หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 830 ตั๋วทอง!

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังวลและเกรงกลัวผสมกับความตื้นตันเมื่อได้ยินที่ร่างเงาเพลิงบนฟ้าพูด เป็นสีหน้าที่ผสมปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย คนธรรมดาทั่วไปอาจทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อนั้นศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่เด็ก เขาฝึกฝนสีหน้าเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนเชี่ยวชาญ

แต่จริงๆ แล้วในใจของชายหนุ่มกลับกำลังบ่นอุบกับตัวเองว่าชายชราช่างไม่น่าไว้วางใจเสียจริง ถ้าอยากได้ศิษย์ก็รับเอาเลยจะเป็นไรไป ทำไมต้องให้มาเป็นเพียงศิษย์ในนามด้วย

เขาแค่อยากได้ชื่อเสียงเพราะเป็นอาจารย์ของข้าโดยที่ไม่ต้องเสียผลประโยชน์อะไรไป คิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิเสธปรมาจารย์แห่งไฟ ถึงอาจารย์ของเขาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงของท่านก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้เขายังมีศิษย์พี่ที่ไม่ค่อยจะวางใจอะไรได้เพราะไม่ค่อยจะอยู่ช่วยอยู่อีกคน สมองชายหนุ่มแล่นไม่หยุดขณะคิดหาวิธีบอกปฏิเสธให้ดูไม่เป็นการเสียมารยาท

ชายหนุ่มยังคงตีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนขณะคิดหาหนทาง ปรมาจารย์แห่งไฟเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดแปลกไป จริงๆ แล้วเขากลับรู้สึกยอมรับเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะเป็นตัวปัญหา แต่ก็ดูเป็นคนมีเหตุผล รู้จักที่ของตนเอง

“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่…” หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้เวลาคิดนาน ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ชายหนุ่มไม่สนใจความเจ็บปวดตรงดวงตาและพยายามบีบน้ำตาออกมา จากนั้นก็มองไปบนฟ้าก่อนจะก้มหัวให้

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้อง…”

“ปรึกษาเฉินชิงก่อนอย่างนั้นหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยใบหน้าที่เหมือนจะแต้มด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มขนลุกซู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงขณะจ้องปรมาจารย์แห่งไฟ เหมือนจะทั้งรู้สึกแปลกใจและทำอะไรไม่ถูก

“เจ้าคิดจะขอเวลาตัดสินใจ จะบอกว่ามีเวลาเหลืออีกเยอะในการตัดสินใจ เจ้าน่าจะคิดไปด้วยว่าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ในนามเพราะไม่อยากให้อภิสิทธิ์ศิษย์ที่แท้จริงกับเจ้า” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดออกมาอย่างสบายๆ ในตาเจือไปด้วยแววหยอกเย้า

เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มอ้าปากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็โดนขัดด้วยการโบกมือของผู้อาวุโส

“ตามใจเจ้า เจ้าต้องใช้เวลาคิดทบทวนให้ดี ถ้าเจอเฉินชิงก็ลองปรึกษาดูว่าถ้าปรมาจารย์แห่งไฟผู้นี้จะรับเจ้าเป็นศิษย์ เขาจะเห็นชอบ หรือเขาจะยินยอมหรือเปล่า”

หวังเป่าเล่อกะพริบตา เริ่มพึมพำกับตนเองอีกครั้งว่าทั้งสองประโยคก็มีหมายความอย่างเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟมองตนออก เคล็ดวิชาสารัตถะที่ตนมีเป็นของศิษย์พี่ ผู้ฝึกตนกล้าแกร่งที่รู้จักเฉินชิงจะต้องมองหวังเป่าเล่อออกอยู่แล้ว

เขาอาจจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่หวังเป่าเล่อจะยอมรับความจริงนี้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ชายหนุ่มยังตีหน้างุนงงและแกล้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟพูด เขาอ้าปากแต่ก็อึกอักไม่ยอมพูด ทำเหมือนว่าเกรงกลัวไม่กล้าถามอะไรมากมาย ในที่สุดชายหนุ่มก็หลบสายตาลงและกล่าวอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะรีบให้คำตอบท่านโดยเร็วที่สุด ยังมีอีกเรื่อง…ศิษย์น้องผู้นอบน้อมไม่รู้ว่าจะติดต่อท่านได้อย่างไรหากตัดสินใจได้แล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร…ถ้าจะทิ้งหน้ากากไว้กับข้าเพื่อที่ข้าจะได้ติดต่อท่านได้ง่ายๆ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกุมหมัดโค้งคำนับให้กับปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง

“ข้าไม่ติดขัดอะไร เจ้าใช้คำสาปในหน้ากากไปแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดอีก” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ แววตาฉายแววดูลุ่มลึก เหมือนว่าเขาจะมองหวังเป่าเล่อได้ทะลุปรุโปร่ง  

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไรที่ถูกมองออก เขายังแสร้งทำซื่อและพูดต่อ

“เช่นนั้น ทำไมท่านไม่ผนึกคำสาปเพิ่มเล่า ศิษย์น้องผู้นอบน้อมจะได้ประกาศชื่อเสียงของท่านให้ลือเลื่องไปทั่วด้วยหน้ากากของท่าน”

“เลิกคิดเรื่องหน้ากากได้แล้ว ข้าไม่ทำให้เจ้าหรอก” ปรมาจารย์แห่งไฟตอบเสียงเรียบเมื่อได้ยินคำขอของหวังเป่าเล่อ

ขี้เหนียวจริง หวังเป่าเล่อบ่นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจลองใหม่อีกครั้ง ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่คงตั้งใจจะสอนวิธีผนึกคำสาปใส่หน้ากากให้ข้า เพื่อเป็นการฉลองการพบกันของเรา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่คิดให้หน้ากากข้า เช่นนั้นโปรดรับคำขอบคุณจากข้าด้วย ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังพร้อมโค้งให้ปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง

“เจ้าช่างหน้าไม่อายเหมือนเฉินชิงไม่มีผิด” ปรมาจารย์แห่งไฟว่าอย่างเหนื่อยอ่อน แต่หลังจากคิดเรื่องนี้ดูก็รู้สึกว่าน่าจะใจกว้างได้สักหน่อย ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะให้อะไรไป แต่พอได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ หลังจะครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาโบกผ่านอากาศ เรียกวัตถุคล้ายลูกประคำออกมาจากเศษซากปรักหักพังรอบๆ วัตถุเหล่านั้นพุ่งผ่านอากาศมารวมกันบนฝ่ามือปรมาจารย์แห่งไฟ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแผ่นหยกสีเทา

ปรมาจารย์แห่งไฟเป่าลมลงบนแผ่นหยกเบาๆ และเปลี่ยนมันเป็นสีดำในทันใด จากนั้นก็โยนแผ่นหยกขึ้นฟ้า ส่งลอยไปหาหวังเป่าเล่อให้อีกฝ่ายเก็บเอา

“ข้าลงคำสาปไว้ในแผ่นหยก เจ้าใช้มันได้แค่ครั้งเดียว เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกติดต่อข้าได้ แต่ก็เพียงครั้งเดียวเช่นกัน ถ้าโชคชะตาลิขิตให้เราเป็นศิษย์อาจารย์กัน เราก็คงจะได้พบกันอีก แต่ตอนนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” หลังจากพูดจบ ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึก เขาอยากรับชายหนุ่มเป็นศิษย์อย่างจริงแท้

อาจรับมาเป็นศิษย์ในนามก็จริง แต่…ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว

ความคิดเช่นนั้นทำให้เขาผุดนึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้า ปรมาจารย์แห่งไฟโบกมือก่อนจะหันหลังเดินหายลับไป แผ่นหลังของเขาเป็นเพียงแผ่นหลังของชายแก่ผู้โดดเดี่ยว ร่างของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนราง เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือร่างอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังไกลห่างออกไป เขาอ้าปากอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะเงียบ หวังเป่าเล่อหายวับไปจากดินแดนซากปรักหักพัง ทิ้งหน้ากากหมูไว้เบื้องหลัง หน้ากากกลายเป็นแสงพุ่งตรงไปยังปรมาจารย์แห่งไฟและไปหยุดอยู่บนฝ่ามือของเขา แทนที่จะเข้าไปรวมกับหน้ากากชิ้นอื่นๆ ในร่างชายชรา

“ถ้าใช่ก็คงมาเอง แต่ถ้าไม่…ก็ต้องปล่อยไป” เสียงพึมพำของปรมาจารย์แห่งไฟก้องไปในอากาศ

ครู่ต่อมา ก็มีแสงจ้าปรากฏขึ้นในห้องของหวังเป่าเล่อที่อยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ชายหนุ่มขยายสัมผัสสวรรค์ตรวจสิ่งรอบตัวทันทีที่ปรากฏตัวในห้อง พอมั่นใจแล้วว่าตนกลับมายังตลาดได้อย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจออกมา ภาพเหตุการณ์อันตรายมากมายที่เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจปรากฏขึ้นในหัว จบลงด้วย…ภาพแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟ

“เขาคงมีเรื่องราวบางอย่าง” หวังเป่าเล่อพูด สูดหายใจและสงบความคิดในหัว จากนั้นก็เริ่มสำรวจความเสียหาย อย่างแรกเลยคือเกราะจักรพรรดิ…เสียหายไปร้อยละเก้าสิบ ต่อมาคือเรือบินรบเวท…เสียหายไปเกือบร้อยละเก้าสิบเช่นกัน ส่วนประกอบหลักสำคัญแทบจะใช้การไม่ได้

วัตถุเวทอื่นๆ ก็เสียหาย และชายหนุ่มก็ใช้ข้าวของบางส่วนไปหมดเกลี้ยง เขาไม่มีทางลืมเรือบินรบนับไม่ถ้วนที่ใช้ระเบิดทำลายตัวเองไปในการต่อสู้ ภารกิจครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องงัดข้าวของที่เก็บสะสมไว้มากมายออกมา

แต่ที่ได้รับคืนมาก็ถือว่ามากเช่นกัน ทั้งได้เลื่อนขั้นการฝึกตน กระเป๋าคลังเก็บก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบใหม่ๆ จากคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้น จำนวนโอสถ วัตถุเวท และวัตถุดิบต่างๆ ที่อัดอยู่ด้านในอาจทำให้ใครหลายคนต้องมองด้วยความอิจฉา

ข้าวของจากคลังอาวุธทำให้ชายหนุ่มได้ทุนคืนจากข้าวของที่สูญเสียไปและความเสียหายที่ได้รับจากการปฏิบัติภารกิจ อีกทั้งเขายังได้ผลึกสีชาดมาอีก 13,000 ก้อน ของที่เขาจะซื้อจากเซี่ยไห่หยางนั้นต้องใช้ผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อน ตอนนี้ชายหนุ่มมีกำลังซื้อมหาศาลเพราะมีผลึกสีชาดอยู่ถึง 13,000 ก้อน

เขาได้แก่นในสีรุ้งมาด้วยเช่นกัน ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร แต่ก็มั่นใจว่าแก่นในสีรุ้งต้องมีความเกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์สีรุ้งอย่างแน่นอน ต้องเป็นของที่มีคุณค่ามากเลยทีเดียว

นอกจากนี้….เขายังได้มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นมาครึ่งซีก ซึ่งน่าจะใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมได้ ส่วนแหวนคลังเวทที่สวมอยู่บนนิ้วก็น่าจะนำมาใช้งานได้ รวมถึงข้าวของข้างในด้วย

แหวนคลังเวทของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์… หวังเป่าเล่อตื่นเต้น หลังจากตรวจดูของอื่นๆ ที่ได้มาเสร็จ เขาก็ดึงแหวนออกมาจากมือครึ่งซีกและขยายสัมผัสสวรรค์ไปตรวจสอบ ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วในทันใด ผนึกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ยังคงทำงานอยู่ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถคลายผนึกออกได้

“ช่างเถอะ ข้าก็แค่รอบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ตอนนั้นคงจะค่อยๆ คลายผนึกออกได้!” หวังเป่าเล่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น ให้ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่กล้า เพราะจะเป็นการเปิดเผยว่าตนเองเป็นผู้มาจุติ

หวังเป่าเล่อตรวจดูข้าวของต่างๆ ไปพร้อมกับศึกษาตัวแหวน ไกลออกไปในห้วงอวกาศ ท่ามกลางหมู่ดาวเคราะห์สีฟ้า…มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ปกครองโดยกองทัพลำดับสิบเก้าของตระกูลไม่รู้สิ้น

มีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนอยู่บริเวณห้วงอวกาศนี้ ในหมู่ดาวเคราะห์เหล่านั้นมีดวงหนึ่งที่มีตำหนักโบราณตั้งอยู่ แสงจ้าจากการเคลื่อนย้ายฉายวาบออกมาจากตำหนัก ศีรษะครึ่งซีกลอยผ่านประตูเคลื่อนย้าย กระเด็นกระดอนไปตามพื้น กลิ้งไปหยุดอยู่มุมหนึ่งพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง

ศีรษะนั้นเป็นของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เฉียดตายจากการสู้กับหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น โกรธเพราะก่อนศึกครั้งนี้เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บขนาดนี้มากก่อน โกรธเพราะ…สูญเสียแหวนคลังเวทของตนไป!

เขาซ่อนสมบัติบางอย่างไว้ไม่ให้ใครรู้ในแหวนคลังเวทวงนั้น มันไม่ใช่อาวุธทรงพลัง แต่คงไม่เกินจริงนัก…ถ้าจะเรียกมันว่าตั๋วทองคำสำหรับการฝึกตนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!

เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน สมบัติชิ้นนี้ช่วยให้คนธรรมดาอย่างเขาบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ได้ และสมบัติชิ้นนี้ก็อาจช่วยให้เขาบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์หรืออาจจะเหนือขึ้นไปกว่านั้นได้อีก ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เข้า คงจะเกิดสงครามระหว่างตระกูลและกลุ่มต่างๆ เพื่อแย่งชิงสมบัติชิ้นนี้ไปแน่ และด้วยความสามารถระดับกลางๆ อย่างเขา ก็คงต้องสูญเสียตั๋วทองคำนี้ไปตลอดกาลอย่างแน่นอน!

เจ้าหัวหมูเฮงซวย ข้าสาบานว่าจะตามหาตัวเจ้าให้เจอไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน!

……………………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset