดถามคำถามนั้นออกมาไม่ได้

หลี่หว่านเอ๋อร์ที่กำลังแต่งตัวชะงักมือไปก่อนจะเอียงศีรษะมามองหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของหญิงสาวเยือกเย็นและเรียบเฉยตามเคย นางจ้องมองเขาและไม่ได้พูดว่ากระไร หลังจากแต่งตัวเสร็จนางก็พ่นลมหายใจออกมาจากจมูกครั้งหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไป

เจ้าจะจากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ หวังเป่าเล่อตบพุงเบาๆ ก่อนจะทอดถอนใจอยู่ภายใน เขารู้สึกราวกับว่าได้โตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารขึ้นและส่งข้อความเสียงไปหาบิดา

“ตาแก่หวัง ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ!” หวังเป่าเล่อตะโกนเสียงลั่นเข้าไปในแหวนสื่อสาร

“ไอ้เจ้าตัวแสบ เจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวใครเขาเข้าแล้วใช่ไหม” บิดาของหวังเป่าเล่อเข้าใจสิ่งที่ลูกชายต้องการจะสื่อจึงรีบถามทันที

หวังเป่าเล่อได้แต่หัวเราะคิกคักกับความหัวไวของบิดา เขาไม่ได้อธิบายต่อ เพียงแต่จบบทสนทนาอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มลุกขึ้นเก็บเตียงก่อนจะออกจากที่พักไปยังสำนักงาน

หวังเป่าเล่อฮัมเพลงอย่างมีความสุขอยู่ในลำคอขณะเดินทางไปทำงาน เขากำลังอารมณ์ดี ทุกคนวันนี้ช่างดูดีกันเสียเหลือเกิน หลังจากที่มาถึงห้องทำงาน ไม่ช้าหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ก่อนที่เขาจะได้กล่าวต้อนรับนางอย่างอบอุ่น หญิงสาวก็เริ่มพูดเรื่องรูปปั้นในเขตของเวินไหวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเน้นย้ำเรื่องที่ต้องลงโทษหลิวต้าวปินอย่างหนัก

เกิดอะไรขึ้นกัน สมองของหวังเป่าเล่อปั่นป่วน เขาพยายามจะพูดคุยกับหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างใจเย็น แต่หญิงสาวก็ยังยืนยันเช่นเดิม ไม่ยอมแพ้เลย คำพูดของนางรุนแรงและทำให้หวังเป่าเล่อเกิดโมโห

“หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่มีอย่างอื่นต้องหรืออย่างไร เรื่องนี้จบไปแล้ว เจ้าออกไปได้!”

หลี่หว่านเอ๋อร์ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเดินจากไปนางเน้นย้ำอีกครั้งว่าความคิดของนางต่อเรื่องนี้ยังไม่เปลี่ยน หากหวังเป่าเล่อไม่จัดการ นางจะรายงานความคิดของตนต่อเจ้านครและให้เจ้านครเป็นผู้ตัดสินใจ

นางเสียสติไปแล้ว ต่างกับเมื่อคืนเป็นคนละคน หลี่หว่านเอ๋อร์ผู้นี้มีน้องสาวฝาแฝดหรืออย่างไรกัน หวังเป่าเล่อผู้กำลังอารมณ์เสียเริ่มจะสงสัย นิสัยของหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนกลางวันและตอนกลางคืนนั้นต่างกันราวกับคนละคน

หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็ส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ซิ่ว และได้รับคำยืนยันว่านอกจากหลี่หว่านเอ๋อร์แล้ว หลี่ซิ่วไม่มีพี่น้องผู้หญิงอื่นใดอีก หวังเป่าเล่อไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์คิดสิ่งใดอยู่

ชายหนุ่มยังคงแบกความประหลาดใจและความสงสัยไว้ในใจ คืนนั้นขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะนั่งสมาธิ ก็พลันได้ยินเสียงเคาะประตู เขามองผ่านวงแหวนปราณและเห็นว่าเป็นหลี่หว่านเอ๋อร์ที่มายืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มถึงกับตะลึงไป

นี่หมายความว่าอย่างไรกัน นางทะเลาะกับข้าด้วยความเย็นชาในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนนางก็…หวังเป่าเล่อกำลังจะโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วออกไปปลดกลอนประตู ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากพูดแต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินตรงไปยังห้องลับเรียบร้อย นางปิดไฟลง…

หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปอีกครั้ง เขายืนนิ่งอย่างงุนงงและสับสนด้านนอกประตู หลังจากที่ยืนอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ปิดประตูและเดินตรงไปยังห้องลับด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง พลางคิดว่านางทำตัวน่ารำคาญเพียงใดเมื่อตอนกลางวัน จากนั้นชายหนุ่มก็พ่นลมออกจากจมูก ก่อนจะกระทืบเท้าและเดินเข้าห้องลับไป…

คืนนั้นผ่านไป

หลายวันผ่านไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ประหลาดขึ้นทุกวัน พวกเขายังคงถกเถียงกันเพราะมุมมองด้านการบริหารที่ไม่ตรงกันในเวลากลางวัน แต่เมื่อตกกลางคืน…หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะมาหาเขาในเวลาเดิมทุกๆ คืน นางเดินลิ่วเข้าไปในห้องลับโดยไม่พูดไม่จาและปิดไฟ

หวังเป่าเล่อยอมแพ้ให้กับการกระทำของนาง เขาเลือกที่จะระบายความคับข้องใจที่มีต่อหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนกลางวันลงกับนางในตอนกลางคืน หลี่หว่านเอ๋อร์เองก็ดูจะไม่ใส่ใจกับพฤติกรรมนี้ของหวังเป่าเล่อ…

จนในที่สุด คืนหนึ่งในห้องลับของหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางความมืดสนิท เสียงที่แฝงไปด้วยโทสะของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น

“ทำตามคำสั่งข้าเรื่องคดีของหลิวต้าวปิน!”

หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบกริบ ดูเหมือนนางกำลังพยายามควบคุมตัวเองอยู่

“เจ้าไม่ตอบข้างั้นหรือ ได้ ข้าจะทำให้เจ้าตอบเอง!” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ เขาทำอะไรบางอย่าง และในเวลาไม่นานนัก ลมหายใจของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ถี่เร็วขึ้น เสียงหายใจของนางได้ยินออกไปถึงนอกห้องลับ ในที่สุดนางก็ตัวสั่นงันงก ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์

“ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง เรื่องของหลิวต้าวปิน เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า เข้าใจไหม” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำ หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ราวกับว่าสติของนางกำลังจะหลุดลอยไป

“ข้า…ข้าจะทำตามที่ท่านสั่ง…”

หวังเป่าเล่อมีความสุขขึ้นมาทันที เขายิ้มเยาะ หลี่หว่านเอ๋อร์ทำตามสัญญา เมื่อพวกเขาพบกันในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าหญิงสาวจะยังเยือกเย็นและมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่พูดเรื่องหลิวต้าวปินอีก นางทำตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อและไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังเลิกตามเรื่องนั้นไปโดยปริยาย

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มรู้วิธีที่จะรับมือกับหลี่หว่านเอ๋อร์ พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์แปลกประหลาดนี้กันต่อไป ช่วงนี้เองที่เฉินมู่ได้ขอสิทธิ์การเข้าถึงวงแหวนปราณ เขาจึงมาเยี่ยมหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้งในห้องทำงานของนาง

ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้มาขอทรัพยากรหรือการสนับสนุน แต่มาเพื่อแก้ความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ เฉินมู่เตรียมกระทั่งของขวัญมาให้หลี่หว่านเอ๋อร์ด้วย ก่อนจะชักชวนนางไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน

หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเคย

“หว่านเอ๋อร์ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียเราก็เป็นคู่หมั้นกัน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” เฉินมู่ยิ้ม เขาเมินเฉยการปฏิเสธของนาง ชายหนุ่มไม่เคยใส่ใจนางอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการลดความตึงเครียดระหว่างทั้กันลงเพื่อเป็นการรับประกันว่าจะได้รับสิทธิ์เข้าถึงวงแหวนปราณ เขาอาศัยอยู่ในนครใหม่มาสักพักแล้ว และเริ่มรู้สึกงุ่นงานกับการต้องเห็นใบหน้าที่งดงามและเรือนร่างอันโค้งเว้าของหลี่หว่านเอ๋อร์อยู่เป็นประจำ

เมื่อพูดจบ เฉินมู่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินมาข้างๆ หลี่หว่านเอ๋อร์ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือนาง

แต่ในขณะที่มือของชายหนุ่มกำลังจะสัมผัสโดนนางนั้น ใบหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ขมึงทึงขึ้น พลังปราณของนางระเบิดออกมาทำเอาเฉินมู่ผงะ เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของนางส่องประกายโหดร้ายออกมา นางกล่าวอย่างเยือกเย็น

“นายกเทศมนตรีเฉิน โปรดควบคุมตัวเองด้วย!”

“ข้าน่ะหรือต้องควบคุมตัวเอง หลี่หว่านเอ๋อร์ ข้าแค่ต้องการจะกุมมือเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ากลับไม่ยอม แต่ในถ้ำนั่นเจ้ายอมให้เจ้าหวังเป่าเล่อสัมผัสจนทั่วกาย!” โทสะของเฉินมู่ระเบิดขึ้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปอีกก้าว แต่ครั้งนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่คิดยับยั้งตัวเองอีกต่อไป นางตบหน้าเฉินมู่อย่างแรง!

“ไสหัวไปเสีย!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset