หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 421 นางต้องการสิ่งใดกัน

บทที่ 421 นางต้องการสิ่งใดกัน

หลี่หว่านเอ๋อร์ตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินมู่พูด ใบหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์ของนางซีดเซียวไป นางจ้องมองเฉินมู่เขม็งและพูดไม่ออกไประยะหนึ่ง ความสับสนและสิ้นหวังปรากฏในดวงตา

หญิงสาวไม่อาจเข้าใจได้สักนิดว่าทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร นางไม่คิดว่าตนเองนั้นชอบหวังเป่าเล่อ เพียงแค่ไม่ได้เกลียดเขาเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อในถ้ำเป็นเพียงอุบัติเหตุ และนางก็เลี่ยงไม่พบเขาตั้งแต่นั้นมา ทว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะก็นำพาทั้งสองมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

แม้กระนั้นหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยังมีสติรู้คิดและจิตใจที่มีเหตุผล นางกับหวังเป่าเล่อไม่ได้ทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะควร ทั้งนางเองยังห้ามความคิดตนเองไม่ให้เตลิดไปเสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้เฉินมู่เอาทุกสิ่งมาเผยในที่แจ้ง ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายอธิบายหรือโต้เถียง หน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ซีดลงอีก น้ำเสียงของนางอ่อนลงเป็นครั้งแรก

“ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและหวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…”

“หุบปากไปเลย นางผู้หญิงงามเมือง!” หากว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดเช่นนั้น เฉินมู่ก็คงไม่แน่ใจเท่าตอนนี้ สายตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยโทสะอันแรงกล้า เขาพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย้ยหยัน

“หากเจ้าไม่รู้จักอาย จะยึดอำนาจไว้ในมือก็ตามใจ ข้าให้เวลาเจ้าคิดหนึ่งวัน!” หลังจากพูดจบเฉินมู่ก็หันหลังกลับและเหวี่ยงประตูให้เปิดออก ชายหนุ่มกำลังจะเดินออกไปก่อนจะชะงัก หันหลังกลับมาจ้องหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ใบหน้าซีดเผือดอย่างเกลียดชัง

“อีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้าหาคนที่หน้าตาดีสักหน่อยข้าก็คงพอเข้าใจ ทำไมถึงต้องเลือกไอ้หน้าหมูอย่างหวังเป่าเล่อด้วย คนบางคนก็มีรสนิยมน่าทุเรศเสียจริง” เฉินมู่พูดความในใจออกมาจนสิ้น เขาโคลงศีรษะพลางรู้สึกจิตใจสงบขึ้น แล้วจึงเดินอาดๆ ออกจากห้องทำงาน ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยเสียงอันดัง

เสียงกระแทกนั้นดังสนั่น แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนจะไม่ได้ยิน นางยืนเงียบอยู่ตรงนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนจากซีดขาวราวคนตายไปสู่สีแดงแห่งความโกรธเกรี้ยว แววตาสิ้นหวังกลายเป็นประกายแห่งความมุ่งมั่น

“ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น…ก็ได้!” หลี่หว่านเอ๋อร์พึมพำหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ความมุ่งมั่นในดวงตายิ่งฉายแววกล้า นางเองก็ดูโล่งใจเช่นกัน ราวกับว่าได้วางภาระอันหนักอึ้งลงจากบ่าแล้ว

ไม่มีใครได้ยินการโต้เถียงระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ตัวว่าเฉินมู่กำลังช่วยเขาอย่างอ้อมๆ เขาเดินอารมณ์ดีเข้ามาในห้องทำงานเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งก่อนจะเริ่มกินขนม พลางเปิดดูคำร้องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป

ตอนนั้นเองหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เข้ามา

นางยังมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ความเย็นชาและห่างเหินยังคงอยู่ตามปกติ ราวกับว่าพยายามจะกันทุกคนออกไปจากตน หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ นางก็โยนแผ่นหยกลงบนโต๊ะทำงานของเขา

“เจ้าเมืองหวัง ข้าได้รับคำร้องเรียนเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตของนายกเทศมนตรีเวินไหว รองนายกเทศมนตรีหลิวต้าวปินลุแก่อำนาจและเริ่มตั้งรูปปั้นจำนวนมาก ข่าวนี้ไปถึงหูท่านเจ้านคร นางสั่งให้พวกเราสอบสวนเรื่องนี้!”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้มีบางอย่างแปลกไป แม้นางจะเย็นชาเป็นปกติแต่ก็จะพยายามปกปิดความเกรี้ยวกราดเอาไว้เสมอ มาวันนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป ทว่าหวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด

ชายหนุ่มบอกได้เพียงว่าหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันนี้นั้นแทบจะเหมือนหลี่หว่านเอ๋อร์ในวันแรกที่ได้เจอกันที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเลยทีเดียว

นางอาจจะนอนหลับไม่สบายกระมัง หวังเป่าเล่อคิด เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาและเริ่มตรวจสอบข้อความด้านใน จริงอย่างนางว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการกระทำของหลิวต้าวปิน มีข้อความจากเจ้านครอยู่อยู่ด้วย สั่งให้ฝ่ายบริหารนครใหม่สืบสวนเรื่องนี้และจัดการด้วยตนเอง

จากคำสั่งของนาง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก เจ้านครไม่มีเวลามากนัก จึงสั่งให้ฝ่ายบริหารงานนครใหม่จัดการเรื่องนี้กันเอง ว่ากันตามจริง เรื่องนี้ไม่นับเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้”

เมื่อได้ยินสุ้มเสียงไม่ทุกข์ร้อนของหวังเป่าเล่อ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างใดกัน”

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อไม่พอใจท่าทีของหลี่หว่านเอ๋อร์ขึ้นมาทันที เขาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ทำลายรูปปั้นทั้งหมด ไล่หลิวต้าวปินออก และขอความร่วมมือในการสอบสวนจากเขา” หลี่หว่านเอ๋อร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงกระแทกกระทั้น

“วันนี้เป็นวันนั้นของเดือนเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว พ่นลมหายใจออกทางจมูก เมื่อคิดว่านางเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆ ด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามก่อปัญหาให้เขา ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงพูดจาประชดประชันออกไป

“เจ้าเมืองหวัง ได้โปรดระวังถ้อยคำด้วย นี่เรากำลังถกเถียงเรื่องจริงจังกันอยู่!” หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียง โทสะที่นางแบกมาด้วยนั้นยิ่งลุกโชนขึ้นอีกเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่อ นางทุบโต๊ะเสียงดังทันทีอย่างลืมตัว

“หลี่หว่านเอ๋อร์!” หวังเป่าเล่อตอนนี้ก็โกรธเช่นกัน เขาทุบโต๊ะอย่างรุนแรงพอๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตะโกน

“เจ้าพูดเป็นเล่นหรือเปล่า แค่เพราะรูปปั้นไม่กี่ตัว เจ้าไม่เพียงแต่จะทุบพวกมันทิ้งแต่จะให้ไล่หลิวต้าวปินออก เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเขามีความสามารถเพียงใด ไม่ได้เห็นผลงานของเขาหรอกหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าไม่มีผู้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะเลยสักคนเดียวในเขตที่เขาเป็นผู้ดูแล!”

“แล้วเจ้าเล่า เรื่องเล็กแค่นี้กลับตามไล่ฟัดราวกับหมาบ้า เขาอาจทำผิด แต่ก็ได้สร้างความชอบไว้มากมาย เพียงแค่กล่าวตักเตือนด้วยวาจาก็เพียงพอแล้ว ทำไมจึงจะต้องไล่เขาออกแล้วสอบสวนอีก”

“อีกอย่างหนึ่ง ที่นี่คือนครใหม่ ไม่ใช่กองวินัยอาณานิคม อย่ามาใช้วิธีเดิมๆ ของเจ้ากับที่นี่ และจงจำเอาไว้ด้วยว่า ณ ที่แห่งนี้…ข้าคือเจ้าเมือง!” หวังเป่าเล่อก็โกรธเช่นกัน ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา นางบังอาจทุบกำปั้นลงบนโต๊ะของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์ทำเกินไปจริงๆ

“ออกไป เดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ

อาการของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นประหลาด นางไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาต่อ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาแปลกๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดเรื่องการอพยพครั้งใหญ่รอบต่อไป

น้ำเสียงของนางใจเย็นลงกว่าก่อน นางให้คำแนะนำมาด้วยซ้ำ คำแนะนำเหล่านั้นช่วยเติมเต็มใบคำร้องได้อย่างยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อตะลึง เขาไม่อาจตามการเปลี่ยนเรื่องชนิดพลิกฝ่ามือและการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ได้ทัน น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของนางจู่ๆ ก็กลายเป็นน้ำเสียงที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้คำตอบ เขายังคงตามน้ำไปเรื่อยๆ หลังจากให้คำแนะนำแล้วหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เดินออกไป หวังเป่าเล่อนั่งลงเกาศีรษะอย่างงุนงง ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏอยู่ในดวงตา

ต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับหลี่หว่านเอ๋อร์แน่ๆ ทำไมนางถึงทำตัวราวกับคนบ้า…นางวางแผนสิ่งใดอยู่กันแน่ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ ชายหนุ่มเริ่มระมัดระวังตัว ท้องฟ้ามืดลงแล้วก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก

บางทีอาจจะเป็นช่วงนั้นของเดือนจริงๆ กระมัง หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มาก ชายหนุ่มเก็บโต๊ะก่อนจะลุกออกจากห้องทำงาน เมื่อถึงที่พัก เขาก็วางความคิดทุกอย่างลงและเริ่มทำสมาธิ ตั้งใจว่าจะฝึกตนและเริ่มเรียนรู้ทักษะการหลอมอาวุธเวทสวรรค์สร้าง

เมื่อหวังเป่าเล่อจมอยู่กับการฝึก ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการหลอมสวรรค์สร้างก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น เขาได้บอกหลินเทียนหาวไปแล้วว่าให้เตรียมวัตถุดิบสำหรับอาวุธเวทและวิญญาณวุธเอาไว้

การหาวัตถุดิบและวิญญาณวุธยังอยู่ในขั้นดำเนินการ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะส่งดวงจิตของเขาออกไปอีกครั้ง ชายหนุ่มต้องการทำความคุ้นเคยกับวิชานี้และอยากลองเรียกวิญญาณออกมาด้วยสักสองสามดวง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตรงกลับที่พักและเข้าไปยังห้องลับทันที ชายหนุ่มนั่งสมาธิจนกระทั่งมืดค่ำ เมื่อฝึกเสร็จ เขาก็ลืมตาขึ้นและหยิบอาวุธเวทออกมา ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้อาวุธเวทเพื่อช่วยในการสัมผัสถึงเศษเสี้ยวของวิญญาณวุธที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ เมื่อนั้นเอง แหวนสื่อสารและประตูบ้านของเขาก็ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน เสียงที่คุ้นเคยดังกระทบโสตประสาท

หวังเป่าเล่อชะงัก เขาจ้องมองแหวนสื่อสารที่มีเสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์ดังออกมา หวังเป่าเล่อมองผ่านวงแหวนปราณรอบที่พัก และเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่นอกประตูรั้ว เหมือนทุกวันที่นางมาเพื่อรับการรักษา

แต่ข้าบอกนางไปแล้วนี่ว่าการรักษาจบลงแล้ว นางหายดีแล้ว…หวังเป่าเล่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป ชายหนุ่มเปิดประตูและเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ยืนอยู่ หญิงสาวไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด นางเดินเข้าไปในห้องลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย…

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงประตู จ้องมองไปที่ประตู แล้วจึงหันไปมองห้องลับ ชายหนุ่มรู้สึกสับสน ในขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว

นาง…ต้องการอะไรกัน

หวังเป่าเล่อรีรออยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะปิดประตูใหญ่แต่ก็ปิด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับ ตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็แปลกแปร่ง ไฟในห้องลับนั้น…ถูกหลี่หว่านเอ๋อร์ปิดไปแล้วทั้งหมด

บรรยากาศสุดแปลกประหลาดปกคลุมอยู่ในอากาศ ในความเงียบสงัด ในความมืดมิด…

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset